7 พ.ค. 2022 เวลา 18:11
Ep.3 มาดูซิว่า….วันนี้เราจะได้ตีตราวีซ่าลงพาสปอร์ตกันไหม
ตอนที่ 3 กรรมวิธีวีซ่าเข้าแผ่นดิน -“ปรัชญาแนวคิดจูเช่”
วันที่ 23 สิงหาคม 2528 วันนี้นัดคุณบัวพรให้พาไปสถานทูตเกาหลีเหนือตอน 9 โมงเช้า เพื่อจัดการเรื่องวีซ่าเข้าเปียงยางเสียให้เรียบร้อย จะได้หมดห่วงหายกังวล สถานทูตอยู่ห่างจากโรงแรมเพียงใช้เวลารถแล่นโดยไม่ค่อยติด 10 นาทีก็ถึง
รถแล่นมาถึงแค่หน้าประตูรั้วของสถานทูต พวกเรารู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เมื่อมองดูหน้าเคร่งเอาการเอางานไม่ยิ้มเลยของทหารรปภ. เกาหลีเหนือ 2 คน เขาซักถามอย่างซีเรียสอยู่นาน กว่าจะปล่อยให้รถเราแล่นเข้าไปจอดใกล้ตึกอำนวยการซึ่งเป็นตึกใหญ่หนาทึบ ลานตรงทางขึ้น มีต้นทับทิมปลูกไว้ในกระถางใหญ่เท่าโอ่งใบย่อม วางเป็นระยะๆ ทับทิมออกลูกดกแดงเต็มต้น สีของมันแดงแปร๊ด น่าดูจริงๆ
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง สิ่งสะดุดตาสิ่งแรกคือรูปถ่ายใบใหญ่มาก ใส่กรอบสวยงามของท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ที่กำลังมองมายังพวกเรา ด้านซ้ายของห้องโถงเป็นแผนกทำวีซ่า ด้านขวาคือห้องรับแขกสำหรับผู้มาติดต่อ เรายืนเก้ๆกังๆกันที่ห้องโถง ปล่อยให้คุณบัวพรไปเจรจากับเจ้าหน้าที่สาวที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เพียงคนเดียวตรงช่องกระจกกั้น ปรากฏว่าเธอผู้นั้นไม่พูดภาษาจีน และคุณบัวพรก็พูดภาษาเกาหลีไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้มือไม้ประกอบสักกี่ท่า พร้อมกับโชว์หนังสือเชิญ เธอก็สั่นศีรษะหน้าเฉยลูกเดียว คุณบัวพรหันมามองพวกเราอย่างละห้อยละเหี่ย พวกเราเองก็จนปัญญาที่จะหาวิธีทำให้เธอเข้าใจจุดประสงค์ของเราที่พอจะทำได้
ในขณะที่มืดแปดด้านนั้น พวกเราช่วยกันสอดส่ายตามองหาบุรุษนิรนามที่มาพบเราที่สนามบินเมื่อวาน ซึ่งพวกเราเองก็จำหน้าไม่ค่อยได้ มองหาจนตาแทบทะลุก็ยังไม่เห็นเค้าหน้าของคนเมื่อวานเลย ไม่รู้ว่าหายตัวกันไปอยู่ที่ไหน ทำไมนัดแล้วไม่มาตามนัด?
ขณะที่หาทางแก้ปัญหาอยู่นั้น ก็มีบุรุษแต่งสูทโก้ ท่าทางภูมิฐาน ติดเข็มรูปประธานาธิบดีคิม อิล ซุงที่หน้าอกเดินออกมา เราหลงใจชื้นคิดว่า เขาน่าจะพูดภาษาอังกฤษ และคงจะมาถามว่าพวกหน้าตาเลิ่กลั่กตั้ง 15 คนที่มายืนเกะกะอยู่นี่มาจากไหนกัน มีธุระอะไร ... แต่ผิดคาดจริง ๆ ด้วยเขาชำเลืองดูพวกเราเพียงนิดเดียวด้วยสีหน้าเคร่งเฉยอีกนั่นแหละ แล้วเดินสง่าไปขึ้นรถเก๋งสีดำคันเบ้อเริ่มที่จอดคอยตรงเชิงบันได พร้อมคนขับในเครื่องแบบ เมื่อปิดประตูรถให้เจ้านายแล้ว คนขับก็ขับฉิวออกไปเลย
1
เจ้าหน้าที่สาวคนเดียวคนเดิมเคาะกระจก แล้วชี้มือไปที่ห้องตรงข้าม เป็นทำนองว่าให้เข้าไปคอยที่นั่นก่อน บางคนคิดจะออกไปเดินเล่นที่สนาม ดูต้นหมากรากไม้ แต่คุณบัวพรเธอต้อนพวกเราให้เข้าไปในห้อง บอกว่า “เขาเฮี้ยบนักไม่ควรเดินเพ่นพ่าน เขาต้องไม่ชอบใจแน่ ๆ บัวพรเองก็ไม่สนุกเลยนะ บัวพรไม่เคยมาสถานทูตนี้เลย มาครั้งแรกก็เกร็งขนาดนี้แล้ว ...”
กลางผนังห้องรับแขก มีภาพขนาดใหญ่ของประธานาธิบดีใส่กรอบหรู แต่เป็นภาพคนละท่ากันกับภาพที่ห้องโถงและที่ห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ฟากโน้น มีเก้าอี้นวมตั้งเรียงติดฝา 3 ด้าน ที่มุมห้องวางหนังสือพิมพ์ Pyongyang Times พิมพ์หลายภาษาได้แก่ ภาษาเกาหลี รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส (จีนไม่ยักมี) และวางวารสารชื่อ สหภาพแรงงานเกาหลี (Korea Trade Unions) กับ “เกาหลีวันนี้” ไว้ด้วย
อีกมุม วางหนังสือปกแข็งสวยงาม เกี่ยวกับชีวประวัติของประธานาธิบดีและหนังสือชื่อ Juche Ideology (ปรัชญาแนวคิดจูเช่) เล่มหลังนี้ ฟองน้ำเป็นงงเพราะไม่รู้ว่าคืออะไร ฟองน้ำก็เลยชะโงกหน้าไปอ่านหนังสือที่นายกำลังกางอยู่ ชื่อเรื่องดูเหมือนจะเป็น “คิม จอง อิล (บุตรชายผู้เป็นทายาททางการเมือง) กับแนวความคิด “จูเช่” นายอ่านไป แปลไป และจดโน้ตย่อไปด้วยลายมืออันแสนยุ่ง ซึ่งนายรู้ดีว่า บางทีเอากลับมาอ่านเองแท้ ๆ ยังแกะไม่ออกเลย ที่นายจดไว้มีดังนี้
1
“Juche Idea แปลตามตัวอักษรว่า Body Master” หมายถึงว่ามนุษย์เป็นนายของตนเอง เป็นนายของทุกสิ่งและกำหนดทุกสิ่ง “Man is the master of everything and decides everything.”
“Man หมายถึง Social Being เป็นผู้มีความสำคัญต่อสังคม” แนวความคิดนี้จึงมีจุดประสงค์ให้มนุษย์ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองเต็มที่ เพื่อจะได้มีบทบาทในสังคมต่อไป แนวคิดจูเช่เน้นว่า “Man individual cannot change the world, but Man collectivity can change and transform the world.”
แนวคิดจูเช่นี้ เริ่มก่อกำเนิดในราวปี 1921 ด้วยความคิดริเริ่มของท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง จากศรัทธาและแรงบันดาลใจในแนวคิดพื้นฐานของมาร์กซ์และเลนิน แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพสังคมของประเทศ ซึ่งประชาชนกำลังต้องการ “การค้ำจุนทางจิตใจอย่างยิ่งในการรวมพลังเพื่อสร้างชาติใหม่”
สาระสำคัญของ Juche Idea มีอยู่ 3 ประการใหญ่ ๆ คือ
CHAJUSONG “ชาจูสง” หมายถึง ความอยากเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร และสามารถพึ่งตัวเองได้ (Independence and self-determination)
CREATIVITY มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลง หรือกำหนด หรือควบคุมชะตากรรมของคนในสังคมได้ (Man can transform and share its destiny) การกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงสังคมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น
CONSCIOUSNESS มนุษย์ต้องมีสติ มีความรู้ความสามารถที่จะกำหนดกิจกรรมของตนเอง เพื่อ transform หรือ share destiny นั้นได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมให้มนุษย์ทุกคนได้รับการศึกษา เพื่อให้เข้าใจหน้าที่และกิจกรรมร่วมกันของคนในสังคมได้อย่างถูกต้อง จะได้กลายเป็นสังคมปัญญาชน (Intellectual society) ที่ยืนหยัดอยู่ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ จึงเห็นได้ว่า จูเช่ไอเดียนี้ เน้นสาระที่ตัวมนุษย์และกิจกรรมของเขา ทั้งยังเน้นอีกว่า “One for all, all for one” ทุกคนรับผิดชอบต่อประเทศชาติในส่วนรวม และประเทศชาติรับผิดชอบต่อทุกคนในสังคม
1
“มนุษย์เป็นนายของตนเอง
คนเกาหลีก็คือนายของประเทศเกาหลี”
อุดมการณ์นี้ได้สั่งสมในตัวคนเกาหลีเหนือทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ชรา โดยมีการอบรมบ่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในหมู่บ้าน โรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรม ที่ทำการรัฐบาล หรือแม้แต่ในบ้านพักคนชรา
นายสรุปว่า สังคมเกาหลีเหนือขณะนี้คือ “Juche Oriented Society” ฟองน้ำเหนื่อยเกินกว่าที่จะ “ลึกซึ้ง” ในสิ่งที่นายเขียน !
แสตมป์ที่ระลึกงานสัมมนาระดับนานาชาติเกี่ยวกับปรัชญาแนวคิดจูเช่
กว่าครึ่งชั่วโมงหลังจากที่นายก้มหน้างุด ๆ ลอกคร่าว ๆ เรื่องจูเช่ไอเดียอยู่ เราก็มีผู้ช่วยให้รอดจากภาวะรอคอยที่ไม่เห็นจุดหมายปลายทาง นั่นคือ มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาเรา และถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ (ภาษาสวรรค์สำหรับเราขณะนั้น) ว่าจะขอวีซ่าเข้าเปียงยางใช่ไหม เธอขอดูจดหมายเชิญกับพาสปอร์ตของพวกเรา บอกว่าจะต้องโทร.เช็คกับเปียงยางให้เรียบร้อยก่อนจึงจะออกวีซ่าให้ได้ แล้วเธอก็หอบเอกสารทั้งหมดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ
สักครู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายรูป เขาชี้มือให้พวกเราไปนั่งที่ม้ายาวทีละคู่ ห่างกันเล็กน้อย มีม่านสีเทาอ่อนเป็นฉากหลัง แล้วกดกล้องถ่ายรูปคู่ พวกเรางงมากเพราะเขาเล่นจับคู่ให้โดยพลการ โดยไม่สนใจเรื่องเพศและวัย นายของฟองน้ำได้ถ่ายรูปคู่กับคุณหมอ ส่วนหัวหน้าคณะได้นั่งถ่ายคนเดียวเพราะเป็นคนที่ 15 ที่จริงแล้วเขาต้องการประหยัดฟิล์มนั่นเอง เพราะพออัดรูปเสร็จ เขาก็ตัดฟิล์มรูปคู่ออกเป็นสองแผ่น แล้วนำไปแปะติดเอกสารของแต่ละคน ...
ช่วงเวลาที่เหลือ จึงเป็นการรอคอยอย่างกระปรี้กระเปร่าและมีความหวัง เราฆ่าเวลาด้วยการหาความรู้ และทำความคุ้นเคยกับความเป็นเกาหลีเหนือจากหนังสือที่เขาวางไว้ให้อ่าน นายบันทึกสรุปไว้อีกว่า
“มีหนังสืออยู่เพียง 3 ประเภท ที่รัฐบาลใช้เป็นสื่อให้ประชาชนและชาวต่างชาติได้ทราบข่าวคราวของประเทศเขา ทุกเล่มพิมพ์หลายภาษา
ที่เห็นวางอยู่ ประเภทแรก เป็นวารสาร มี 2 เล่ม คือ ‘เกาหลีวันนี้’ เน้นเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความงดงามของภูมิประเทศ พื้นที่เกษตรกรรม กับนำชมอนุสรณ์สถานและสถานที่สำคัญ ๆ ของทางราชการ พร้อมกับแทรกบทความเกี่ยวกับจูเช่ไอเดีย และบทความเกี่ยวกับกิจกรรมอันบ่งถึงความเป็นอัจฉริยะของท่านประธานาธิบดี วารสารอีกเล่มชื่อ ‘สหภาพแรงงานเกาหลี’ เน้นเรื่องการพัฒนาการผลิตเครื่องจักรกลต่าง ๆ ในโรงงาน ชีวิตคนงานและสวัสดิการ และแนะนำโรงงานที่เกิดขึ้นใหม่ หรือผู้นำแรงงานคนสำคัญที่มีผลงานโดดเด่น
ประเภทที่สอง เป็นพวกหนังสือปกแข็งสวย ๆ เนื้อหาเกี่ยวกับชีวประวัติของประธานาธิบดี เขียนโดยบุตรชายของท่านก็มี เขียนโดยผู้อื่นรวมทั้งชาวต่างชาติก็มี หนังสือปกแข็งที่ตีพิมพ์ระยะหลัง ๆ มักจะเป็นหนังสือชีวประวัติของบุตรชายของท่านโดยตรงที่เขียนโดยคนอื่น หนังสือปกแข็งเกี่ยวกับลัทธิจูเช่หลายเล่ม เขียนโดย คิม จอง อิล บุตรชายของท่านเอง
ประเภทที่สาม คือหนังสือพิมพ์รายวันซึ่งมีอยู่ฉบับเดียวชื่อ Pyongyang Times มีทั้งหมดเพียง 4 หน้า พิมพ์เป็นภาษารัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส หนังสือพิมพ์นี้พิมพ์คราวละ 30,000 ฉบับ ออกวางให้อ่านฟรีตามสถานที่ราชการและโรงแรม (ไม่ใช่วางตลาด) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง คือวันพุธกับเสาร์ Pyongyang Times นี้มีเนื้อหาต่างจากหนังสือพิมพ์ทั้งหลายที่เคยอ่าน กล่าวคือ เป็นหนังสือพิมพ์ที่รายงานข่าวและกิจกรรมของประธานาธิบดีเป็นส่วนใหญ่ว่า ในแต่ละวันท่านไปทำอะไรที่ไหน มีคนสำคัญชาติไหนมาเยี่ยมท่านบ้าง นอกนั้นก็เป็นข่าวการจัดนิทรรศการ งานฉลองต่าง ๆ และข่าวคนสำคัญ ๆ ของพรรคคนงานเกาหลี (Korea Workers Party –KWP) ซึ่งเป็นพรรคที่บริหารประเทศ หามีข่าวต่างประเทศไม่ และแน่นอน ข่าวชาวบ้าน ข่าวอาชญากรรมก็ไม่มีด้วย”
“คนเกาหลีเหนือเรียกตัวเองว่าเกาหลีเฉย ๆ (ไม่มีคำว่า ‘เหนือ’) เรียกประธานาธิบดีทุกครั้งว่า ‘ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่’ (Great Leader) และเรียกบุตรชายทายาททางการเมืองของท่านว่า ‘ผู้นำผู้เป็นที่รัก’ (Dear Leader) “
ประมาณ 11 โมงครึ่ง เธอผู้นั้นก็กลับมาพร้อมพาสปอร์ตที่ประทับการตรวจลงตราเข้าประเทศเกาหลีเหนือเรียบร้อย พวกเราร่ำลาเธอด้วยความโล่งอก รุดออกจากสถานที่สงบแต่เย็น ๆ ของสถานทูตมาสู่ความอบอุ่นจอแจภายนอก ตอนนี้ก็เป็นอันแน่ใจได้แล้วว่า ได้ไปสัมผัสแน่ ๆ แล้วประเทศเกาหลีเหนือ
มีเวลาเหลืออยู่ถึงหนึ่งวันครึ่งกับหนึ่งคืนในปักกิ่ง คุณลู่กับคุณบัวพรจึงพาพวกเราไปชมสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเขาไปดูกัน
บ่ายนั้น เราไปชมหอสักการะฟ้า “เทียนถาน” สร้างเมื่อค.ศ. 1420 ในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งกษัตริย์ใช้เป็นที่บวงสรวงเทพเจ้าเพื่อให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หอนี้งามสง่ามาก เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความกลมกลืนทั้งลวดลายและสีสัน โดยเฉพาะหลังคาสีฟ้าสามชั้นสวยแปลกตานั้นฟองน้ำชอบจัง ฟ้าของหลังคาตัดกับฟ้าของท้องฟ้า ดูแล้วแสนจะโรแมนติก (นายมองค้อนมาด้วยแน่ะ)
ในปัจจุบันหอสักการะฟ้า “เทียนถาน” นี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.​1998 (พ.ศ.2541) โดยยูเนสโก
นายพาฟองน้ำเดินไปตามทางคอนกรีตกว้าง สองข้างคือต้นพลับกำลังออกลูกเขียว ตรงขอบทางปลูกต้นพุทธรักษาดอกโตหลากสี สลับกับดอกเทียนสีชมพูแปร๊ด และมีต้นยี่โถดอกชมพูสะพรั่งปลูกเป็นแนวยาวอีกด้วย ทางเดินนี้ช่างยาวเหลือเกินในความรู้สึกของฟองน้ำ เดินอยู่ตั้งนานกว่าจะผ่านต้นสนรูปมังกรเก้าตัว อายุตั้ง 600 ปีต้นนั้น ไปถึงหอกำแพงสะท้อนเสียง (Echo Wall) ที่ใคร ๆ ไปถึง ก็จะเอาหูแนบกับกำแพงวงกลมที่ล้อมหออยู่ เพื่อฟังเสียงจากฟากตรงข้ามของกำแพง แต่ฟองน้ำคงหูตึงกว่ามนุษย์กระมัง จึงไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงแห่งความเงียบ
หอสักการะฟ้าเทียนถาน
คณะเราออกจากหอสักการะฟ้าเทียนถาน มองไปข้างทางเห็นรถเข็นขายไอศกรีม แปลกดี คนขายจะเอาไอศกรีมเป็นแท่ง ๆ ออกจากกล่องเย็นขึ้นมาวางกองไว้ด้านบน คลุมด้วยผ้าดิบกันละลาย พอขายหมดก็หยิบออกมากองใหม่ ...
2
ที่ใกล้ ๆ โรงแรมเรา มีร้านขายของที่ถูกสเปคของนาย คือมีของให้เลือกเยอะ ราคากันเองและเป็นจีน ๆ ดี ชื่อร้าน Beijing Art And Craft Center (คำว่าปักกิ่งของเรา คนจีนเขาเรียกเป่ยจิง) ค่ำนั้น นายจึงตะลอน ๆ “ซื้อโน่นไปฝากคนนี้ ซื้อนี่ไปฝากคนโน้น” ให้วุ่นไปหมดจนฟองน้ำเวียนหัว นายกลัวว่าขากลับจากเปียงยางอาจไม่ได้มาพักที่โรงแรมนี้ก็ได้ แล้วเมืองปักกิ่งแสนจะกว้างใหญ่ไพศาล พลเมืองเป็น 10 ล้าน นายคงจะกลับมาซื้อของแถวนี้ไม่ไหว ถ้าได้พักห่างไปอีกฟากหนึ่งของเมือง
1
ฟองน้ำมองดูนายอย่างปลง ๆ นี่แค่วันแรกยังพะรุงพะรังขนาดนี้แล้ว วันต่อ ๆ ไปจะสักแค่ไหน นายช่างไม่เจียมสังขารเสียบ้างเลย แล้วก็คงช้อปเพลินจนลืมนึกไปว่ามนุษย์เรามีแค่สองมือเท่านั้น !!!
ผ่านมา 1 วันเต็มๆแล้ว เราคงยังคงอยู่ในปักกิ่ง แต่อย่างน้อยเราก็มีวีซ่าเป็นหลักประกันว่าขาข้างนึงได้ก้าวเหยียบแผ่นดินเกาหลีเหนือแล้ว…..
โปรดติดตามตอนต่อไป…….

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา