6 พ.ค. 2022 เวลา 18:32
Ep. 2 เมื่อการเดินทางเริ่มต้นขึ้น…..
ตอนที่ 2 สู่แดนแพนด้า
ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนไปเยือนเกาหลีเหนือ คณะต้องไปรับการอบรมเป็นเวลาครึ่งวันที่กรมประมวลข่าวกลาง เพื่อรับทราบข้อควรปฏิบัติในการไปเยือนประเทศในเครือสังคมนิยมอย่างเป็นทางการ รายละเอียดต่างๆ ในข้อมูลของกรมประมวลข่าวกลางมีเยอะมาก จนพวกเราบางคนเริ่มเครียดนิดๆ…
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางในวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2528 ถึงสนามบินดอนเมืองแล้วเปลี่ยนเครื่องต่อไปปักกิ่ง สายการบินที่รักคุณเท่าฟ้านี้เป็นเที่ยวบินตรง ใช้เวลาบินราว 4 ชั่วโมงเราก็จะได้เหยียบแผ่นดินแพนด้ากันแล้ว
เที่ยวบินกรุงเทพ-ปักกิ่งวันนั้นว่างพอสมควร พวกเราจึงมีโอกาสย้ายที่นั่งได้ตามอัธยาศัย นายของฟองน้ำนั้นเดินหนีไปหาที่นั่งว่างๆ ทางด้านหน้า ตาก็แอบชำเลืองดูซ้ายขวาเผื่อว่าจะมีใครพอรู้จักทักทายได้มั่ง ปรากฏว่า นายไปเจอคนที่ฟองน้ำรู้จักคุ้นเคยที่สุดในโลกคนหนึ่งโดยไม่คาดฝันคือ พี่สาวคนที่สามของนายเอง ต่างคนต่างประหลาดใจ และชาวคณะเขาก็ขำว่า พี่น้องคู่นี้ ตอนอยู่เมืองไทยน่าจะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะอยู่กันคนละเมือง แต่ผ่ามาเจอกันเข้าโดยบังเอิญบนเครื่องบิน พี่สาวของนายและพรรคพวกอีก 2 คน มาเมืองจีนเพื่อดูงานเรื่องการเลี้ยงกระต่าย เพื่อเอาขนมาใช้ทำสิ่งทอ
1
การมาดูงานของพี่สาวนายนี้ ถ้าเรียกตามวัตถุประสงค์ก็อาจเรียกว่า”กระต่ายทัวร์” แต่ไม่ควรแปลเป็นภาษาฝรั่งว่า “บันนี่ทัวร์” เพราะไม่ตรงสเปคเลย เนื่องจากลูกทัวร์ 3 คน ประกอบด้วย คนสาวเหลือน้อยแต่ท้วมมากหนึ่ง และคนสาวมากหน่อยแต่ท้วมน้อยหนึ่ง กับหนุ่มหนวดเรียวมาดขรึมอีกหนึ่ง อย่างนี้ไม่ตรงสเปคของบันนี่ทัวร์อย่างแน่นอน
1
เครื่องบินร่อนลงสู่สนามบินปักกิ่งตรงตามกำหนดพอดี เมื่อ 16.50 น. เวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง
ก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินจีนก็อบอุ่นและดูเป็นกันเองแล้ว เจ้าหน้าที่ของสนามบินส่วนใหญ่ เป็นเด็กหนุ่มสาวหน้าตายิ้มแย้ม ยิ้มเห็นฟันเงินฟันทองหลายคน มองลงไปที่ลานด้านล่าง เห็นพนักงานสัญจรปฏิบัติหน้าที่โดยใช้จักรยานกัน 4-5 คน นี่เป็นภาพที่ดอนเมืองไม่มี
ในห้องผู้โดยสารขาเข้า ระหว่างที่เรารอกระเป๋าที่จะออกมากับสายพาน พวกเราใจเต้นกังวลอยู่เหมือนกันว่า เจ้าหน้าที่ของสมาคมมิตรภาพเขาจะได้รับโทรเลข และมารับเราหรือเปล่าหนอ รอทั้งกระเป๋าและคนมารับอยู่นาน ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็มาถึงพร้อมๆกัน
1
เจ้าหน้าที่จากสมาคมมิตรภาพมาพร้อมกัน 4 คน คือ คุณไช่ เป็นหัวหน้ากองเอเชีย (ผู้ยิ้มละไมตลอดเวลาแถมยังพูดไทยสำเนียงลาวเสียด้วย) ต่อมาคือ คุณหวาง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเอเชีย เป็นคนมีอัธยาศัยและเคยมาเมืองไทยหลายครั้ง คุณลู่ ผู้ white,tall and handsome ซึ่งมาเป็นล่าม คนสุดท้าย เป็นสุภาพสตรีน่ารักชื่อคุณบัวพร เธอเป็นคนลาวและเป็นหวานใจของคุณไช่นั่นเอง ฟองน้ำจึงหายข้องใจแล้วว่า ทำไมคุณบัวพรจึงพูดลาวได้คล่องกว่าพูดไทย และฟองน้ำก็ถึงบางอ้อเรื่องสำเนียงลาวของคุณไช่
คุณบัวพรเล่าตลกๆ ว่า แต่เดิม เธอกับเขาเป็นไกด์ภาษาลาวทั้งคู่ เพราะสมัยก่อน จีนและลาวคบหาสนิทกัน ตอนหลังลาวกลายเป็นลาวเวียตนามจึงเลิกมาเที่ยวจีนกัน กอร์ปกับระยะ 10 ปีหลังนี้ ไทย-จีนถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากขึ้น รัฐบาลต่อรัฐบาลได้ช่วยกันปลูกต้นรักจนได้ดอกงอกงามขึ้นทุกวัน และด้วยการประสานงานของสมาคมมิตรภาพโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เธอกับคุณไช่จึงหันมาเรียนภาษาไทยเพื่อจะได้เป็นไกด์ให้มิตรจากเมืองไทยแทน คุณบัวพรเล่าอย่างน่าเอ็นดูว่า “คุณไช่เขาเคยพูดภาษาลาวมากเกินไป เลยเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยสู้บัวพรไม่ได้ เวลาเขานึกคำภาษาไทยไม่ทัน พูดคำไหนไม่ทัน เขาก็จะเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว..”
บางคนในคณะพยายามส่งภาษาอิสานปนกับล้านนากับคุณไช่ ผลคือ คุณไช่ตอบกลับมาเป็นภาษาลาวยาวๆ และยังยิ้มไปด้วย
ขณะที่เรากำลังเจรจาพาทีกับทั้งสี่คนอยู่นั้น ก็มีบุรุษร่างสูง หน้าเคร่งเข้ามาถามว่า เป็นกรุ้ปจากเชียงใหม่ 15 คนใช่ไหม เขาทำงานอยู่สถานทูตเกาหลีเหนือที่ปักกิ่ง (ภาษาอังกฤษของเขานี่ ฟองน้ำต้องยกธงขาวให้ เพราะฟองน้ำฟังไม่ออกเลยจริงๆ)…. แล้วเขาก็ถามว่าจะไปพักแรมกันที่ไหน เจ้าหน้าที่จากสมาคมมิตรภาพตอบแทนพวกเราซึ่งยังงงอยู่ว่า สมาคมจองโรงแรมไว้ให้แล้ว เขาก็พยักหน้าแล้วบอกว่า พรุ่งนี้ให้ไปที่สถานทูตเกาหลีเหนือเพื่อทำวีซ่า จากนั้นเขาก็ใช้วิชาหายตัวแว่บไปเลยในกลุ่มคน พวกเราอ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้ถามชื่อแซ่และรายละเอียดกันเลยก็ไปเสียแล้ว คุณบัวพรยิ้มปลอบพวกเราว่า “ไม่เป็นไร บัวพรรู้ที่อยู่ของสถานทูต จะพาไปเอง พวกเกาหลีเหนือนี่ เขาเป็นอย่างนี้แหละ พูดเท่าที่จำเป็นทุกคน แล้วบทจะพูดก็พูดแต่ภาษาเกาหลี ภาษาจีนเขายังไม่พูดเลย พวกเจ้าหน้าที่สถานทูตน่ะ”
ถึงตรงนี้วิกิคิด….เจ้าหน้าที่สถานทูตคนนี้ดูคล้ายกับผู้กองรีเหมือนกันนะ พูดน้อยเท่าที่จำเป็น คงต้องถามแม่ซะหน่อยว่าหล่อเหมือนกันมั้ย
จากสนามบิน ถนนสองข้างทางเขียวชะอุ่มด้วยสวนผลไม้ มีต้นพีช มีต้นแอปเปิ้ลออกลูกแดงเต็มต้น ลูกแพร์และพลับเหลืองอร่าม ต้น “ไหน” ก็ออกลูกดกยั้วเยี้ยไปหมด ฟองน้ำเพลิดเพลินชมสองข้างทางจนไปถึงกลางเมืองเมื่อไหร่แทบไม่รู้ตัว
ทางสมาคมจองห้องพักให้เราที่โรงแรมปักกิ่ง นับว่าเป็นโรงแรมใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่ง ของจีน สร้างเมื่อปี ค.ศ.​ 1901 และได้รับการตกแต่งต่อเติมหลายครั้งให้ยาวและสูงขึ้น โดยเฉพาะปีกตะวันออกสูงถึง 18 ชั้น เรียกได้ว่าเป็นตึกที่สูงแห่งหนึ่งของปักกิ่ง อยากจะเรียกว่าเป็นโรงแรมที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ขนาดเดินจากปีกขวาไปปีกซ้ายยังเมื่อยขาแทบแย่ ยังดีที่ตลอดความยาวของตึกชั้นล่างมีร้านรวงให้ดูให้ซื้อ มีคอฟฟี่ชอปและบาร์ซึ่งคนแน่นตลอดตั้งแต่หัวค่ำจนดึกดื่น ผู้คนที่มาเที่ยวต้องคอยเล่นเก้าอี้ดนตรีเพื่อแย่งที่นั่งกัน ห้องอาหารของโรงแรมทั้งแบบจีนและแบบตะวันตก มีหลายห้อง อยู่ที่ชั้นล่างและชั้นสอง ตรงใกล้ๆบันไดขึ้นไปชั้นสอง
เขาจัดผนังสวนเด่นมองเห็นแต่ไกลจากประตูเข้า ผนังนั้นทำเป็นรูปต้นไม้ทอง ล้อมรอบด้วยกรอบสีแดงใหญ่ เขียนตัวอักษรนูนตัวเบ้อเริ่มกำกับทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษว่า “We have friends all over the world” มีนักท่องเที่ยวใช้มุมนี้เป็นฉากหลัง ยืนถ่ายรูปกันไม่ขาดระยะ (วิกิคิดว่า ประโยคนี้มันช่างดูยิ่งใหญ่และดูอบอุ่นในเวลาเดียวกันซะจริงๆ คิดแล้วก็อยากกลับไปเดินทางอีกครั้ง…..คงได้แต่ทดไว้ในใจไปก่อน)
พวกเราต้องทานอาหารทุกมื้อในโรงแรม เพราะค่าห้องรวมค่าอาหารด้วย เราไม่ทราบราคาค่าห้อง เพราะจ่ายเงินก้อนให้กับสมาคมมิตรภาพแบบรวมค่าจัดการทุกอย่าง ทั้งค่ารถ ค่านำเที่ยว และค่าไกด์ด้วย ห้องอาหารของพวกเราอยู่ที่ชั้นสอง กว้างขนาดจุคนได้ 12 โต๊ะกลมใหญ่ ลูกค้าเป็นคนต่างชาติล้วนๆ ส่วนของคนจีนเองมีห้องอาหารอยู่ที่ชั้นล่าง เขาเสิร์ฟอาหารแต่ละมื้อประมาณ 7-10 อย่าง แต่ละอย่างใส่ชามกระเบื้องก้นตื้นมาให้ ชามแต่ละใบใหญ่ขนาดน้องๆของอ่างเลยทีเดียวแหละ เห็นปริมาณกับข้าวในแต่ละมื้อก็เกือบอิ่มโดยไม่ต้องทาน แต่อาหารก็อร่อยพอใช้ ยิ่งเครื่องพวงบนโต๊ะมีพริกป่นให้ด้วยก็ยิ่งสบายลิ้นคนไทย มื้อไหนใส่พริกป่นเท่าไหร่ก็ยังไม่อร่อยละก้อ พวกเราก็แอบควักน้ำพริกกับหมูหยองที่ตุนมาจากบ้าน เอาออกมาแนมพอให้หายเลี่ยน
ราตรีแรกในปักกิ่งปลอดโปร่งและสบายมากจริงๆ หลังอาหารเย็น พวกเราออกไปเดินเล่นย่อยอาหารที่ถนนหน้าโรงแรม ซึ่งทอดไปสู่จตุรัสเทียนอันเหมิน ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เดี๋ยวนี้จีนเปิดประเทศแล้ว ผู้คนมีสิทธิเสรีมากขึ้น ตามฟุตบาทที่กว้างมากทั้งสองฟากถนน มีผู้คนออกมาเดินเล่นกันคึกคัก บ้างก็จูงลูกจูงหลานออกมาซื้อของกินจากรถเข็นที่จอดขายบนฟุตบาท หรือไม่ก็เดินดูของตามร้านต่างๆ ซึ่งเปิดถึงสองทุ่ม และบางร้านเปิดถึงสามทุ่มก็มี แต่ละคนมีสีหน้ากรุ่นละไมอย่างซาบซึ้งถึงความหอมหวานของกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
อากาศดีเหลือเกิน คณะเราบางคนจึงชวนกันเดินเล่นไปจนถึงจัตุรัสเทียนอันเหมินอันกว้างขวางและสว่างไสว ทางการเปิดสปอตไลต์ตามอนุสรณ์สถานทุกแห่ง จุดประสงค์อันนึงก็เพื่อให้นักท่องเที่ยวรายการ Peking by night ได้ชื่นชมความงดงามของสถานที่เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ล่ามบอกว่า เพื่อเป็นการประหยัด ไฟจะเปิดถึงสี่ทุ่มเท่านั้น
จัตุรัสเทียนอันเหมิน
ฟองน้ำเองอยากถนอมสังขารไว้ก่อน เพราะนี่เป็นเพียงวันแรกของการเดินทางเท่านั้น ฟองน้ำจึงขอชื่นชมจัตุรัสเทียนอันเหมินห่างๆ จากระเบียงชั้นหกของโรงแรมปักกิ่ง มองเห็นศาลาสีแดงอมส้มของมหาศาลาประชาคมอยู่ไกลๆ ในความสว่างของแสงไฟ ถนนหน้าโรงแรมเบื้องล่าง ยังมีรถแล่นผ่านไปมาพอสมควรแม้จะเกือบ 3 ทุ่มแล้ว เห็นคนขี่จักรยานเป็นกลุ่มใหญ่ดูคึกคัก แต่น่าหวาดเสียวตรงที่จักรยานไม่มีไฟเลยสักคัน ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย!
เทียนอันเหมิน……ฟองน้ำหลับตานึกถึงข้อความที่ได้อ่านก่อนมา…..จัตุรัสนี้กว้าง 44 เฮกตาร์ (275 ไร่) จัดว่าเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความยาวจากเหนือจรดใต้ 880 เมตร กว้างจากตะวันออกไปตะวันตก 500 เมตร มีพื้นที่ 440,000 ตารางเมตร สามารถจุคนได้ประมาณ 1 ล้านคน จัตุรัสนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1417 ในสมัยราชวงศ์หมิง มีชื่อเดิมว่า “เฉิงเทียนเหมิน” ต่อมามีการบูรณะจตุรัสครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1651 ในสมัยราชวงศ์ชิง โดยสมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อ โปรดให้เปลี่ยนชื่อจัตุรัสเป็น “เทียนอันเหมิน” คำว่า “เทียน” แปลว่า ฟ้า คำว่า “อัน” แปลว่า ผาสุก และ คำว่า “เหมิน” แปลว่า ประตู
ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของชาติมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ด้านเหนือคือประตูเทียนอันเหมิน (Gate of Heavenly Peace-ประตูของสันติสุขแห่งสวรรค์) ทางตะวันตกเป็นมหาศาลาประชาคม ทางตะวันออกคือพิพิธภัณฑ์แห่งประวัติศาสตร์จีน ทางใต้คือส่วนของอนุสรณ์สถานวีรบุรุษของประชาชน และถัดไปก็คือ ศาลาที่รำลึกถึงท่านประธานเหมา (Chairman Mao Memorial Hall) ซึ่งสรีระของท่านเจ้าของชื่อนอนอย่างสงบในโลงแก้วใส เหมือนกำลังหลับอย่างสบาย ภายใต้ระบบสูญญากาศและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ทุกอย่างในสรีระของท่าน “ยังเหมือนเดิม” แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 10 ปีแล้ว (ท่านประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976)
เล่ามาถึงตรงนี้ ฟองน้ำก็ชักเริ่มง่วง….ตาเหลือบไปเห็นชามะลิแบบถุงที่ทางโรงแรมวางไว้ให้พร้อมกระติกน้ำร้อน-เย็น และถ้วยกระเบื้องทรงสูงมีฝาปิดใบเขื่อง นี่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมในเมืองจีนแทบทุกแห่งทีเดียว…ดื่มชาร้อนๆ หอมกรุ่นครึ่งถ้วย ฟองน้ำก็นอนหลับอย่างสุโข
คุณผู้อ่านใจเย็นๆนะคะ เรากำลังค่อยๆเดินทางเข้าใกล้ประเทศเกาหลีเหนือไปทีละนิดแล้วค่ะ…….โปรดติดตามต่อไป…….

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา