4 เม.ย. 2022 เวลา 08:58 • ไลฟ์สไตล์
“ธรรมะเข้าใจไม่ได้ด้วยการท่อง การอ่าน การฟัง
บางทีเรียนๆ ท่องๆ ไว้
แล้วพอเราภาวนาพัฒนาขึ้น
สิ่งที่นึกว่าเข้าใจ มันไม่เข้าใจ”
“ … เข้าใจปฏิจจสมุปบาท
ก่อนที่หลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อก็นั่งสมาธิหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ ก็ได้แต่ความสงบ ไปต่อไม่เป็น
ไปบวชอยู่กับหลวงพ่อปัญญา ไปได้คำว่าปฏิจจสมุปบาทมา ไปถามใครๆ ก็ไม่มีใครตอบ จะถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ไม่อยู่คนนิมนต์ท่านทุกวันเลย ก็ตั้งใจว่าจะต้องเรียนให้รู้จักปฏิจจสมุปบาทให้ได้
สึกมาก็ไปหาตำราเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ได้คำอธิบายอวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ แยกละเอียดก็ไม่รู้ 8 อย่าง ไม่รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ความสัมพันธ์ของเหตุของผล ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร
สังขารก็มีปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ เป็นปฏิสนธิวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
นามรูปเป็นปัจจัยของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ
ผัสสะก็มี 6 อันกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แล้วเกิดเวทนา เวทนามี 3 อัน สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนาทำให้เกิดตัณหา
ตัณหามี 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ไล่ๆๆ ไปเรื่อยๆ ถึงอุปาทาน
ถึงภพ ถึงชาติ ถึงทุกข์
แต่ละอันๆ ก็แยกย่อย
อุปาทานก็มี 4 อะไรอย่างนี้
อ่านจนจบ อ่านแล้วอ่านอีก ไม่เห็นความสัมพันธ์
ความเชื่อมโยงระหว่างองค์ธรรมแต่ละตัวๆ
รู้สึกแล้วเราจะภาวนาอย่างไร
ดูลงมาเท่าไรๆ คลำหาทางไม่เจอ
รู้แต่ตำราว่าอันนี้เป็นปัจจัยของอันนี้ๆ
แต่ละอย่างเป็นอย่างไร มีจำนวนเท่าไร
ก็คลำทางปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้
ผ่านมาหลายปีถึงเจอหลวงปู่ดูลย์ ไปหาท่านไม่ได้ไปบอกท่านว่าจะเรียนให้เข้าใจอริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้คิดถึงเลย
ถามท่านแค่ว่า “ผมอยากปฏิบัติ”
ท่านก็พิจารณา ท่านก็สอนให้ไปดูจิตเอา
ตรงไปดูจิตมันเหมือนเราได้กุญแจของการปฏิบัติ
“เริ่มที่จิต รู้อยู่ที่จิต เข้าใจความเป็นจริง ละลงที่จิต”
อ่านพระไตรปิฎกก็เยอะแยะ
อ่านตำรับตำราก็เยอะแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน ไปได้คำว่าจิตจากหลวงปู่ดูลย์
โอ้ เริ่มที่จิตนั่นเอง
เริ่มที่จิต รู้อยู่ที่จิต เข้าใจความเป็นจริง ละลงที่จิต
ดูจิตไปๆ แล้วสิ่งที่เข้าใจขึ้นมาคืออริยสัจ
นึกถึงที่หลวงปู่สอนบอก
“จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย
ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค
ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ”
ท่านสอนอย่างนี้
จิตที่ส่งออกนอกเป็นอย่างไร ค่อยๆ ภาวนาแล้วเห็นเอง
เราจะเห็นเลยจิตเราเดี๋ยวก็ออกไปรับอารมณ์ทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
แล้วก็ไปรับอารมณ์ทางใจ
พอจิตมันไปรับอารมณ์แล้ว สติ สมาธิ ปัญญาไม่ทัน
ก็เกิดความอยาก เกิดความยึดถือ
เกิดความปรุงแต่ง
แล้วเกิดการหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
เอาไปใช้งาน แล้วความเป็นตัวตนมันก็เกิดขึ้น
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้น
ค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้ไป เป็นลำดับๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูเราจะเห็นว่า
จิตเราออกไปรับอารมณ์ทั้งวัน
เดี๋ยวก็ดูรูป เดี๋ยวก็ฟังเสียง เดี๋ยวก็ดมกลิ่น
เดี๋ยวก็ลิ้มรส เดี๋ยวก็รู้สัมผัสทางกาย
เดี๋ยวคิดนึกทางใจ
เดี๋ยวไปทำกรรมฐานก็ไปเพ่งทางใจ
จิตมันออกรับอารมณ์ทั้งวัน
จะไม่ให้มันรับอารมณ์ได้ไหม ไม่ได้
หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอก จิตมีธรรมชาติส่งออกนอก
คือต้องออกไปรู้อารมณ์
พอส่งออกนอกแล้วเราไม่มีสติ
จิตมันก็ปรุงแต่งไปตามอนุสัยกิเลสทั้งหลายของเรา
ก็สร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ขึ้นมา
เราเห็นว่าจิตทีแรกก็คิดว่าจิตมันส่ง
จิตมีดวงเดียวอยู่ตรงกลาง
เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา เดี๋ยวก็วิ่งไปทางหู
วิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับ
วิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับทางโน้นทางนี้
หัดใหม่ๆ ไปเห็นอย่างนั้น
ดูไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่ ตรงที่จิตมันวิ่งไปวิ่งมา
ก็สงสัย เอ๊ะ เราควรจะเอาจิตไปไว้ที่ไหนดี
ไปกราบหลวงปู่ ถามหลวงปู่
“หลวงปู่ครับ จิตมันอยู่ที่ไหน”
ตอนนั้นคิดว่าจิตมันอยู่กลางอก เห็นมันทำงานขึ้นมา กลางอก มันหมุนขึ้นมา กุศล อกุศลอะไรมันก็ผุดจากกลางอกนี่เอง เลยคิดว่าจิตอยู่กลางหน้าอกนี่ วัฏฏะมันก็หมุนๆ อยู่ตรงนี้
หลวงปู่บอกว่า “จิตไม่มีที่ตั้ง”
คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเก่าอีก จิตไม่มีที่ตั้ง
เราจะเอาจิตไปตั้งที่ไหน ท่านบอกไม่มีที่ตั้ง
ก็เลยตามรู้ตามดูเรื่อยๆ ตอนหลังก็เห็น
ที่จริงแล้วจิตมันเกิดที่ไหนมันก็ดับที่นั่น
จิตเกิดที่ตาก็ดับลงที่ตา จิตเกิดที่หูก็ดับลงที่หู
จิตเกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย เกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น
จิตเกิดทางใจก็ดับลงที่ใจ
ฉะนั้นจริงๆ แล้วจิตนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไปทั้งวันทั้งคืน
ระหว่างจิตดวงหนึ่งกับจิตอีกดวงหนึ่ง
มีช่องว่างเล็กๆ มาคั่นอยู่
มันทำให้เห็นว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียว
แต่มันเกิดดับๆ อย่างรวดเร็ว
ตรงที่เราเห็นว่ามันมีช่องว่างมาคั่น มันทำให้เห็นว่า
จิตดวงหนึ่งกับจิตอีกดวงหนึ่ง มันคนละดวงกัน
มีช่องว่างมาคั่นอยู่
1
จุดสำคัญคือความมีสติ
เฝ้ารู้เฝ้าดูมันก็เข้าใจจิตมากขึ้นๆ
เราก็เห็นจิตมันไปเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เกิดที่ไหนดับที่นั้น
แต่เกิดแล้วบางทีสติไม่เกิด
สติไม่เกิดจิตหลงไปรู้รูปมันก็หลงรูป
แล้วก็ต่อด้วยหลงคิดเรื่องรูป
จิตไปเกิดทางหูไปได้ยินเสียง
มันก็หลงไปตามเสียง
แล้วก็หลงไปในความคิดเกี่ยวกับเสียงอันนั้น
มันมีความหลงซ้อนๆๆ ไปเรื่อยๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปนานๆ ก็ค่อยเข้าใจขึ้นมา
จิตออกรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เป็นไร
เป็นธรรมชาติที่จิตจะต้องเป็นอย่างนั้น
จุดสำคัญคือความมีสติต่างหาก
ถ้าเราไม่มีสติ จิตส่งออกไปแล้วเราไม่มีสติ
มันจะปรุงความอยากปรุงความยึดขึ้นมา
แต่ถ้ามันส่งออกไปแล้วมันกระทบอารมณ์แล้ว
เรามีสติรู้เท่าทันตัวเองอยู่
มีสมาธิ มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่
จิตนี้ไม่ไปหลงปรุงแต่ง
เห็นความคิดนึกปรุงแต่งเกิดขึ้น
แต่จิตไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความปรุงแต่ง
จิตถอดถอนตัวเองออกจากโลกของความปรุงแต่ง
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นแค่ผู้เห็น
ก็เห็นรูปเกิดแล้วรูปก็ดับ
จิตที่ไปรู้รูปเกิดแล้วก็ดับ
เวลามี ผัสสะการกระทบทางหูได้ยินเสียง
แล้วก็เห็นเสียงเกิดแล้วก็ดับ
จิตที่ไปรู้เสียงเกิดแล้วก็ดับ
ฉะนั้นไม่ว่าอายตนะภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
หรือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความรับรู้ทั้ง 6 ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็เกิดแล้วก็ดับ
ภาวนาไปเรื่อยๆ แล้วก็เห็น
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เกิดแล้วก็ดับ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเกิดแล้วก็ดับ
วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เกิดแล้วก็ดับ
ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดแล้วก็ดับ
เวทนาที่เนื่องมาจากการกระทบ
เวทนาทั้งหลายทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็เกิดแล้วก็ดับอีก
ดูลงไปองค์ธรรมทั้งหลายค่อยแจ่มชัดขึ้นเป็นลำดับๆ
ทีแรกมันไม่ได้แตกละเอียดอย่างที่หลวงพ่อเล่านี้หรอก
เราก็เห็นแค่ว่าจิตเดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวมันก็หลง
เดี๋ยวมันก็โกรธ เดี๋ยวมันก็ไม่โกรธ
เฝ้ารู้เฝ้าดูง่ายๆ อย่างนี้
แล้วความรู้ถูกความเข้าใจถูกมันก็เกิดขึ้นเอง
ผัสสะเกิดแล้วก็ดับ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเกิดดับอย่างไร
เราเห็นตาก็มีอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย
แล้วตาไม่เห็นมันจะดับ
จริงๆ แล้วมันไม่ได้ทำงานตลอดเวลา
ตาเห็นรูปมันเห็นชั่วขณะเท่านั้นเองแล้วมันก็ดับ
ประสาทตานั้นที่ว่าดับคือมันไม่ทำงาน
ประสาทหูกระทบเสียงแป๊บเดียวก็ดับ มันไม่ทำงาน
คือจิตมันหยิบฉวยเอาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
เป็นช็อตสั้นๆ ช็อตสั้นๆ มันหยิบขึ้นมา
ตรงมันหยิบตาขึ้นมาตรงนั้นเรียกว่าชาติ ความเกิด
หยิบหูขึ้นมาก็เป็นความเกิด
การที่จิตมันไปหยิบฉวยอายตนะขึ้นมาคือความเกิด
คือตัวคำว่าชาติ
ก่อนที่มันจะเกิดชาติ
มันเกิดภพคือความปรุงแต่งของจิตขึ้นก่อน
ก่อนจะเกิดภพมันมีอุปาทานความยึดถือเกิดขึ้น
ก่อนจะมีอุปาทานมันมีความอยากเกิดขึ้น
ก่อนที่จะมีความอยากเกิดขึ้น
มันมีความรู้สึกสุขทุกข์เกิดขึ้น
ก่อนจะมีความรู้สึกสุขทุกข์เกิดขึ้น
มันมีผัสสะการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เฝ้ารู้เฝ้าดู ก็ดูมาง่ายๆ
เริ่มต้นก็แค่เห็นจิตเดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลง
เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็ไม่โลภ
เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็ไม่หลง
เริ่มต้นหัดแค่นี้เอง
แล้วความรู้ความเข้าใจมันค่อยแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็น
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งสิ้น
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดแล้วก็ดับ
ตรงที่มันดับคือเราปิดการใช้งาน ไม่ได้ใช้งาน
มีตาลืมตาอยู่นี่ล่ะ แต่ไม่มีจิตเกิดขึ้นที่ตา
ตาก็ไม่เห็นรูป ผัสสะไม่มี
สิ่งที่เรียกว่าผัสสะนั้นก็คือมีตา มีรูป มีวิญญาณทางตา
มีความใส่ใจที่จะสนใจ
แล้วจะเกิดการเห็นรูปขึ้นมา
เฝ้ารู้เฝ้าดูก็จะเห็น
สุดท้ายจิตมันก็สรุปได้
“สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา”
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป
ตรงที่เราเห็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อย่างละ 6 – 6 – 6 (6 คูณ 3 = 18)
ตัวนี้มีชื่อเรียกว่าธาตุ ธาตุ 18
เราภาวนาไปเรื่อยๆ เราก็เห็น
ถ้าเราเห็นน้อยหน่อยก็เห็นอายตนะ 6 เห็นขันธ์ 5
เห็นละเอียดขึ้นไปมันก็เป็นธาตุ 18
ต่อไปก็เห็นไปเรื่อยๆ
สุดท้ายมันก็จะเห็นปฏิจจสมุปบาทจนได้
เพราะกระบวนการที่มันทำงาน
นั่นล่ะเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ไม่มี
เกิดดับสืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดู เวลาเราดูจิตดูใจ
ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นึกอยากดูก็ดู
จิตไม่มีรูปร่าง จิตไม่มีตัวตน จิตเป็นอรูป
เราจะเห็นจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปได้
เราไปเห็นตัวมันตรงๆ ไม่ได้ เพราะมันไม่มี
มันไม่มีตัวตนให้ดู ไม่มีรูปลักษณ์อะไรเลย
มันเป็นแค่ความรู้สึก ความรับรู้อารมณ์เท่านั้นเอง
เราจะเห็นว่าจิตดวงนี้กับจิตดวงนี้เป็นคนละดวงกันได้
เราก็จะต้องอาศัยสิ่งที่มาประกอบกับจิต
เช่นจิตดวงนี้มีความสุข
จิตที่มีความสุขมันมีกิริยาอาการไม่เหมือนจิตที่มีความทุกข์
จิตที่มีความสุขความทุกข์ก็ไม่เหมือนจิตที่เฉยๆ
ก็ค่อยๆ เห็นแล้วมันจะรู้ว่าจิตแต่ละดวงๆ
มันเกิดแล้วดับไป
จิตสุขเกิดแล้วดับ จิตทุกข์เกิดแล้วดับ
จิตดีจิตชั่วก็เหมือนกัน
จิตเป็นกุศลเกิดแล้วก็ดับ
จิตโลภ โกรธ หลง จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ
จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ
อาศัยสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตที่มันเปลี่ยนไป
อย่างความสุขเกิดขึ้นแล้วมันเปลี่ยนไป กลายเป็นเฉยๆ
หรือกลายเป็นทุกข์
มันทำให้เห็นว่าจิตที่เกิดร่วมกับองค์ธรรมที่มาร่วมกัน
เรียกว่าเจตสิก
จิต กับเจตสิกมันเกิดด้วยกันดับด้วยกัน
เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันอยู่อย่างนั้น
มันก็เลยเห็นว่า โอ้ จิตมันเกิดดับ
เพราะมันแสดงออกมาทางเจตสิกที่เกิดร่วม
จิตที่สุขเกิดแล้วดับเพราะอะไร
เพราะว่าความสุขเกิดแล้วมันดับ
จิตที่มีความสุขมันก็เลยเกิดแล้วก็ดับไปพร้อมๆ กัน
จิตทุกข์เกิดแล้วก็ดับ
เพราะว่าความทุกข์มันเกิดแล้วดับเหมือนกัน
เกิดพร้อมกันแล้วก็ดับพร้อมกัน
เฝ้ารู้ลงไปเรื่อยในที่สุดก็เห็นว่า
จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ
พอเราเห็นว่าจิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ
จิตสุข จิตทุกข์ จิตเฉยๆ เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
จิตที่เป็นกุศล
หรือจิตที่เป็นอกุศลทุกๆ ชนิดเกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
จิตที่ดูรูป จิตที่ไปฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
รู้สัมผัสทางกาย รู้การกระทบธรรมารมณ์ทางใจ
เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
สุดท้ายเราก็จะเห็นจิตทั้งหมดเกิดแล้วดับ
ตรงนี้เรียกว่าเราเห็นอนิจจังแล้ว
มันเกิดแล้วมันดับ เกิดแล้วดับซ้ำๆๆ ไป
ถึงจุดหนึ่งจิตมันปิ๊งขึ้นมา
ตรงที่มันปิ๊งขึ้นมาคือมันเข้าใจขึ้นมา
จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี
มันมีแต่ของที่เกิดแล้วดับ
สิ่งที่นึกว่าเป็นตัวเรามีแน่นอน มีถาวร
มันไม่ได้มีจริงหรอก
มันมีแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นทั้งหมดดับไป
จะเห็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นที่อ่านพระไตรปิฎกมา
ที่อ่านตำรับตำรามา
อ่านอย่างไรมันก็ไม่เข้าใจ
ต้องลองภาวนาลงมือภาวนา
เอาเป็นเอาตายเลย สู้ตายจริงๆ
ดูแล้วดูอีกทุกวันๆ มันถึงจะเข้าใจได้
ธรรมะเข้าใจไม่ได้ด้วยการท่อง
ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง
1
อย่างเรื่องอริยสัจ สมัยหลวงพ่อมันมีวิชาศีลธรรม ยุคนี้ได้ข่าวว่าไม่มีแล้ว หรือมีก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเด็กเขาเรียนอะไรกัน ยุคหลวงพ่อมีวิชาศีลธรรม แล้วก็มีการสอนเรื่องอริยสัจ 4 ด้วย
ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี่คือตัวทุกข์
สมุทัยคือตัวความอยาก คือตัณหา เรียนกันเด็กๆ ก็เรียนอย่างนี้
นิโรธคือตาย แหม อยากเขกกบาลคนแต่งตำรายุคนั้นจริงๆ นิโรธคือตาย นิพพานคือตาย
มรรคมีองค์ 8 อย่าง อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่องเลยก็คิดว่ารู้อริยสัจแล้ว เพราะจำไว้แล้วก็ไปสอบ สอบได้ด้วย สอบได้คะแนนดีเลย คิดว่าทุกข์คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์
ตอนโตแล้วมาบวชอยู่วัดชลประทานฯ ก็เรียนละเอียดขึ้น สิ่งที่เรียกว่าทุกข์มันก็คืออุปาทานขันธ์ทั้ง 5 คือตัวทุกข์ ขันธ์ที่เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นได้คือตัวทุกข์ ก็เรียนละเอียดขึ้นหน่อย
ก็คิดว่าเรารู้จักอริยสัจแล้ว ขันธ์ที่เราไปยึดมั่นมันทุกข์
ฉะนั้นขันธ์ที่เราไม่ยึดมั่นมันไม่ทุกข์ ก็คิดอย่างนี้
มาภาวนาอยู่นาน มันเข้าใจเป็นอีกแบบหนึ่ง
ก็ขันธ์นั่นล่ะตัวทุกข์
เราจะยึดหรือเราจะไม่ยึด ขันธ์อย่างไรก็ทุกข์นั่นล่ะ
ถ้าเรายังมีขันธ์ที่ไม่ทุกข์ มันก็ยังยึดขันธ์ที่ไม่ทุกข์อยู่อีก
ฉะนั้นบางทีเรียนๆ ท่องๆ ไว้
แล้วพอเราภาวนาพัฒนาขึ้น
สิ่งที่นึกว่าเข้าใจมันไม่เข้าใจ
อย่างพอมาเรียนเรื่องจิตก็เข้าใจว่า
โห จิตนี่ถ้ามันขาดสติ
มันไปยึดอารมณ์มันถึงจะทุกข์
ถ้าจิตไม่หลง จิตมีสติ
มีความตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ เป็นจิตผู้รู้อยู่ ตัวนี้ไม่ทุกข์
ฉะนั้นจิตมี 2 ตัว จิตที่ทุกข์คือจิตที่เข้าไปเสพอารมณ์
จิตที่ไม่ทุกข์คือจิตที่รู้อารมณ์แล้วก็ไม่เข้าไปเสพ
เห็นอย่างนี้
ค่อยภาวนาไปวันหนึ่งก็พบอีกว่าไม่ใช่หรอก
จิตผู้รู้เองก็ยังทุกข์อยู่
คือตัวทุกข์ที่ยิ่งกว่าทุกข์อื่นๆ ด้วย
ค่อยภาวนาค่อยเห็น ในที่สุดก็รู้เลย
จิต กระทั่งจิตที่ดีที่สุดวิเศษที่สุด
จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ประกอบด้วยสติ ประกอบด้วยสมาธิ
ประกอบด้วยปัญญา ก็ยังเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้
เราไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลย
ในขันธ์ 5 นี้จะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย
หาไม่ได้ ไม่มี
ค่อยๆ ฝึก แล้ววันหนึ่งก็จะเข้าใจ
หลวงพ่อบอกเหมือนกางแผนที่ให้เราดูเท่านั้นเอง
เราจะต้องเดินไปตามเส้นทาง …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
26 มีนาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา