4 พ.ค. 2022 เวลา 15:09 • ท่องเที่ยว
ยอร์ก วันที่ 4 (ตอนที่ 1) หัวใจพราวสีแห่งยอร์ก Heart of Yorkshire
วิหารยอร์ค (York Minster) เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่โตติดอันดับของอังกฤษและมีประวัติเก่าแก่ยาวนาน จุดเด่นของที่นี่คือกระจกสีซึ่งมีหลายบานที่งดงามและมีขนาดใหญ่งดงามเป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะบานที่อยู่ทิศตะวันออก (East Great) ใหญ่เทียบเท่าสนามเทนนิสเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีส่วนใต้ดิน (Undercroft) ที่เก่าแก่มาก มีที่เก็บของล้ำค่าจำนวนมากมาให้เข้าชม และยังมีส่วนอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายด้าน
ในตอนแรกนั้น นึกว่าจะไม่ได้มาชมของคู่บ้านคู่เมืองของยอร์กซะแล้ว เพราะวันที่ไปถึงมีพิธีสำคัญบางอย่างซึ่งต้องใช้พื้นที่ในโบสก์ และไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไป หลายคนต้องมารอเก้อ เราเองก็เข้าไปถามหญิงอ้วนคนหนึ่งที่เป็นพนักงาน เธอบอกว่าจะเปิดให้เข้าอีกทีวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็ทำให้แผนการสำรวจเมืองยอร์กของเราต้องปรับใหม่
วันต่อมาขณะที่กำลังเดินเล่นก็แปลกใจที่มีคนมาสะกิด หันไปก็เจอแม่สาวอ้วน (จริง ๆ ก็ไม่สาวเท่าใดแล้ว) ยิ้มหวานมาพอดี บอกว่าวันนี้วิหารยอร์คเปิดให้เข้าชมแล้วนะ ฉันจำได้ว่าท่าทางคุณดูผิดหวังมากในวันนั้น แต่แล้วเธอก็บอกเราว่าช่วงนี้ไม่ค่อยจะเป็นจังหวะที่ดีนัก เพราะบานหน้าต่างกระจกสี ที่เลืองลือชื่อนั้นปิดซ่อม (อ้าว แล้วกัน เศร้าอีกแล้ว) แต่ก็บอกว่ายังมีอะไรอื่น ๆ ให้ได้ชมอีกเยอะ
ประวัติของมหาวิหารนี้คล้ายๆกับที่อื่นซึ่งเคยเล่ามา นั่นคือเริ่มแรกในปี 627 สร้างด้วยไม้ (เดาถูกใช่มะว่าเกิดไรขึ้น ถูกต้องแล้วจ้า ไฟไหม้ตามธรรมเนียม) แถมสร้างขึ้นใหม่แล้วก็ถูกไฟไหม้อีก การสร้างโบสถ์ใหม่มีการปรับปรุงสไตล์รูปแบบต่อเติมเพิ่มขายไปเรื่อย
มหาวิหารที่เป็นเช่นเดียวกับอีกหลายแห่งที่ต้องราชภัยการยึดอารามในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 และในสมัยพระธิดาของพระองค์ ควีนเอลิซาเบธที่ 1 ได้พยายามทำโบสถ์นี้ให้เป็นโปรเตสแตนต์และขจัดสัญลักษณ์ร่องรอยคอทอลิกออกไป ถึงขั้นทำลายสุสานและหน้าต่างกระจกบางบาน วิหารที่ส่วนใหญ่สร้างในปี 1297-1350 และถูกภัยสงครามสมัยครอมมอนเวลล์ และในปี พ.ศ. 2527 (พ.ศ.) วิหารยอร์คก็ถูกไฟไหม้อีกครั้ง
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เราได้เข้าไปในมหาวิหารที่ใหญ่โตมากจริง ๆ แต่ละห้องมีบานหน้าต่างกระจกสีสวย ๆ ส่องแสงเลื่อมพรายลงมาตลอด ดูจนไม่หวาดไม่ไหว และมีชื่อเสียงที่สุดของมหาวิหารยอร์คคือหน้าต่างกระจกสีที่มีขนาดใหญ่โตมาก บานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือทิศใต้ สร้างเป็นรูปหัวใจ มีชื่อว่า Heart of Yorkshire เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะต้องมาดู
เห็นไหมจ๊ะ หัวใจแห่งยอร์ก บนยอดหน้าต่างบานยักษ์ ลองดูดีๆ
เข้าไปข้างใน เห็นหัวใจพร่างพราวแสงสี
ถึงจะไม่ได้เห็น Great East Window เต็มตา แต่ก็ยังมีนิทรรศการทดแทน ที่นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ความยากเย็น ภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่ทำกระจำให้สามารถมีสีสันสดใสหลายแบบ โดยการใส่ผสมสารต่าง ๆ โลหะต่าง ๆ ลงไปในขณะหลอมแก้ว
มีการใช้เทคนิคสารพัดเพื่อจะได้รูปแบบสีสันที่เหมาะสม ทั้งการผสมสารประกอบต่างๆลงไปในเนื้อแก้ว การวาดรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ใบหน้า ผม เครา นักบุญ ด้วยส่วนผสมที่ทำจากออกไซม์โลหะ และทำให้เนื้อสีติดกับผิวได้โดยผสมกาวจากอาหรับ บางทีก็มีส่วนผสมของไวน์ หรือแม้กระทั่งน้ำปัสสาวะ!!!
เทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือการฉาบทับแก้วสีด้วยแก้วใสหลายชั้น เพื่อให้ได้ความโปร่งใสในระดับที่เหมาะสม มีการใช้การลงสีแล้วจึงขัดบางส่วนออกไปให้เป็นเนื้อใสๆ ของแก้วตามรูปแบบที่ได้ออกแบบไว้
ส่วนวิธีการประกอบสร้างเพื่อให้ได้แผ่นหน้าต่างจะเริ่มจากการวาดภาพขนาดเท่าจริงลงบนพื้นโต๊ะ แล้วตัดกระจกให้เป็นตามแบบต่าง ๆ หลังจากได้กระจกที่ตกแต่งและลงสีและผ่านการใช้เทคนิคต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้วจึงประกอบกันเข้าโดยตะกั่ว
อันที่จริงเทคนิคการสร้างกระจกสีนั้นสามารถทำให้สีสันต่าง ๆ อยู่ได้อย่างคงทนเลยทีเดียว แต่ช่วงเวลาที่หน้าต่างแต่ละบานแสดงตนสัมผัสกับอากาศและกาลเวลา สายลมและแสงแดด ก็อาจทำให้เกิดการเสื่อมโทรม ซึ่งก็เป็นธรรมดา ส่วนใหญ่จะเจอกับฝุ่นผงที่เข้ามาเกาะนับเวลาเป็นร้อย ๆ ปี บางส่วนก็อาจแตกร้าวไปบ้าง
ในการบูรณะต้องใช้ช่างที่มีฝีมือและผู้เชี่ยวชาญหลายคน หากมีรายละเอียดบางอย่างที่หายไป ก็ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อที่จะฟื้นฟู สร้างมันขึ้นมาใหม่ และหลังจากสามารถนำหน้าต่างเก่าฟื้นชีวิตมาใหม่ได้แล้วก็ต้องมีวิธีการรักษาเพื่อให้คงทนอยู่ต่อไปอีกนานด้วย หน้าต่างกระจกสีในหลาย ๆ วิหารก็ถูกนำมาซ่อมแซมเมื่อมีโอกาสเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระจกสีล้ำค่าเหล่านี้จะได้รับการทนุถนอมอย่างดี แต่ก็ถูกทำลายแตกไปจากภัยต่าง ๆหลายครั้ง นอกจากนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อังกฤษมีความหวาดกลัวว่ากระจกจะถูกอันตรายจึงมีการถอดออกเก็บซ่อนไว้ รอสงครามสงบจึงค่อยติดตั้งใหม่ เห็นไหมครับว่าเข้าให้ความสำคัญมากถึงเพียงนี้
ภายในมหาวิหารมีนาฬิการูปร่างประหลาดอยู่ เป็นนาฬิกาที่ไม่มีเข็ม มีแต่เป็นแผ่นวงกลมอันนึงวางแปะอยู่บนวงแหวนวงหนึ่ง ดูเวลายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน นาฬิกานี้เรียกว่านาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหล่านักบินในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้ใช้ที่นี่เป็นฐานทัพ และได้พลีกายให้กับอนุชนรุ่นหลัง มีวงกลม วงแหวน แสดงถึงเวลาการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ซึ่งแปรเปลี่ยนไปในและละฤดูกาล
นอกจากนั้น มีการระบุเวลาในกรีนิช (Greenwich) เทียบกันกับ Sidereal หรือเวลาของดวงดาว บอกทิศทาง ตำแหน่งดาว North Circumpolar ซึ่งเห็นในตำแหน่งวนรอบดาวเหนือ ตรงกลางมีแผ่นจานที่วาดเป็นรูปแผนที่ รูปกำแพงเมืองยอร์ก มีแผ่นสีฟ้าที่แสดงถึงขอบฟ้าที่นักบินมองเห็นยามขับเคลื่อนเหนือนครยอร์ก
องค์ประกอบของนาฬิกานี้ยังแสดงถึงวัตถุบนฟากฟ้าหลายอย่าง เช่น พระอาทิตย์ บางส่วนแสดงถึงเส้นรุ้ง สุริยุปราคา และกลุ่มดาวบางดวง ด้านบนมีคำอุทิศว่า As Dying and behold we live (ยอมสละชีพ เพื่อให้พวกเรายังคงอยู่)
ใต้นาฬิกามีข้อความเชิงอุทิศไว้ว่า
THEY WENT THROUGH THE AIR AND SPACE WITHOUT FEAR
AND THE SHINING STARS MARKED THEIR SHINING DEEDS.
แปลความว่า
“เขาเหล่านั้นขับเคลื่อนไปบนนภาอันเวิ้งว้าง โดยปราศจากความหวาดหวั่น
แสงสว่างของเหล่าดารา เป็นจุดหมายถึง ภารกิจที่โชติช่วงของพวกเขา”
มองนาฬิกาแล้วยืนไว้อาลัยสักครู่ก็ซาบซึ้งดีนะฮะ อ้อ ใครอยากจะได้ทราบวีรกรรมของเหล่าทหารผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่านี้ สามารถไปชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งยอร์ก (York Castle Museum) ซึ่งผมจะพาไปให้ชมต่อไปนะครับ
ห้องใต้ดินโบราณ
หลังจากเดินทัวร์ประสาทโบราณที่แสนจะใหญ่โตแล้ว ถ้ายังไม่เมื่อยไปเสียก่อน ยังมีให้ชมต่อ ในชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นระดับที่โบราณเก่าแก่ของโบสถ์ในรุ่นก่อน มีฐานรากเสาเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรีกโน่น มีเสาใหญ่โตเก่าแก่รับน้ำหนักวงโค้งแบบโกธิค และยังเก็บของมีค่าต่างๆแสดงไว้ด้วย
เขาที่ไม่ใช่เขา แต่เป็นงาช้าง และเสื่อคลุมสวยสุดฤทธิ์
สมบัติสูงค่าอีกอย่างคือ เขาสัตว์ แม้ว่าป้ายจัดแสดงเรียกมันว่า Horn of Ulf แต่มันก็ไม่ได้ทำมาจากเขาซักกะหน่อย แต่มาจากงาช้างต่างหาก เป็นงาช้างที่ตัดออกมามีรูปร่างแบบเขาสัตว์ ผู้มอบให้มีชื่อว่า Ulf ซึ่งเป็นชาวไวกิ้งชั้นสูง ได้มาสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ
เขานี้แกะสลักได้รับการแกะสลักแล้วรัดด้วยโลหะตรง 2 ข้าง มีโซ่คล้องสวยมาก คาดว่าเขานี้ถูกทำในอิตาลีตอนใต้ ส่วนลายและสลักสวย ๆ นั้น นำแบบมาจากศิลปะซีเรียและบาบิโลเนีย ตามธรรมเนียมจะนำเอาไวน์มาใส่ในเขานี้ แล้ววางไว้บูชาตรงแทนบูชา (จะเหมือนเอาน้ำแดงไปวางเซ่นไว้ตรงศาลรึเปล่า)
สิ่งสวยๆงามๆอีกอย่างหนึ่งคือเสื้อคลุมของพระผู้ใหญ่ประดับประดาสวยงามมาก ปักลวดลายด้วยสีทอง
ที่ห้องใต้ดินยังมีอะไรหลายอย่างจัดเก็บไว้ที่นี้อีก เช่น เหรียญตราโบราณ ตั้งแต่สมัยแองโกล-แซกซอน เครื่องใช้ ภาชนะและเครื่องประกอบพิธีอื่นๆ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือรูปแกะสลักบนหินสมัยนอร์มันที่มีชื่อว่า หินพิพากษา (Doom Stone) ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะมันแกะเป็นรูปการณ์ลงโทษในนรก แสดงให้เห็นภาพของวิญญาณที่ถูกผลักลงไปในหม้อน้ำเดือดโดยพวกปิศาจร้าย (คล้ายกะทะทองแดงของนรกเรา) มีปีศาจกำลังจับตัวคนบาปไว้ และจุดไฟต้มน้ำอยู่ ดูหน้าปีศาจกำลังยิ้มเยาะสนุกสะใจ
ถ้าสังเกตให้ดี (ซึ่งเราก็สังเกตไม่เห็น อิอิ) จะเห็นรูปชายที่กำลังถือถุงเงินแสดงถึงบาปจากความละโมบ ข้างขวามีหญิงที่แต่งตัวซอมซ่อกำลังทักทายทำนายทายทักความผิดบาปแก่ชายนั้น แต่ทำไมคนบาปอีกคนก็ดูยิ้มด้วยไม่รู้ (อาจเป็นได้ที่ช่างแกะสลักคงฝีมือไม่ดีละมั้ง)
นอกจากนั้นเราจะได้เห็นเหล่าคางคกมาประดับประดาเพิ่มความงามของภาพอีกด้วย เนื่องจากพวกเธอมีสถานะเป็นสัตว์แห่งเวทย์มนต์ (ไม่ธรรมดาหรอกนะ สถานะของเธอน่ะ) เกี่ยวข้องกับความมืดมิดและความชั่วร้าย
แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งใดๆทั้งหมดทั้งมวล ก็คือพระคัมภีร์โบราณที่กล่าวถึงชีวประวัติของพระเยซู เรีกว่า York Gospel ซึ่งมีอายุเก่าแก่นับพันปีมาแล้ว ที่ผ่านรอดมาจากสารพัดเหตุการณ์หลังจากถูกทำขึ้น และที่สำคัญคือมันยังคงถูกใช้ในพิธีจนทุกวันนี้
โฆษณา