Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิกิกับพี่พิม
•
ติดตาม
9 พ.ค. 2022 เวลา 16:45
Ep. 4 ใช่เลยค่ะ....คณะเรายังคงวนเวียนอยู่ในปักกิ่ง!
ตอนที่ 4 เลาะเล็มปักกิ่ง
วันที่ 24 สิงหาคม 2528 คุณบัวพรไกด์ผู้แสนดี กับคุณลู่คนตัวสูงโย่ง มาพาคณะเราไปชมบ้านชมเมืองต่อ เราออกกันแต่เช้า หลังแปดโมงกว่านิดหน่อย กะจะไปเคารพศพท่านประธานเหมาก่อน ดังนั้น วันนี้เราจึงได้มาชมจัตุรัสเทียนอันเหมินถึงที่ คนขับพารถแล่นมาจอดใกล้กับศาลารำลึกถึงท่านถึงท่านประธานเหมาที่สุด แต่ก็ต้องเดินไกลโขอยู่ ก่อนลงจากรถ ล่ามสั่งให้ทุกคนทิ้งข้าวของทุกอย่างแม้กระทั่งกระเป๋าถือไว้ในรถ เพราะมีกฎว่าห้ามถือสัมภาระใด ๆ เข้าไปเคารพศพโดยเด็ดขาด ต้องเข้าไปตัวเปล่า หลายคนในคณะที่มือไวก็คว้าพาสปอร์ต ตั๋วเรือบิน และสตางค์ใส่กระเป๋าเสื้อไว้เลย แต่บางคนก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดและงง จึง “ลงมาแต่ตัว” จริง ๆ ชะรอยคุณบัวพรจะเข้าใจถึงความห่วงกังวลของพวกเรา เธอจึงรีบบอกว่า คนรถรับรองไว้ใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วง และเขาจะปิดล็อกประตูเรียบร้อยตอนเราไม่อยู่ เฮ้อ ... โล่งใจไปที
ที่นี่ผู้คนช่างมากมายเสียจริง ๆ มายืนออรออยู่ตรงทางเข้านับหมื่น คณะเราต้องไหลตามคลื่นมนุษย์ไปเรื่อย ๆและคอยจับมือกันไว้ คุณบัวพรเล่าว่า ทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติและประชาชนจีนจากทั่วทุกทิศของประเทศพากันเดินทางเข้ามาเคารพศพท่านประธานเหมาราว ๆ ล้านคน เธอเล่าว่า หลังการอสัญกรรมของท่าน ผู้คนโศกเศร้าเสียใจมาก และเพื่อแสดงความรักอาลัย ผู้คนทุกชั้นทุกวัยต่างพากันระดมกำลัง ระดมทรัพยากรจากทั่วประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาล มาช่วยกันสร้างมหาศาลานี้ให้เสร็จได้ภายใน 10 เดือนเท่านั้นเอง
พวกเรากำลังเคลื่อนตัวตามกลุ่มคนมาจนใกล้จะถึงทางเข้าศาลารำลึกนี้อยู่แล้ว ก็ถูกต้อนกลับอย่างกระทันหันโดยทหารรักษาการณ์ 4-5 นาย เราตกใจหน่อย ๆ เพราะฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอย่างไร ได้แต่รีบหันหลังกลับตามคนอื่น แล้วเดินอย่างเร็วแทบจะวิ่ง กลัวจะถูกลูกหลงหรือถูกเหยียบเอาดื้อ ๆ เมื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ที่รถแล้วถึงได้ทราบว่า ที่เขาเกณฑ์ให้ทุกคนออกจากจัตุรัสก็เพื่อเคลียร์พื้นที่ ด้วยว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมงจะมีพิธีต้อนรับประธานาธิบดีหญิงแห่งเกาะมอลต้า Agatha Barbara อย่างเป็นทางการ ท่านผู้นี้ เพิ่งเสร็จจากการเยือนเปียงยาง แล้วมาเยือนปักกิ่งต่อ (โปรแกรมสวนกับพวกเรา)
งวดนี้จึงอดได้เข้าไปเคารพศพอดีตท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนมังกร ประเทศที่มีประชากรถึง 1,042 ล้านคน (สถิติปี 2528) ซึ่งเท่ากับเกือบหนึ่งในสี่ของพลเมืองทั้งโลก (4,845 ล้านคน)
นั่งรถผ่าเข้าไปทางถนนกลางจตุรัส เห็นทหารกำลังตั้งปืนไว้เตรียมยิงสลุต มีคนมาคอยดูประธานาธิบดีมอลต้าเป็นหมื่น ๆ คน ออกันอยู่เต็มสองข้างทางและบริเวณรอบ ๆ ชาวบ้านถือผ้าแดง ช่อดอกไม้แดง เตรียมโบกต้อนรับกันใหญ่ ได้ยินเสียงใครในรถร้องว่า “โอ้โห ... คนแยะยังกับมด”
รถแล่นไปได้สัก 10 นาที คนขับก็จอดให้พวกเราลงไปต่อรถไฟใต้ดินที่สถานีต้นทางเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และได้สัมผัสกับการสัญจรที่เมืองไทยไม่มี
ทางรถไฟใต้ดินสร้างเสร็จและเปิดใช้เมื่อตุลาคม 1971 มีอยู่ด้วยกัน 2 สาย ความยาวรวม 20 กิโลเมตร อำนวยความสะดวกในการสัญจรจากชานเมืองด้านเหนือไปใต้ จากตะวันออกไปตะวันตก โดยไม่ต้องเสียเวลารถติดช่วงผ่านกลางเมือง ภายในสถานีรถใต้ดินกว้างขวางโอ่โถง ติดแอร์เย็นฉ่ำ เสาแต่ละต้นใหญ่ขนาด 3-4 คนโอบเป็นหินอ่อนหมด ผนังประดับโมเสคเป็นรูปภาพต่าง ๆ ในแต่ละสถานี มีโต๊ะให้พนักงานสาวสวยในเครื่องแบบนั่งคอยตอบข้อข้องใจของผู้โดยสาร
1
หนุ่มใหญ่ในคณะของเราบางคนไม่มีปัญหาอะไรสักนิด ก็ยังไม่วายไปวนเวียนแถวโต๊ะประชาสัมพันธ์นี้ เพื่อขอถ่ายรูปกับสาวน้อยเหล่านั้น
คุณลู่ ล่ามของเราเล่าทีเล่นทีจริงว่า ที่จีนเพิ่งมีรถใต้ดินก็เพราะว่า มัวแต่ส่งวิศวกรไปช่วยเกาหลีเหนือสร้างรถไฟใต้ดินอยู่ เกาหลีเหนือจึงมีรถไฟใต้ดินก่อนจีน และรัฐบาลเกาหลีเหนือจงใจสร้างสถานีให้สวยทุกแห่ง เพราะเป็นที่ที่เขาต้องพาแขกบ้านแขกเมืองไปชม
เรานั่งรถไฟใต้ดินไปสองทอด ผ่านเพียง 4 สถานี ลงจากรถไฟแล้วไต่บันไดไม่สูงนักก็โผล่พ้นดิน ปากทางออกมีจักรยานจอดอยู่หลายคัน และมีพ่อค้านั่งต้มข้าวโพดหวานขายด้วย เมื่อพ้นประตูสถานี ก็ถึงด้านหลังของวัดลามะที่ตั้งใจจะไปชมพอดี แต่เราต้องเดินย้อนไปยังทางเข้าด้านหน้าซึ่งไกลพอดู ระหว่างทาง เจอกลุ่มนักเรียนเด็กเล็กราวสิบกว่าคน เดินเข้าแถวเป็นระเบียบสวนมา หน้าตาน่าเอ็นดู หนูน้อยเหล่านี้เกาะกันเป็นงูกินหาง ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง คนข้างหลังก็จะดึงชายกระโปรงของคนข้างหน้าเอาไว้ และดึงกันไปเป็นลำดับอย่างนั้นเป็นทอด ๆ มองเห็นกางเกงในพอง ๆ ทุกคน มีครูสาวหนึ่งคนเดินรั้งท้ายคอยคุมขบวน เรากล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเอ็นดู หนูน้อยเหล่านี้ก็ตอบเป็นภาษาจีน ที่พอคุณลู่แปลแล้วทำเอาเขิน เพราะหนูน้อย ๆ ตอบเราว่า “สวัสดีค่ะ คุณปู่-คุณย่า”
1
ข้างทางสู่วัดลามะเป็นบ้านก่ออิฐเก่า ๆ แคบ ๆ แต่แทบทุกบ้านจะปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้ที่ประตูด้านนอกของรั้ว บางบ้านแถมด้วยต้นมันเทศเลื้อยตามพื้นดินและไต่ขึ้นไปที่กำแพงก็มี
วัดลามะ
วัดลามะนี้ เป็นวัดพุทธแห่งเดียวในปักกิ่ง สร้างเมื่อค.ศ. 1694 สถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบทิเบต แต่เดิม ว่ากันว่า เป็นที่อยู่ของ “ยุงเจิ้น หรือ องค์ชายสี่” ภายหลังกษัตริย์เฉียงหลงได้เปลี่ยนเป็นวัดลามะ บางครั้ง องค์ปันเชนลามะ ซึ่งเป็นรองประธานสภาประชาชนทิเบตก็จะมาพักที่นี่ หากพระองค์มาเยือนจีน ส่วนดาไลลามะ องค์ประมุข ได้เสด็จหนีไปอยู่อินเดียตั้งแต่ปีค.ศ. 1959 (9 ปีหลังจากที่จีนใช้อำนาจเข้ายึดครองทิเบต ในค.ศ. 1950)
องค์ประกอบของวัดลามะนี้ ก็เหมือนกับวัดในนิกายมหายานทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ จะมีประตูเป็นชั้น ๆ ระหว่างวิหารต่าง ๆ ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังขจาย พระโพธิสัตว์ และรูปปั้นตัวเอกในสามก๊ก เช่น เล่าปี่ โจโฉ กวนอิม เป็นต้น ตรงกลางลาน หน้าวิหารหลัก มีเตาสัมฤทธิ์ใหญ่สำหรับจุดธูปบูชา มีควันโขมง เพราะชาวพุทธมากราบไหว้ขอพรกันเยอะ มีเขาพระสุเมรุและศาลาท้าวจตุโลกบาลด้วย วัดนี้ร่มรื่นเย็นสบายด้วยมีต้นไม้ใหญ่เก่าแก่หลายต้น
ที่น่าดูมาก ๆ คือ ที่วิหารองค์สุดท้ายซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้จันทน์องค์ใหญ่ที่สุดในโลก สูงถึง 18 เมตร เป็นพระพุทธรูปยืน ถัดไปคือพิพิธภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัวของท่านปันเชนลามะด้วย เป็นเครื่องใช้ทำด้วยทองคำแท้ ๆ มากมายหลายชิ้น มีการอารักขาพิพิธภัณฑ์นี้อย่างแน่นหนาทีเดียว
ลานวัดสะอาด เต็มไปด้วยต้นพลับกับต้นเชอรี่ซึ่งยังมีลูกอ่อนสีเขียวเป็นพวงเต็มต้น คุณลู่บอกว่าตอนนี้เทศบาลกำลังรณรงค์เรื่องความสะอาดอยู่ (แต่ฟองน้ำกวาดตาดูรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีตระกร้าใส่ขยะแบบตาวิเศษเหมือนบ้านเราเลยสักใบ) และคุณบัวพรก็เสริมอย่างภูมิใจว่า เพียงแค่ 2 ปี เราก็สามารถทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นสีเขียวได้อย่างที่เห็น (เก่งกว่ากทม. แยะ ?)
1
ฟองน้ำทึ่งจริง ๆ ที่ล่ามที่นี่พูดภาษาไทยชัดแจ๋ว ไม่ยักเหมือนเถ้าแก่ข้างบ้านของนายซึ่งอยู่เมืองไทยมาตั้ง 40 ปีแล้ว ก็ยังพูดภาษาไทยสำเนียงจีนชนิด “เสียงดัง ฟังยาก” อยู่จนเดี๋ยวนี้ ล่ามทั้ง 2 คน ยังไม่เคยมาเมืองไทย แต่เรียนภาษาไทยจากสถาบันภาษาที่ปักกิ่งนี่เอง หลักสูตร 5 ปี ทั้งสองคนเล่าแถมท้ายว่า ทางเกาหลีเหนือเคยส่งนักเรียน 3 คนมาเรียนภาษาไทยที่นี่ เพิ่งจบไปเมื่อปีที่แล้ว บางทีหนึ่งในสามคนนี่อาจถูกส่งมาเป็นล่ามให้พวกเราก็ได้
1
ฟองน้ำสังเกตว่า ตามสถานที่เที่ยวทุกแห่ง ราว 80% เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเองที่มาจากมณฑลอื่น เนื่องจากเดี๋ยวนี้ รัฐบาลจีนให้เสรีภาพแก่พลเมืองของเขามากขึ้น เราเจอพ่อ-ลูกสองคนจากเมืองนานกิง คนลูกอายุ 9 ขวบ ชะโงกหน้ามาดูนายจดโน้ตอย่างฉงน ด้วยสิ่งที่เจ้าหนูเห็นบนสมุด เป็นเพียงตัวอักษรอะไรไม่รู้ยุ่งเหยิงสีแดงหน้าตาประหลาด (นายลืมปากกาคู่ใจไว้ที่ห้องพัก) นายหยุดเขียน แล้วทักเขาทั้งคู่เป็นภาษาอังกฤษ ผู้พ่อยิ้ม สั่นหัว แต่หนูเก้าขวบนั้นเก๋กล้ามาก พยายามตอบและถามนาย โดยใช้ภาษาอังกฤษนอกตำราบวกกับมือไม้ชุลมุน นายเดา ๆ แล้วก็บอกว่า ไทยแลนด์ พ่อลูกซุบซิบกันสักครู่ ก็หันมาส่งภาษาประกอบท่าทางเป็นทำนองว่า เมืองไทยดีนะ มีช้างเยอะ !
สาวจีน พ.ศ. นี้แต่งตัวน่ามองจริง ๆ พวกเธอสลัดกางเกงชุดแบบจีนที่เคยนุ่งกันสมัยก่อนโน้น เปลี่ยนมาใส่กระโปรงบานสีต่าง ๆ เสียแต่เวลานั่ง เธอคงจะกลัวกระโปรงเปื้อน จึงถลกกระโปรงขึ้นก่อนนั่ง ให้แต่ชั้นในเปื้อนก็พอ ... เวลาถีบจักรยานชนิดที่มีราวพาดจากคอจักรยานไปหาอานแบบของผู้ชาย เธอก็จะขึ้นคร่อมอานด้วยการยกขาข้างหนึ่งข้ามราวไปอย่างรวดเร็วจนดูไม่ทันว่าโป๊หรือไม่ นี่นับเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของสาวจีนแท้ ๆ
ตอนบ่ายเป็นโปรแกรมเข้าเยี่ยมคารวะอุปนายกสมาคมมิตรภาพ ชื่อคุณหลินหลิน ท่านผู้นี้มีอาวุโส ท่าทางใจดี ท่านเพิ่งไปเชียงใหม่ช่วงฤดูลำไยนี่เอง คุณหลินหลินชื่นชมลำไยเชียงใหม่มาก และบอกว่าที่จีนปลูกลำไยได้อร่อยที่เมืองหางโจ มณฑลเจ้อเจียงเท่านั้น สนทนาปราศรัยกันด้วยมิตรไมตรีในห้องรับรองที่กว้างขวางอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง เราก็อำลาท่านอุปนายก และเดินทางไปสถานีรถไฟ คุณไช่ ซึ่งมารอต้อนรับเราที่สมาคมมิตรภาพ ก็ตามไปส่งที่สถานีรถไฟด้วย
มองเห็นคนขี่จักรยานติดไฟแดงเบียดกันเป็นโขยงนับร้อยคันแล้วให้หวาดเสียวตอนเขาจะเลี้ยว และดูเกะกะทางรถอยู่ไม่น้อย คุณไช่บอกว่าเมืองจีนกำลังเริ่มจะมีปัญหาด้านการจราจรตั้งแต่อนุญาตให้เอกชนมีรถส่วนตัวได้ และเลิกระบบจำกัดการเดินทางของชาวเมือง
มีคนในคณะถามว่า จบปริญญาตรีแล้วทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ คุณไช่ตอบว่า เริ่มต้นทำงานจะได้เดือนละ 56 หยวน (ประมาณ 560 บาท) ที่เขาอยู่กันได้ เพราะค่าเช่าบ้านหลวง น้ำ – ไฟของหลวงถูกมาก รวมตกราว 5 หยวนต่อเดือน ค่ากับข้าวอย่างจำกัดจำเขี่ยก็ตกวันละหยวนเดียวเอง...
พลเมืองจีนล้นประเทศอยู่แล้ว ทางการจึงจำกัดให้แต่ละครอบครัวมีบุตรได้เพียง 1 คน หากใครมีเกิน หลวงจะตัดเงินเดือน 5 % ต่อลูกที่เพิ่มหนึ่งคน ถึงกระนั้น ตามถนนหนทางก็ยังคึกคักไปด้วยเด็กน้อยและรอยยิ้ม …
พรุ่งนี้ที่รอคอยของชาวคณะกำลังจะมาถึง ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นจริงๆ วันที่เราจะได้เดินทางมุ่งสู่ “เมืองแห่งรุ่งอรุณที่แสนสงบ” (ตามหนังสือที่นายเคยอ่านเขาเขียนไว้) ฟองน้ำได้แต่หวังว่าการเดินทางของชาวคณะคงจะราบรื่นและปลอดภัย
โปรดติดตามตอนต่อไป…….
บันทึก
3
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อรุณสงบที่เปียงยาง
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย