5 เม.ย. 2022 เวลา 01:12 • ปรัชญา
“เวลาเรียน เรียนจุดเล็กๆ นิดเดียวนั่นล่ะ
เวลาเข้าใจเข้าใจทั้งหมด
จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจอริยสัจ”
“… จิตละเอียดเกินไป ดูไม่เห็นก็ไปดูกายเสียก่อน
ถ้าเราเรียนเข้ามาถึงจิตถึงใจได้
ก็จะไปได้รวดเร็วหน่อย
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเรียนเข้ามาที่จิตตรงๆ ได้
คนจำนวนหนึ่งก็ต้องไปผ่านของที่หยาบกว่านั้น
จิตมันละเอียดเกิน ดูไม่เห็นก็ไปดูกายเสียก่อน
อย่างในวัดนี้พระจำนวนหลายองค์ ดูกายไม่ใช่ดูจิต
บางองค์หลวงพ่อบอกอย่าดูจิต ดูจิตแล้วกำลังไม่พอ
สติ สมาธิอะไรมันไหลออกข้างนอกหมดเลย
จิตผู้รู้มันดับไป มันเป็นจิตผู้ไปหลง
อยู่ในความว่าง ความสว่างอะไรข้างนอก
หรือเคลิ้มๆ ไปนั้นใช้ไม่ได้หรอก
ฉะนั้นถ้าเราดูจิตดูใจไม่ออก ดูกายไป ไม่ได้เสียหายอะไร
รู้สึกร่างกายไป การดูกายก็ได้สมาธิ
แล้วการดูกายให้เกิดปัญญาก็ทำได้
อย่างถ้าเราเห็นกายมันเป็นแค่ก้อนธาตุ
มันเห็นกายมันเป็นวัตถุธาตุ นั่นคือการเจริญปัญญา
แต่ถ้าเราไปเพ่งตัววัตถุอยู่เฉยๆ เป็นสมาธิ เป็นสมถะ
อย่างที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง ที่หลวงพ่อไปวัดป่าสาลวันจะไปกราบหลวงพ่อพุธ แล้วเข้าหลังวัดไปเจอขี้หมาเต็มไปหมดถนนเลย เกลื่อนไปหมดเลย ใจมันก็รังเกียจ ใจขยะแขยงขึ้นมา
เสร็จแล้วสติ สมาธิ มันรวมตัวเข้ามา
มันมองออกไปในกองขี้หมาเละๆ นั้น
มันเห็นว่าสีมันก็อันหนึ่ง กลิ่นมันก็อันหนึ่ง
ธาตุดินมันก็อันหนึ่ง ธาตุน้ำมันก็อันหนึ่ง
ธาตุไฟ ธาตุลม มันก็คนละอันๆ
มันแยกๆๆๆ ออกไป มันไปถึงตัวธาตุ
มันไม่มีขี้หมา ไม่มีสะอาด ไม่มีสกปรก
ฉะนั้นปฏิกูลอสุภะอะไรนี่ไม่ใช่ของจริง
มันยังไม่ใช่ของจริง มันเป็นบัญญัติ
ตัวที่เป็นของจริงคือตัวธาตุ เป็นธาตุ
ธาตุดินมีสกปรกไหม ธาตุน้ำมีสกปรกไหม ไม่มี
ตัวธาตุจริงๆ ล้วนๆ เฝ้ารู้เฝ้าดู ก็แยกๆๆ ออกไป
ฉะนั้นดูกายแล้วดูลงไปเลย ร่างกายมันก็แค่วัตถุธาตุเท่านั้นเอง
ดูหยาบๆ ก็เห็นตัวนี้ทั้งตัวนี้เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
หุ่นยนต์ตัวนี้กำลังนั่ง กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนอน
หุ่นยนต์ตัวนี้หายใจออก หายใจเข้า
หุ่นยนต์ตัวนี้เคลื่อนไหว หุ่นยนต์ตัวนี้หยุดนิ่ง
หัดดูทีแรกดูอย่างนี้ก็ได้
ถ้าดูอย่างนี้เราจะเห็นตัววัตถุคือตัวร่างกายนี้
ถ้าเราเห็นตัววัตถุอย่างนี้ยังเป็นสมาธิอยู่ เป็นสมถะ
ดูเรื่อยๆๆๆ ใจจะค่อยๆ สงบลงมา
แต่ถ้าดูทะลุลงไปเห็น จริงๆ แล้วมันก็แค่ธาตุเท่านั้นเอง
ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มาประกอบกัน
มารวมกันอยู่ชั่วคราว ด้วยกำลังของวิบากกรรม
ด้วยชนกกรรม ให้รวมตัวนี้ขึ้นมา รูปร่างเป็นอย่างนี้
ดูเข้าใจมันก็วางเป็นลำดับไป
บางคนภาวนาแล้วก็ดูร่างกาย
เห็นมันเป็นปฏิกูลอสุภะแล้วก็บอกไม่ยึดถือร่างกาย
ก็ไปเจอร่างกายที่ไม่มีปฏิกูลอสุภะแล้วจะทำอย่างไร
ร่างกายที่ไม่มีปฏิกูล ไม่มีอสุภะ มีนะ
พวกกายของเทพ ของพรหม ไม่มีเน่าไม่มีเหม็นอะไรอย่างนี้
ไม่เหมือนกายมนุษย์ กายสัตว์ กายผีเปรต
สัตว์นรกอะไรพวกนี้ พวกนี้เหม็นสกปรก
ฉะนั้นบางทีพิจารณาปฏิกูล พิจารณาอสุภะ
สิ่งที่ได้มาคือการข่มราคะลงไปชั่วครั้งชั่วคราว
พอทำจนชำนาญมากๆ
พิจารณาปฏิกูลอสุภะจนใจมันแน่วแน่
มันเชื่อเลยกายนี้มันเป็นปฏิกูลอสุภะจริงๆ
กามราคะมันไม่เกิด นี้คิดว่าตรงนี้ได้พระอนาคามี
เพราะว่าพิจารณาอสุภกรรมฐาน
จริงๆ ไม่ใช่หรอก
ถ้าดูให้ละเอียดลงไป
มันไปได้เพราะการเห็นธาตุ เห็นขันธ์ เห็นไตรลักษณ์
ไม่ใช่เห็นอสุภะ
เพราะว่ารูปบางอย่างไม่มีอสุภะ
รูปของพวกเทพไปดูอย่างไรมันก็สวย มันก็ไม่น่าเกลียด
รูปมนุษย์ต่างหากน่าเกลียด สกปรก เหม็น
เหม็นมากรูปมนุษย์
เวลาสมาธิเราดีๆ คนเดินผ่านใกล้ๆ เรายังรู้สึกเหม็นเลย
พวกเทพเคยไปทูลพระพุทธเจ้าว่า
ร่างกายมนุษย์นี้เหม็น 100 โยชน์
แล้วทำไมพวกเทพเห็นอสุภะขนาดนั้น
แล้วทำไมไม่บรรลุพระอนาคามี
ก็มันกายคนอื่น มันไม่ใช่กายของตัวเอง
ของตัวเองไม่มีอสุภะ
จะละได้ต้องเห็นไตรลักษณ์
จะวางได้ถาวรต้องเห็นอริยสัจ
ฉะนั้นถ้าพิจารณาปฏิกูลอสุภะเหมือนๆ
เหมือนๆ ได้พระอนาคามี ไม่มีกาม
แค่เหมือนๆ หรอก จะละได้จริงๆ ก็ต้องเห็นไตรลักษณ์
เห็นไตรลักษณ์ก็ค่อยๆ วาง วางแล้วก็หยิบๆ
ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ในขั้นสุดท้าย
อย่างวางจิตได้ เห็นจิตเป็นไตรลักษณ์ก็วางจิต
เดี๋ยวก็หยิบอีกแล้ว
จะวางได้ถาวรต้องเห็นอริยสัจ มีเห็นหลายระดับ
ตอนที่เราทำวิปัสสนาอยู่เราเห็นไตรลักษณ์ไหม
เห็นจิตมันเกิดดับ เห็นรูปมันเกิดดับ
เห็นจิตไม่ใช่ตัวเรา เห็นรูปไม่ใช่ตัวเรา
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ กำลังถูกบีบคั้นให้หมดไปสิ้นไป
เรียกเห็นทุกขตา เห็นทุกข์
สิ่งทั้งหลายก็ถูกบีบคั้นให้หมดไปสิ้นไป
เห็นอย่างนี้ใจค่อยวางๆๆ
แต่วางแล้วก็ยังหยิบได้อีกเป็นระดับๆ ไป
ตรงที่มันวางขาดจริงๆ มันต้องเห็นอริยสัจ
รู้แจ้งขันธ์ 5 นี้ไม่ใช่อื่นไกล
ขันธ์ 5 นี้คือตัวทุกข์ เห็นอย่างนี้
อย่างตอนที่ภาวนาใหม่ๆ รู้สึกจิตผู้รู้มันเป็นตัวสุข
จิตผู้หลงมันเป็นตัวทุกข์
จิตยังมี 2 อัน ตัวสุขกับตัวทุกข์
ภาวนาจนถึงจุดหนึ่งจะแจ้งเลย จิตนั้นล่ะคือตัวทุกข์
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
กายนี้คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
ไม่มีตัวสุข อันนั้นเรียกว่าเรารู้ทุกข์จริงๆ แล้ว
พอรู้ทุกข์จริงๆ มันจะวางเลย
จะวางจริงๆ วางวัฏฏะลงไป
วัฏสงสารถล่มลงตรงนั้น
ตรงที่รู้แจ้งในกองทุกข์ของขันธ์ 5 นั้น
หรือของอายตนะ 6 หรือของธาตุ 18 ของอินทรีย์ 22
ก็จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท
สิ่งที่เรานึกว่ามี
มันแค่การประชุมกันขององค์ธรรมจำนวนมาก
อยู่ชั่วคราวก็แตกสลายออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวไปหมดเลย
ค่อยๆ เรียนไปแล้ววันหนึ่งจะเห็น อย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ วันนี้แค่เห็นว่าเดี๋ยวจิตรู้ เดี๋ยวจิตหลง แค่นี้ยังดีเลย ใช้ได้
หรือเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวจิตก็เฉยๆ แค่นี้ก็ใช้ได้
หรือเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็โกรธ เดี๋ยวจิตก็ไม่โกรธ แค่นี้ก็ใช้ได้
เดี๋ยวเห็นจิตก็โลภ จิตก็ไม่โลภ แค่นี้ก็ใช้ได้
เวลาเรียน เรียนจุดเล็กๆ นิดเดียวนั่นล่ะ
เวลาเข้าใจเข้าใจทั้งหมด
จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจอริยสัจ
หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียน ท่านสรุปออกมาท่านเลยเรียกว่าอริยสัจแห่งจิต หลวงปู่มั่นสอนท่านดูจิต ท่านก็ดูๆ ไป
หลวงปู่มั่นสอนบอก
“สัพเพสังขารา สัพพสัญญาอนิจจา สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลายไม่เที่ยง”
“สัพเพสังขารา สัพพสัญญา อนัตตา สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลายเป็นอนัตตา”
สังเกตไหมไม่มีทุกขัง มีแต่อนิจจา อนิจจัง อนัตตา
ก็นามธรรม ตัวที่เด่นอนิจจัง อนัตตา
ท่านสอนหลวงปู่ดูลย์อย่างนี้
หลวงปู่ดูลย์ก็มาภาวนา “สัพเพสังขารา สัพพสัญญา อนิจจา”
สังขาร สัญญาอะไรพวกนี้มันทำงานร่วมกัน มันไม่ทิ้งกันหรอก
สัญญาหมายรู้ผิด สังขารมันก็ปรุงไป มีตัวมีตนขึ้นมา
แต่ว่าสัญญาจะดีแค่ไหน สังขารจะดีแค่ไหน ก็ไม่เที่ยง
จะปรุงวิเศษแค่ไหนก็ไม่เที่ยง
จะวิเศษแค่ไหนก็ไม่ใช่ตัวเรา
เป็นสภาวะที่เกิดจากการประชุมกันขององค์ธรรมต่างๆ
แล้วก็แยกตัวออกจากกันสลายไป
มีแต่เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น
ท่านเลยเข้าใจจิตของท่าน
ท่านเลยสอนเรื่องอริยสัจแห่งจิตขึ้นมา
พวกเราก็ค่อยๆ สังเกตจิตของตัวเองไป
แต่ทุกวันที่ต้องตั้งใจให้ดี
ต้องรักษาศีล 5 ถ้าไม่มีศีล 5 ล้มเหลวแน่นอน
อย่างทุกวันนี้มีข่าวพระทำอะไรไม่ดีไม่งามเยอะแยะไปหมดเลย
เพราะแกลืมถือศีล 5 กัน ลืม
ไปบวชอย่างนั้นล่ะเป็นอาชีพอันหนึ่ง
ก็ไปบวชไม่ได้คิดจะรักษาศีล
ไม่ได้คิดจะฝึกสมาธิ ไม่ได้คิดเจริญปัญญา
มันก็เป็นฆราวาสแต่ว่าห่มจีวรเข้าไปเท่านั้นเอง
ฆราวาสทำชั่วอะไรได้
พระอย่างนั้นมันก็ทำชั่วได้เหมือนๆ ฆราวาส
เพราะจริงๆ คือฆราวาส เพียงแต่เอาจีวรมาห่มเท่านั้นเอง
แล้วเราภาวนา วันหนึ่งทั้งๆ ที่เราไม่ได้ห่มจีวร
แต่ใจเราเป็นพระได้
อย่างพระโสดาบัน ไม่ได้แปลว่า ต้องบวช
ฆราวาสก็เป็นได้ ให้มันมีศีลมีธรรมไว้
ศีลขั้นต่ำเลยศีล 5 รักษาให้ดี
ทุกวันแบ่งเวลาทำในรูปแบบ
ถ้าไม่ทำในรูปแบบจิตจะไม่มีพลัง
จิตจะป้อแป้ๆ ไม่มีเรี่ยวมีแรง
ต้องทำในรูปแบบ แล้วก็เจริญปัญญาไป
การเจริญปัญญาก็คือการเห็นการทำงานของกายของใจไป
ร่างกายมันก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป
จิตใจมันก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป
มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของทนอยู่ไม่ได้
มีแต่ของบังคับไม่ได้ ดูความจริงไปเรื่อยๆ
ความจริงมันจะแสดงตัวตอนไหน
ตอนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ตอนที่มีผัสสะ พอมีผัสสะกระบวนการทำงานมันก็จะเกิดขึ้น
ถ้าไม่มีผัสสะ มีตาก็เหมือนไม่มี มีหูก็เหมือนไม่มี มีใจก็เหมือนไม่มี จิตก็ตกภวังค์ไป ไม่มีการกระทบอารมณ์หยาบๆ มันจะไปกระทบอารมณ์เก่าๆ
อย่างเวลาจิตมันตกภวังค์ลึกๆ ถามว่ามีอารมณ์ไหมจิตที่ตกภวังค์ลึกๆ เลย มี แต่มันเป็นอารมณ์เก่าๆ เรียก อตีตารมณ์ มีจิตเมื่อไรต้องมีอารมณ์เมื่อนั้น
อย่างเวลาเกิดมรรคเกิดผลก็มีจิต แล้วอารมณ์ของมรรคผล อารมณ์ของจิตดวงนั้นก็คือตัวนิพพาน ฉะนั้นมีจิตก็มีอารมณ์
ค่อยๆ เรียนไป เดี๋ยวก็เห็นด้วยตัวเอง ค่อยๆ ฝึก
จุดเริ่มต้นก็ไม่มีอะไรมากถือศีล 5 ไว้
ทุกวันทำในรูปแบบ
เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน
เจริญสติในชีวิตประจำวันทำอย่างไร
เมื่อตาเห็นรูปมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ รู้สึก
ในกายก็ได้ ในใจก็ได้
อย่างเราเห็นรูป เห็นหน้าคนๆ หนึ่ง
จิตใจเรามีความโกรธเกิดขึ้น เรารู้ทัน
โอ้ จิตมันโกรธแล้ว
ถ้ารู้ไม่ทันตรงนี้หน้าเราก็จะออกแล้ว
หน้าของคนโกรธดูออกไหม
หน้าของคนมีราคะดูออกไหม
พวกหื่นจัดๆ ดูหน้าก็รู้แล้ว
เพราะฉะนั้นเวลาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์
ใจมันเปลี่ยนเรามีสติรู้ทัน
ถ้ารู้ทันที่จิตใจไม่ได้ รู้ทันที่กาย
อย่างโทสะเกิด รู้ทันจิตไม่ได้ว่าจิตโกรธ
โมโหแล้วกำลังจะชกเขาแล้ว เห็นร่างกายขยับ รู้สึก
เห็นรูปมันเคลื่อนไหวแล้ว อย่างนี้ก็ใช้ได้
ดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย แล้วเราจะเห็นเลยทุกอย่างมันเกิดดับ
กำลังจะชกขยับมืออย่างนี้ จิตตั้งมั่นปุ๊บขึ้นมา เห็นเลย
นี่รูปมันเคลื่อนไหว ไม่ใช่คน ไม่มีเรา ไม่มีเขา
ฉะนั้นการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นกระทบรส
มีกายกระทบสัมผัส มีใจกระทบความคิดนึกปรุงแต่ง
กระทบแล้วเกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้นในจิต รู้ทัน
ถ้าเกิดปฏิกิริยาในจิต มองไม่เห็นรู้ไม่ทัน
ปฏิกิริยาเกิดขึ้นทางกายรู้ทัน
จิตมีราคะร่างกายมันก็มีความเปลี่ยนแปลงแล้ว
รู้สึกเอา
ค่อยๆ ฝึก 3 อัน
รักษาศีล 5
ทุกวันแบ่งเวลาทำในรูปแบบ
เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงในจิต ให้รู้ทัน
หรือถ้าดูจิตไม่ทัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์แล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย รู้ทัน
อย่างเวลาโกรธหัวใจเต้นตุ้บๆ หน้าร้อนขึ้นมาเลย รู้สึกไป จะเห็น เอ๊ะ ร่างกายนี้มันเป็นเอง เราไม่ได้สั่งมันเลย หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้สั่งให้มันทำ กิเลสมันสั่ง
ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้ไป ถึงจุดหนึ่งมันจะเข้าใจ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดับทั้งสิ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไร
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
เห็นอย่างนี้ ค่อยๆ ฝึกไป
พอเห็นความจริงแล้วต่อไปมันก็ละ
การละมันเป็นหน้าที่ของปัญญา ปัญญาเป็นตัวละ
พอมันเข้าใจความเป็นจริงแล้วมันยึดถือไม่ลงแล้ว
ก็มันเป็นตัวทุกข์เราจะไปยึดมันทำไม
ยึดก็โง่แล้ว ไปยึดก้อนทุกข์ไว้
เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นทุกข์แจ่มแจ้ง
มันละเอง ละความอยากเอง
รู้ทุกข์เมื่อไรก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
ละสมุทัยเมื่อไรก็แจ้งนิโรธเมื่อนั้น
เข้าถึงความสงบสุขโดยที่ไม่มีอะไรมาล่อมันเลย
ไม่มีเหยื่อล่อเลย มันสงบสุขเพราะมันเห็นความจริงแล้ว
ตรงที่เรารู้ทุกข์จนมันละสมุทัย แจ้งนิโรธได้
นั่นล่ะคือมรรค คือการเจริญมรรค
สรุปแล้วง่ายๆ ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ
เวลาที่เหลือเจริญสติไป ดูกายดูใจมันทำงานไป
ดูไตรลักษณ์ให้เห็นไป. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
26 มีนาคม 2565
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา