25 เม.ย. 2022 เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
“ในการภาวนาในขั้นของวิปัสสนากรรมฐาน
ไม่มีคำว่าต้อง ไม่มีคำว่าห้าม
มีแต่ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างไร
เฝ้ารู้เฝ้าดู เป็นขณะๆๆ ไป”
“ … การภาวนามีลำดับของมัน
ทีแรกดูได้หยาบๆ จิตเราหยาบ
มีกิเลสแรงๆ ถึงจะเห็น
อย่างโกรธแรงๆ แล้วถึงจะรู้
โลภแรงๆ แล้วถึงจะรู้
เราหัดรู้หัดดูบ่อยๆ สติเราก็ว่องไวขึ้น
ขัดใจเล็กๆ ก็มองเห็นแล้ว
อย่างนี้ถือว่าเราก็พัฒนาขึ้น
มีความสุขแผ่วๆ โชยขึ้นมาจากกลางอกอย่างนี้
เราก็เห็น เฝ้ารู้เฝ้าดูมันไป
เสร็จแล้วจิตมันจะค่อยๆ วางของหยาบ
มันทวนกระแสเข้ามาที่ตัวรู้มากขึ้นๆ
ของหยาบๆ ในทางจิตนั้นคืออะไร
สุขทุกข์มันของหยาบ ดีชั่วก็ยังเป็นของหยาบ
การที่จิตวิ่งไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ยังหยาบอยู่
1
ของหยาบๆ มันก็ดูง่าย เบื้องต้นก็ดูหยาบๆ ไป
ภาวนาจนจิตรวมลงที่จิตแล้ว
เราก็จะเห็นความปรุงแต่งของจิต
หรือเห็นสังขารของจิต ตัวจิตตสังขาร
ในขั้นละเอียดเราจะเห็นว่า
มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นได้ 3 แบบที่จิตเรานี้
อันหนึ่งปรุงดี อันหนึ่งปรุงชั่ว อันหนึ่งปรุงความว่างๆ
หลีกเลี่ยงการกระทบอารมณ์
ถึงตรงนี้เราไม่ได้ไปดูโลภ โกรธ หลงอะไรแล้ว
เพราะโลภ โกรธ หลงมันหยาบๆ
มันละเอียดเข้าไป มันก็จะเห็นความปรุง
เห็นสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นทั้งหมดก็ดับไป
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป ถ้ามองให้ละเอียดขึ้น
สิ่งบางสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น บางทีก็คือความปรุงดี
บางทีก็คือความปรุงชั่ว
ไม่ได้นับเป็นเรื่องๆ
จะเห็นแค่ความปรุงแต่งเป็นขณะๆ ไป
อย่างเราภาวนา เราคิดถึงการภาวนา
จิตมันก็เริ่มปรุงแต่ง อันนี้หยาบหน่อย
เรียนหยาบๆ ก่อน อย่างเราคิดถึงการปฏิบัติ
จิตเราก็ปรุง ปรุงดี คอยควบคุมตัวเอง
คอยบังคับตัวเอง คอยจ้อง คอยเพ่ง คอยสังเกต
มีการกระทำเพื่อจะให้จิตสุข จิตสงบ จิตดี
หรือมีความอยากแทรกอยู่ อยากให้เกิดปัญญา
อยากรู้ อยากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ความอยากอย่างนี้
มันก็ทำให้เกิดความปรุงฝ่ายดีขึ้นมา
อยากปฏิบัติอะไรอย่างนี้ก็ปรุงดี
พอปรุงดีมันก็เป็นคนดี มันก็จะมีคนขึ้นมา
มีตัวเรา มีของเราขึ้นมา
ถ้าไม่จงใจปฏิบัติ จิตมันเคยชินจะชั่ว มันก็ปรุงชั่ว
ปรุงชั่วแรกๆ ก็คือมันจะหลง มันจะลืมเนื้อลืมตัว
แล้วก็แส่ส่าย ส่ายไปส่ายมา
เที่ยวแสวงหาว่าจะหาอารมณ์อะไรมาดูดี ส่ายๆ ไป
ถ้าหยาบๆ ก็วิ่งไปดูทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ถ้าละเอียดขึ้นมาก็แส่ส่ายอยู่ทางใจ มีนามธรรมเกิดขึ้นในใจ คอยรู้ไป มันก็มีแต่ความปรุงแต่ง ไม่มีอะไรหรอก
จนวันหนึ่งจิตเราเข้าถึงธาตุรู้ เราเข้ามาถึงธาตุรู้
ไม่ใช่ผู้รู้ วางผู้รู้ลงไป เข้ามาที่ธาตุรู้ได้
ถ้ายังไม่วางผู้รู้ลงไป เราสังเกต
ผู้รู้มันทำงาน มันมีความแส่ส่ายในตัวของมัน
ยังไม่รู้เลยว่ามันแส่ส่ายเรื่องอะไร มันส่ายๆ ข้างใน
ถ้ารู้ทัน จิตก็พลิกตัววางความปรุงแต่งไป
จิตก็เข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง
การภาวนามีลำดับของมัน เริ่มจากของหยาบๆ
เวลาเราดูได้แต่ของหยาบ เราก็ดูหยาบๆ
จนวันหนึ่งมันละเอียดขึ้นมา ละเอียดประณีต เห็น เรียน
ปฏิบัติอย่ารีบร้อน อย่าใจร้อน
หลวงพ่อเห็นบางคนเที่ยวถาม จะทำลายผู้รู้ได้อย่างไร
เธออย่าเพิ่งทำลายผู้รู้เลย เธอมีผู้รู้เสียก่อน
เธอยังไม่มีผู้รู้เลย จะทำลายผู้รู้ มันเพ้อ
การทำลายผู้รู้นั้น ศีล สมาธิ ปัญญา มันสมบูรณ์แล้ว
มันทำลายของมันเอง
ไม่มีใครทำลายผู้รู้ได้หรอก
เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์
แล้วมรรคมันทำลายของมันเอง
ฉะนั้นเราอย่าไปคิดเรื่องทำลายผู้รู้ๆ เพ้อไป
พระอนาคามียังทำลายผู้รู้ไม่ได้เลย
เราเพิ่งหัดดูจิตดูใจ 1 – 2 วัน จะมาทำลายผู้รู้
มันก็คือการล่มเรือในขณะที่อยู่กลางทะเลนั่นล่ะ
ฉะนั้นเราไม่เว่อๆ ไม่เกินชั้นเกินภูมิของเรา
อยากเป็นพระโสดาบัน
เราก็มาเรียนรู้ธรรมะของพระโสดาบัน
ในขณะนี้พวกเราเป็นปุถุชน
เราก็เรียนรู้ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบัน
เอาแค่นี้ก็พอแล้ว
ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบันได้
ถือศีล 5 ไว้ ขั้นแรกเลยต้องมีศีล
ถ้าไม่มีศีล 5 เป็นไม่ได้หรอก
จิตมันจะไหลไปทางบาปอกุศล ไปทำชั่ว
ทำชั่วมันก็มีผลเป็นความทุกข์ ความวุ่นวาย
ความไม่สงบสุข
เราก็มาดู พระโสดาบันท่านเคารพในพระรัตนตรัยแน่นแฟ้น ไม่เคารพสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ฝากเป็นฝากตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นเรื่องงมงาย เราก็ละวางเสีย
คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังของสติปัญญาพอ
ก็เที่ยวนับถืออะไรต่ออะไรมั่วซั่วไปหมด
ไปขุดเจอไม้ตะเคียนก็นับถือไม้ตะเคียน
เจอจอมปลวกก็นับถือจอมปลวก
บางพวกเจอภูเขา เห็นภูเขาหิมาลัย นับถือภูเขา
นับถือแม่น้ำ นับถือต้นไม้
นับถือผีสางเทวดาอะไรพวกนี้
หวังว่านับถือแล้วชีวิตจะพ้นจากความทุกข์
มันพ้นไม่ได้หรอก
ต้องถึงพระรัตนตรัยจริงๆ
เราถึงจะเริ่มห่างทุกข์ออกไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งจิตใจเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย อันนั้นล่ะเราพ้นทุกข์ได้จริง พ้นทุกข์ถาวร
ถ้าจิตเรายังไม่รวมเข้ากับพระรัตนตรัย ยังไม่พ้นหรอก
มันก็ยังอยู่กับโลก เป็นโลกที่ละเอียดหน่อย
พระโสดาบันท่านรู้อะไรอีก
พระโสดาบันท่านรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
เราอยากเป็นพระโสดาบัน
เราก็มาเรียนรู้ธรรมะของพระโสดาบัน
หลายๆ ข้อนี้ เอาที่สำคัญเลย ถือศีลไว้ก่อน
แล้วก็หัดภาวนาไป สังเกตเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจเรา
จริงหรือเปล่าที่สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
เฝ้ารู้ลงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก
อย่างเรานั่งภาวนา หายใจเข้าพุทหายใจออกโธอย่างนี้
แล้วเกิดอะไรแปลกปลอมขึ้นในจิตเรา
เราก็ดูไป รู้สึกอยู่ ดูห่างๆ
ดูเหมือนคนวงนอกไม่ถลำลงไปเพ่ง
เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเห็นเรือแล่นไปในแม่น้ำ
เราไม่โดดลงไปในน้ำ ไม่ไปว่ายน้ำ
เราอยู่บนบก
ฉะนั้นเวลาเราภาวนา ทำกรรมฐานของเราอยู่
แล้วมีอะไรแปลกปลอมขึ้น
เราดูเหมือนเราดูเรือในแม่น้ำ
ทั้งๆ ที่เราอยู่บนบก เราไม่ลงน้ำ
เราก็จะเห็นเรือมันมา แล้วเรือมันก็ไป
เรือลำนี้อาจจะคือความสุขที่ผ่านเข้ามาในใจ
เราก็เห็นเรือความสุขนี้ผ่านมา
แล้วเรือความสุขก็ผ่านไป
เห็นเรือความทุกข์ผ่านมา แล้วเรือความทุกข์ก็ผ่านไป
เราเป็นแค่คนดู เป็นคนวงนอก
ถ้าเราไปอยู่ในเรือด้วย
เราไปอินกับความสุขความทุกข์อะไรนี่ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง
หรือบางทีเรือโกรธมา เรือโลภมา เราเฝ้าดู
มันเห็นเรือแต่ละลำผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป
เราอยู่บนบก เราเป็นคนดูอยู่ต่างหาก
เฝ้ารู้เฝ้าดู 7 วัน 7 เดือน 7 ปี อะไรก็ภาวนา
ดูสิ่งซึ่งมันผ่านเข้ามาในจิตแล้วมันก็ดับไป
ผ่านเข้ามาแล้วมันก็ดับไป
ดูซ้ำๆๆ อยู่อย่างนี้ล่ะ
ไม่ต้องดิ้นรนค้นคว้าอะไรมากให้ฟุ้งซ่านหรอก
ถ้าอยากให้รอบรู้มากมาย ใจจะเริ่มฟุ้งซ่าน
ไม่ต้องรู้มาก พระโสดาบันไม่ได้รู้อะไรเยอะเลย
พระโสดาบันรู้แค่ว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
มันก็เหมือนเรานั่งดูเรืออยู่ริมแม่น้ำ
เรือลำไหนมาเดี๋ยวมันก็ไป
ภาวนาอย่ารีบร้อน อย่ากระโดด อย่าข้ามขั้น
ฉะนั้นเฝ้ารู้เฝ้าดูสบายๆ ชิลๆ ดูสบายไป
อย่าไปดูแล้วก็เครียดอะไรอย่างนี้
ตัวนี้ทำไมมาบ่อยนัก ทำไมตัวนี้ดีๆ ตัวนี้ไม่มา
มีแต่ตัวชั่วๆ มา ตัวทุกข์ๆ มาอะไรอย่างนี้
อันนี้ดูแบบไม่เป็นกลาง ดูแบบมีลุ้น
อยากให้เรือลำนั้นมา ไม่อยากให้เรือลำนี้มา
ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่คนขับเรือ
เรือมันจะมามันก็มา มันจะไปมันก็ไป
เราสั่งมันไม่ได้ เราไม่ใช่เจ้าของเรือ
สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เหมือนเรือไหลผ่านเข้ามาในใจเรา
มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ความสุขของเรา
ความทุกข์ของเรา ความดีความชั่วของเราที่เราจะสั่งได้
มันก็ไหลมาไหลไปๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป สบายๆ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี
บางคน 7 วัน หลวงพ่อเคยเห็น มีลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์องค์หนึ่ง แต่ไม่อยู่แล้ว องค์นี้ภาวนา แต่จะว่า 7 วันก็ไม่เชิงหรอก บวชได้ 7 วัน แต่ว่าก่อนบวชก็ภาวนา อยู่ทางกิ่งลำดวน อำเภอลำดวน
ชาวบ้านๆ นี่ล่ะ มานั่งภาวนาในวัด วัดสาขาของหลวงปู่ ภาวนาเสร็จแล้วออกจากวัดมา จะกลับบ้านเดินออกมา
จิตมันมีสมาธิมาก มองพื้นดินอยู่
สำรวมเดินระมัดระวัง
ไม่เดินเอ้อระเหย มองโน่นมองนี่
ถึงเขายังไม่ได้เป็นพระ เขาก็สำรวม
เพราะเขาภาวนา
เดินเห็นพื้น จิตมันรวมปุ๊บลงไป
มันมองทะลุแผ่นดินลงไป
เปลือกโลกที่เราอาศัยอยู่บางนิดเดียว
เทียบกับโลกทั้งโลก
เปลือกโลกนี้บางกว่าไข่ไก่อีก บางกว่าเปลือกไข่
ก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย อันตรายมากเลย
ข้างล่างเป็นของเหลวร้อนรุนแรง
ใจก็รู้สึกว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน
พร้อมเสี่ยงที่จะตายได้เสมอ
เขาภาวนา สติปัญญา เขาเกิดจากการภาวนา
ไม่ได้คิดเอาหรอก มันเห็นจริงๆ
พอกลับบ้านไป ใจก็สลดสังเวช
รู้สึกชีวิตนี้เป็นของไม่แน่นอน ไม่นานก็ต้องตาย
อีกวันหนึ่งก็ไปภาวนาที่วัดเดิมนั่นล่ะ
ภาวนาแล้วก็เดินออกมา
คราวนี้จิตมันไม่มองรูปธรรม
วันแรกมันเห็นรูปธรรม เห็นโลก เห็นเปลือกโลก
เห็นอะไร เห็นลาวาอยู่ข้างใน
วันนี้จิตมันมองเข้าไปเห็นนามธรรม มองปุ๊บลงไป
เห็นสัตว์ในนรก เห็นนรก
คนรู้จักหลายคนเลย ตอนมีชีวิตอยู่เขาทำตัวไหม
ทำผ้าไหม เมืองสุรินทร์มีชื่อเสียง เรื่องผ้าไหม
ผ้าไหมเขาดีมากๆ เลย
เห็นพวกนี้กำลังถูกต้มอยู่ ในหม้อใหญ่ๆ ในกระทะใหญ่ๆ ก็เลยรู้สึกชีวิตมันไม่ได้จบลงที่ตาย ชีวิตนี้หลังความตายก็ยังมีอีก อินทรีย์เขาแก่กล้าอย่างนี้ ออกมาบวช
มาบวชอยู่คืนวันที่ 7 จิตมันเข้าถึงความว่าง
วางสภาวะทั้งหลายลงไปตามลำดับๆ เข้ามาถึงว่าง
พอสว่างก็ไปถามหลวงตาซอม
หลวงตาซอมท่านภาวนาเก่ง ว่าจิตผมเป็นอย่างไร
หลวงตาซอมท่านบอกจิตมันเข้าถึงนิโรธ
องค์นี้ท่านฟังแล้วท่านก็ไม่แล้วใจ
เข้าถึงนิโรธ ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง
ฉันข้าวแล้วก็เดินตัดทุ่ง มาถามหลวงปู่ดูลย์
ไปเล่าให้ท่านบอก “ตอนนี้จิตผมถึงนิโรธ”
หลวงปู่ดูลย์ท่านตวาดเอา “เฮ้ย นิร่งนิโรธอะไร”
ถูกท่านตวาดทีเดียว จิตคลายความยึดถือความว่างๆ ลงไป จิตก็เข้าใจธรรมะที่มันพ้นจากความเกิดความตายขึ้นมาครั้งแรก ครั้งที่หนึ่ง ภาวนา เขาสะสม เขาบวชได้ 7 วันเองคนนี้
บางคนก็ภาวนากับหลวงปู่ 7 เดือน
บางคนก็ 7 ปีอะไรอย่างนี้
บางคน 16 ปี
ภาวนา ค่อยๆ เข้าใจไป ทำให้ถูก
ไม่ใช่ทำแบบลุกลี้ลุกลน
ภาวนาลุกลี้ลุกลน อยากจะได้ผลเร็วๆ มันจะไม่ได้อะไร
ความอยากมันทำให้จิตปรุงแต่ง
จิตก็ดิ้นรน ความปรุงแต่งของจิตคือภพ
มรรค ผล นิพพานมันพ้นจากภพไป
เราก็เอาแต่ปรุงแต่ง อยากดีๆ
อยากดีจิตก็เลยสร้างภพของคนดี เป็นคนดี
เป็นนักปฏิบัติที่ดีอะไรอย่างนี้
มันจอมปลอมทั้งหมดล่ะ ให้รู้ทันเลย
อันนี้จิตเราปรุงแต่งความเป็นนักปฏิบัติแล้ว
เรารู้ทันเข้าไป จิตเราปรุงดี เราก็รู้
ปรุงชั่วเรื่องง่าย ขนาดปรุงดียังรู้ทัน ยังไม่ติด
ปรุงชั่วของกระจอกงอกง่อย
อย่างจิตมันปรุงชั่ว
สิ่งที่ตามมาทันทีคือความเร่าร้อนหยาบๆ ของจิต
ถ้าจิตปรุงดี สิ่งที่ตามมาคือภาระของจิต
มันไม่ได้เดือดร้อนรุนแรงแบบที่ปรุงชั่วหรอก
แต่มันเป็นภาระ มันเป็นทุกข์
ฉะนั้นเวลาเราภาวนา อย่ารีบร้อน อย่ากระโดด
อย่าข้ามขั้น ค่อยๆ ภาวนา ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ขั้นแรกเลย ถือศีล 5 ไว้ก่อน
อันที่สอง ทำกรรมฐานไว้สักอย่างหนึ่ง
แล้วถ้าอ่านจิตอ่านใจได้
ทำกรรมฐานไปแล้วพอจิตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
ทำงานขึ้นมา ให้มีสติรู้ทันไป
ไม่ต้องลุ้นว่ามันจะต้องดีอย่างนั้น ต้องวิเศษอย่างนี้
จะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้
ห้ามอย่างนั้น ห้ามอย่างนี้
ในการภาวนาในขั้นของวิปัสสนากรรมฐาน
ไม่มีคำว่าต้อง ไม่มีคำว่าห้าม
มีแต่ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างไร
เฝ้ารู้เฝ้าดู เป็นขณะๆๆ ไป
ถ้าจิตมันรู้แจ้งเห็นจริง มันก็วางของมันเอง
วางครั้งที่หนึ่ง อริยมรรคทำลายอาสวกิเลสที่ห่อหุ้มอยู่
มันแตกทำลายออกไปชั่วแป๊บเดียวก็กลับมาปิดใหม่
เหมือนในบ่อน้ำมีเศษใบไม้
มีอะไรปลิวเต็มสระอยู่อย่างนั้น
เราหาก้อนหินใหญ่ๆ หรือไม้ท่อนใหญ่
ทุ่มโครมลงไป สิ่งสกปรกมันก็แหวกตัวออกไป
เห็นน้ำใสๆ แป๊บเดียวมันก็กลับมาปิดอีกแล้ว
อาสวะนี้ก็เหมือนกัน ครั้งที่หนึ่ง
แหวกออกได้ครั้งที่หนึ่งก็เข้ามาปิด
ครั้งที่สองก็เข้ามาปิด
ครั้งที่สามก็เข้ามาปิดอีก
จนถึงครั้งที่สี่ มันถึงจะแตกสลายไปจริงๆ
เข้ามาไม่ได้แล้ว จิตเข้าถึงธรรม
จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันไป
เรารู้จักพระรัตนตรัยแล้ว
เรามีที่พึ่งอันเกษมแล้วอย่างแท้จริงเลย
ถ้ายังไม่ได้อย่างนั้น เราก็เฝ้ารู้เฝ้าดูไป รักษาศีลไว้
เฝ้ารู้เฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา
ล้วนแต่ผ่านไปทั้งสิ้น
1
ถ้าดูจิตดูใจเราก็เห็น
ความรู้สึกทุกชนิดผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปทั้งสิ้น
สภาวะทั้งหลายในจิต
กระทั่งจิตเป็นผู้รู้ก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
จิตเป็นผู้ไปดูรูป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไปฟังเสียง ไปลิ้มรส ไปดมกลิ่นอะไรอย่างนี้
ก็เหมือนกันหมดล่ะ
เห็นทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปๆ
ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนถาวรหรอก …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
2 มกราคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา