12 พ.ค. 2022 เวลา 12:00
Ep.5 ไปเปียงยางกันดีกว่า…..
รถไฟสายเปียงยาง
ที่สถานีรถไฟปักกิ่ง... คนแน่นยังกับปลากระป๋อง ชุลมุนวุ่นวายมากแทบจะหาทางเข้าไม่ได้ ถ้าไม่ได้ล่ามและไกด์ผู้อารีทั้ง 3 คนคอยกัน คอยแทรกฝูงชนเข้าไปคงแย่เลย เพราะกะเหรี่ยงทั้ง 15 คนกับสัมภาระพะรุงพะรังคงหลงทางพลัดกันไปคนละทิศอย่างแน่นอน (นายถึงกับบ่นหาเชือกฟาง อยากได้มาผูกเอวทุกคนไว้กันหลง)
เราจัดขบวนให้กระชับรัดกุม เพื่อที่จะแทรกซึมเข้าไปในสถานีให้ได้ทันรถออก คุณลู่นำขบวนพร้อมกับชูมือไปด้วย คุณไช่ยืนเช็คตั๋วคู่กับนายตรวจของสถานี พร้อมกันนั้นคุณไช่ยังมีหน้าที่คอยบุ้ยใบ้ให้ทางท้ายแถวได้รู้ว่าหัวขบวนไปทางไหน ส่วนคุณบัวพรรั้งท้าย คอยต้อนพวกเราไม่ให้แตกฝูง กว่าจะเบียดเข้าไปได้ทีละคน ๆ ก็เหงื่อโทรม พอหลุดเข้ามาได้ยังไม่ทันตั้งตัว ก็ต้องรีบเดินหาโบกี้ที่เราจองไว้อีก
1
ปรากฏว่า โบกี้ของเราเป็นที่นั่งชั้นหนึ่ง และเป็นรถไฟเกาหลีเหนือซึ่งจะเดินสลับวันกับของจีน ที่ชานชาลา ตรงประตูของแต่ละโบกี้ มีพนักงานรถไฟของเกาหลีเหนือ ใส่เครื่องแบบสีเทาอมเขียว ติดเข็มคิม อิล ซุงที่หน้าอก ยืนระแวดระวังอยู่ตรงบันไดขึ้น 2 คน
เขาเช็คตั๋วของแต่ละคนอย่างละเอียด แล้วจึงปล่อยให้ขึ้น ทีแรก เขาจะไม่ให้คุณไช่กับคุณลู่ช่วยขนกระเป๋าขึ้นไปส่งให้เราในรถด้วยซ้ำ แต่เราช่วยกันอุทธรณ์ว่ากระเป๋าเดินทางหนัก เขาจึงยอมอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ตามไปคุมการขนสัมภาระอย่างใกล้ชิด จนทั้งสองคนเสร็จภาระกิจลงมาอยู่ข้างล่าง (อาจกลัวว่าคุณลู่กับคุณไช่จะแอบติดรถไฟไปขอลี้ภัยที่เมืองเกาหลีเหนือกระมัง?)
รถไฟออกเวลา 15.50 น. ตรงตามเวลาเป๋ง นายนั่งอยู่กับคุณปุ้มและคุณพึง กับผู้หญิงเกาหลีเหนืออีกหนึ่งคน รวมเป็น 4 คน ต่อหนึ่งห้อง ที่นอนเป็นแบบสองชั้นซ้อนกันสองข้าง ตรงกลางเป็นประตูเลื่อนเข้าออก ซึ่งเมื่อปิดแล้ว สามารถส่องกระจกเงาบานใหญ่ได้ทางด้านหลังของประตูเลื่อน
ตรงข้างหน้าต่างมีโต๊ะยื่นออกมา มีผ้าปูโต๊ะเรียบร้อย บนโต๊ะมีถ้วยชากระเบื้องทรงสูงมีฝาปิดพร้อมจานรอง 4 ที่ กระติกน้ำร้อนหนึ่งใบ แต่ไม่มีชาให้ มีที่เขี่ยบุหรี่วางไว้บนผ้าปักผืนเล็ก ๆ อีกที
พื้นรถปูพรมสีเขียว มีรองเท้าแตะยางให้เปลี่ยน 4 คู่ แบบเหมือนกันทั้งสองข้าง เครื่องใช้ทุกอย่างสะอาด ที่นอนก็มีผ้าปูอย่างดี ตรงขอบจีบระบายสวยด้วยผ้าดอกเล็ก ๆ ที่ฟองน้ำชอบก็คือที่เก็บของในห้องมีเหลือเฟือ ทั้งใต้ที่นั่งและบนหิ้งยาวตลอดทางเดินก็วางได้ นอกจากนี้ ยังมีผ้าขนหนูสีขาวสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้ให้เช็ดตัว กับผ้าเช็ดหน้าอีกคนละผืน
นับว่าเครื่องอัฐบริขารในรถไฟสายเปียงยางของเราไม่เลวเลย ใครเหงาก็เดินไปหยิบ “เกาหลีวันนี้” จากหิ้งที่ระเบียงทางเดินมาอ่านแก้ง่วงได้ แต่นายของฟองน้ำยังไม่สนเรื่องอ่านหนังสือ เขากำลังอยากผูกมิตรกับผู้หญิงเกาหลีที่นั่งอยู่ข้างหน้าคนนั้น ฟองน้ำรู้ว่านายตื่นเต้นจะแย่สำหรับการเดินทางเที่ยวนี้ เพราะนี่เป็นประเทศสังคมนิยมจัดที่เก็บตัวเองจากจากโลกภายนอกประเทศแรกที่นายจะได้สัมผัส
รถไฟสายปักกิ่ง-เปียงยาง
เขาว่ากันว่า “รอยยิ้มคือใบเบิกทางแห่งมิตรภาพ” นายจึงเริ่มต้นด้วยการส่งยิ้มไป และคุณน้าคนนั้นก็ยิ้มตอบ
นั่งยิ้มกันไปมาสักครู่ นายก็เริ่มใหม่ด้วยการถามเป็นภาษาอังกฤษว่า คุณจะไปลงเมืองไหน คุณน้ายิ้มอีก โบกไม้โบกมือพร้อมกับสั่นศีรษะเป็นทำนองว่า ไม่พูดอังกฤษ ไม่เข้าใจ
นายพยายามใหม่ ชี้ไปที่เข็มรูปประธานาธิบดีที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อคุณน้า “นั่นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของคุณนี่” แล้วนายก็ชูนิ้วแม่โป้งให้ หล่อนยิ้มพออกพอใจที่นายรู้จักท่านผู้นำคนสำคัญ แล้วพยักหน้ารับ
และหลังจากนั้น นายกับคุณน้าก็คุยกันด้วยภาษามือประกอบการเขียนตัวเลขสนุกกันใหญ่ จนถึงขั้นแลกเปลี่ยนผลไม้กันในที่สุด
เพื่อนใหม่ชาวเกาหลีเหนือของนายคนนี้ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยและระมัดระวังในการแสดงออกมาก แต่ไม่ทราบว่านายไปทำยังไง ตอนหลัง ๆ เขาถึงได้สอนให้นายร้องเพลงด้วย เพลงที่เขาร้อง ทำนองเพราะ นายเดาเองเองว่าคงจะเป็นเพลงประเภทปลุกใจให้รักชาติ และเชื่อฟังผู้นำ เพราะพยางค์ท้ายของเนื้อเพลงเอ่ยชื่อประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ด้วย
นายเพียรจดเนื้อร้องเป็นภาษาไทยด้วยความลำบากยากเย็น ฟองน้ำทึ่งในความพยายามของนายจริงๆ เพราะคุณน้าร้องเสียงแผ่วอยู่ในลำคอโน่น เนื้อเพลงสั้นๆ ว่าอย่างนี้
“จังแบกซัน จื้อกี่จือกี เพียวโยลินเจาอู่ อัมโนะกังกูบี๊กูบี
เพี้ยวโอลินเจ้าอู่ โอนุนโต่จายุเจซน โก่ตาบาโลลุเย
ย๊งยู้คี่ พีจือลินนิน โคลุ๊ คินเจาอู
อ่าฮาฮา ... คื้ออีลินโดพินนานึน คิม อิล ซุง จั้งกุน
อ๊าฮาฮา ... คื้ออีลินโดพินนานึน คิม อิ่ว ซุง จั้งกุน”
พอจดเนื้อร้องเสร็จ นายก็อยากทราบชื่อเพลงเอาไว้อ้างอิง แต่ไม่ว่าจะทำไม้ทำมือประกอบท่าไหน คุณน้าก็ไม่เข้าใจความต้องการของนาย นายจึงต้องจดกำกับไว้ว่า “เพลงที่ขึ้นต้นว่า ‘จังแบกซัน’ (แปลว่าอะไรก็สุดรู้) แล้วนายก็ตั้งหน้าตั้งตาหัดร้องเพลงตามคุณน้าอย่างตั้งใจเต็มที่
พอดีแฟนของนายเดินผ่านมา เขางงใหญ่ ร้องว่า “อ้าว พูดกันยังไม่รู้เรื่องเลย ทำไมถึงมานั่งต่อเพลงให้กันได้นิ ?”
นายส่งภาษามือแนะนำแฟนกับคุณน้า โดยชี้ไปที่แฟน ชี้ตัวเอง แล้วเอานิ้วชี้ทั้งสองจับมาคู่กันเข้า คุณน้าไวพอกัน พยักหน้ายิ้มไปที่แฟนนาย แล้วเอานิ้ววงไปที่ใบหน้าตัวเองแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้บ้าง นายหัวเราะชอบใจที่นานๆ ทีจะมีคนแกล้งชมว่าแฟนนายหล่อสักที แฟนนายมองดูทั้งคู่อย่างขำๆ สั่นศีรษะ แล้วเดินหนีไปเลย
นายเดินไปรายงานพี่ๆ ในคณะที่อยู่ห้องถัดไปเสียงแจ๋ว “เพื่อนเกาหลีของเราที่ห้องโน้นนะคะ ชื่อ เฮงจา อายุ 45 ปี มีลูกสอง ร้องเพลงเพราะเชียว จดเนื้อไว้แล้วค่ะ วันหลังมาหัดร้องกันนะคะ เขาจะไปลงที่สถานีชายแดน ชื่อ ซินุยจู...” ทุกคนหัวเราะ ขำข้อมูลจากภาษามือของนาย
ประมาณทุ่มหนึ่ง นายตรวจก็เดินมาบอกว่า ถ้าอยากทานข้าวเย็นก็ให้ไปที่รถเสบียง ฟองน้ำมาทราบภายหลังว่า รถไฟขบวนนี้มีตู้นอนชั้นหนึ่งเพียงตู้เดียว ชั้นสองมี 2 ตู้ รวมเป็น 3 ตู้ที่เดินทะลุถึงกันได้ ถัดไปเป็นตู้เสบียงซึ่งรับลูกค้าเฉพาะ 3 ตู้นี้เท่านั้น ตู้อื่นๆ เป็นตู้นั่งธรรมดา เขากั้นต่างหาก เราเดินทะลุไม่ได้ ผู้โดยสารในตู้นั่งเหล่านั้นมีอาหารกล่องใส่รถเข็นไปขายให้ถึงที่
ผู้โดยสาร 90 % ของตู้นอนเป็นชาวต่างชาติ อีก 10 % ที่เหลือเป็นเกาหลี ส่วนใหญ่เป็นล่ามที่ทางการส่งมาดูแลบริการแขกต่างประเทศบางกรุ๊ปเท่านั้น ซึ่งคงต้องเป็นคนสำคัญเอาการ ถึงต้องส่งคนของตนไปดูแลตั้งแต่ปักกิ่งเลยทีเดียว กลุ่มของเรามีแต่พลเมืองชั้นธรรมดา จึงต้องดุ่ม ๆ ไปกันเองอย่างนี้แหละ
อันที่จริงพวกเราก็รองท้องมาแล้วด้วยขนมและผลไม้ที่ซื้อตุนไว้จากโรงแรมปักกิ่ง จึงไม่สู้หิวนัก แต่ก็อยากลองดูว่ารถเสบียงของเขาจะอร่อยสู้ข้าวผัดกับยำแตงกวาใส่เนื้อเหนียว ๆ ของรถไฟไทยได้รึเปล่า พวกเราจึงพากันเดินแถวไปยังรถเสบียงอย่างพร้อมเพรียง
ปรากฏว่า เรานอนตู้เกาหลีก็จริง แต่เวลากิน กินที่รถเสบียงจีน คนเสิร์ฟไม่พูดภาษาอังกฤษเลย ทำให้พวกเราลังเล สั่งอาหารไม่ถูก เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวลาตินอเมริกัน 3 คนเล่าว่า เขาสั่งอาหารเป็นชุด มีราคา 10 หยวน กับ 15 หยวน เราก็เลยสั่งมั่ง คนละชุดแบบ 10 หยวนก็พอ
ระหว่างรอ ฟองน้ำก็บันทึกภาพตู้เสบียงด้วยสายตา โต๊ะอาหารมีผ้าขาวสะอาดปูอยู่ มีเหล้าองุ่นจีนกับเบียร์ 3 ขวดวางอยู่ที่ริมหน้าต่างของทุกโต๊ะ (ถ้าเปิดดื่มต้องจ่ายต่างหาก) เครื่องพวงรวมพริกป่นมีพร้อม ผ้าม่านหน้าต่างเป็นสีขาวบาง ๆ ปลิวไสว ถัดจากกลุ่มเราไปเป็นแขกเมืองจากเนปาล 1 คน พร้อมล่ามเกาหลี หนุ่มล่ามคนนี้แหละที่ช่วยเราได้บ้างในการเลือกเมนู เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษ
ครู่ใหญ่ ๆ อาหารที่สั่งก็ประดังกันมาเต็มโต๊ะรวม 8 อย่าง มันมากมายเกินคาด จนเราต้องจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับมื้อหน้าว่า ไม่สั่งอาหารชุดอีกแล้ว
เสร็จจากดินเนอร์มื้อใหญ่พิเศษด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี้แล้ว พวกเราก็กลับมาที่ตู้นอน คุณน้าเพื่อนของนายหลับอุตุไปแล้วในชุดนอน เราต่างคนก็เตรียมตัวนอนบ้าง หลับเสียขณะอยู่ในดินแดนจีน และจะได้ตื่นมาในวันรุ่งขึ้น เพื่อพบตัวเองในดินแดนเกาหลีเหนือ !
วันที่ 25 สิงหาคม 2528
นายปลุกฟองน้ำตั้งแต่ตี 5 กว่า เพราะข้างนอกสว่างโร่แล้ว แต่ก็ยังมีคนตื่นเช้ากว่าเรา คือคุณพึง ที่นอนสะลึมสะลืมอ่านหนังสือธรรมะอยู่
รถไฟของเรากำลังแล่นอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่สวยสงบในหมอกบางยามเช้า ฟากหนึ่งเป็นเขาสูง บางตอนมีหน้าผาชัน อีกฟากเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยเกาะแก่งและหินผา นานๆ เราจะเห็นคนเดินข้ามน้ำตื้นๆแบบที่พวกเราต้องชี้ชวนกันดูเพราะมันแปลกๆ นั่นคือ พวกผู้หญิงมักจะห่วงว่ากระโปรงเธอจะเปียกน้ำมากกว่ากลัวใครอื่นที่เห็นจะเป็นกุ้งยิง จึงพากันยกกระโปรงขึ้นมารัดไว้ที่เอว ทั้งๆที่บางคนไม่ใส่ชั้นในก็มี !
ทิวเขาเต็มไปด้วยดงไม้สน มีทานตะวันขึ้นสลับกับไร่ข้าวโพดที่แก่จัดจนเกือบแห้ง เรายังอยู่แถวชายแดนจีน บางครั้งจึงได้เห็นไร่ต้นข้าวฟ่างชนิดหนึ่งซึ่งเขานิยมปลูกกันมาก เพื่อนำไปทำเหล้าเกาเหลียง
(อ่านถึงตรงนี้….วิกิถึงกับต้องค้นหาคำอธิบายว่าเหล้าเกาเหลียงคือเหล้าอะไร จากผู้ใหญ่ที่วิกิเคารพ เนื่องจากวิกิค่อนข้างจะห่างไกลกับแวดวงการสุรา จึงมีคำถามในใจว่า
“เหล้าเกาเหลียงหรือเหล้าเกาหลี” กันนะ
Gaoliang หรือ Kaoliang คือข้าวฟ่างในภาษาจีน ภาษาไทยเรียกเหล้าเกาเหลียง หรือ เกาเหลียงสุรา ทำจากการหมักข้าวฟ่างและกลั่นแบบเข้มข้น สีของเหล้าเกาเหลียงใสสะอาด เปรียบได้กับเหล้าโซจูที่ได้จากการกลั่นข้าว แตกต่างกันที่เปอร์เซนต์แอลกอฮอล์ เหล้าเกาเหลียงอยู่ในช่วงระหว่าง 38-63% แอลกอฮอล์โดยปริมาตร ขณะที่เหล้าโซจูมีเปอร์เซนต์แอลกอฮอล์ประมาณ 12.9-53% แอลกอฮอล์โดยปริมาตร
อากู๋ผู้ใหญ่ที่เคารพตอบให้วิกิฟังอย่างคร่าวๆแบบนี้…สรุปเหล้าเกาเหลียงไม่ใช่เหล้าเกาหลีแต่อย่างใด แต่เป็นชื่อเหล้าจากประเทศจีนนี่เอง-วิกิกับพี่พิม
บ้านชาวนามักมีลักษณะเป็นเรือนชั้นเดียวยาวๆ หลังคาเป็นสังกะสีหรือกระเบื้อง เขามักเอาอิฐก้อนโตวางทับซ้อนกันไว้บนหลังคาเป็นระยะ คงจะเผื่อเหนียว ไม่ให้หลังคาปลิวไปตามลมไปได้ง่ายๆ กระมัง
ถึงเมืองชายแดนชื่อ “ตานตง”
(Dandong:วิกิคิดว่าชื่อเมืองน่าจะออกเสียงไปแดนดองรึเปล่า? เนื่องจากไม่ใช่ภาษาเรา แม่น่าจะถามคนจีนแถวๆนั้น-วิกิกับพี่พิม)ในมณฑลเหลียวหนิงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
จากที่นี่ รถไฟต้องแล่นข้ามแม่น้ำยาลู (Yalu River) หรือที่เกาหลีเรียกว่า แม่น้ำอัมนก (Amnok River) ซึ่งยาว 790กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่กั้นเขตแดนส่วนหนึ่งของเกาหลีกับจีน ความที่เป็นเมืองหน้าด่าน ตานตงจึงคึกคัก และต้องมีสัญลักษณ์แสดงความเป็นจีน นั่นคือ มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของท่านประธานเหมาอยู่ใกล้ๆกับสถานี สามารถมองเห็นได้เด่นชัดจากริมหน้าต่างรถไฟที่เรานั่งกันอยู่
เสียเวลาที่ตานตงอยู่ค่อนชั่วโมง รถไฟจึงได้ฤกษ์เคลื่อนขบวนข้ามแม่น้ำยาลูเข้าสู่แดนเกาหลีเหนือ แล้วไปจอดอยู่ที่สถานีชายแดนแห่งแรก ชื่อชินุยจู ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝั่งตะวันตก มีสัญลักษณ์ความเป็นเกาหลีเหนือคือ มีรูปปั้นท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง เด่นเป็นสง่าที่จตุรัสหน้าสถานี
แม่น้ำยาลู
ตอนรถไฟแล่นมาถึงกลางแม่น้ำยาลู ชาวคณะถ่ายรูปกันใหญ่เพื่อเก็บไว้ดูว่ากำลังอยู่ระหว่างสองประเทศนะ เราเห็นสะพานประวัติศาสตร์ที่ช่วงกลางของสะพานถูกพันธมิตรทำลายตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือแต่ซากอยู่สองฝั่ง แม่น้ำช่วงนี้กว้างพอ ๆ กับแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือสินค้าและเรือรบขนาดกลางแล่นอยู่ไกลๆ 2-3 ลำ พอเข้าเขตชายฝั่งเกาหลี ก็เห็นทหารยืนอยู่ประปรายตามริมแม่น้ำ มีรั้วลวดหนามกั้นตลอดแนวชายฝั่งด้วย
ห้านาทีต่อมา รถไฟก็จอดนิ่งสนิทที่สถานีซินุยจู เรายังไม่มีสิทธิลงไปเดินเตร่จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
ไม่นานนักเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกาหลีเหนือขึ้นมาบนรถ พอผ่านถึงคุณน้าเพื่อนของนาย เขาก็ยื่นปรอทให้คุณน้าอม พวกเรามองอย่างประหลาดใจ เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่า เกาหลีทุกคนที่ไปต่างประเทศมา พอกลับเข้าประเทศจะต้องอมปรอท เพื่อตรวจดูว่าได้นำไข้จากต่างแดนมาแพร่เชื้อหรือเปล่า เห็นเขาว่าเมื่อก่อนนี้ต้องวัดปรอทกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนต่างชาติ แต่ขณะนี้อนุโลมตรวจเฉพาะชาวเกาหลีเท่านั้น
1
(ถ้าเป็นสมัยนี้…คณะของแม่คงต้องพกผลตรวจ ATK หรือ PCR-Test ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขเกาหลีเหนือเป็นแน่!-วิกิกับพี่พิม)
ชาวต่างชาติทุกคนถูกเชิญแกมบังคับให้ลงไปพักผ่อนในห้องรับรองของสถานี เป็นขณะเดียวกับที่คุณน้าเพื่อนของนายก็ถูกเชิญไปยังห้องพยาบาลซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของชานชาลา ประมาณ 15 นาที ก็มีตำรวจนำคุณน้าออกมาจากห้องพยาบาล และอีกถึงครึ่งชั่วโมง ตำรวจจึงอนุญาตให้คุณน้าขนสัมภาระลงจากรถไฟได้
นายอยากจะไปช่วยคุณน้าขนสัมภาระ แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยการโบกมือ ท่าทางคุณน้าออกจะเกรงๆ ตำรวจหน้าเคร่งหลายคนที่ยืนเฉยๆ มองคุณน้าขนของอยู่ นายเองก็ขยาดอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนมองดูคุณน้ามัดของพะรุงพะรังอยู่ห่างๆ
ฟองน้ำรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นชานชาลาช่างปลอดเปลี่ยวเสียจริงๆ นอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียงลาตินอเมริกัน 3 คนนั้น กับอีก 2 นักหนังสือพิมพ์ยุ่น ที่เดินทางมาทำข่าวการประชุมเรื่องแนวทางการรวมเกาหลีเหนือกับใต้ ซึ่งจะจัดโดยกาชาดสากลในวันสองวันนี้เท่านั้นเอง ส่วนคนใหญ่คนโตจากเนปาลและล่ามคงจะได้รับสิทธิพิเศษ จึงรออยู่บนรถได้
พอเข้าไปในห้องโถงของห้องพักรับรอง ก็พบภาพเขียนใหญ่เต็มผนังของท่านคิม อิล ซุง เป็นรูปท่านผู้นำและบุตรชายถูกห้อมล้อมด้วยประชาชนหลายหมู่เหล่า ที่ฐานรูปเป็นหินอ่อน กั้นด้วยเชือกป่านเส้นใหญ่สีแดง ห้องรับรองปูพรมขนเกรียน มีเก้าอี้นวมนั่งนุ่มสบาย ปีกซ้ายของอาคารเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งไม่มีอะไรน่าติดใจ แต่เราสามารถแลกเงินวอนที่นี่ได้ (1 วอน เท่ากับประมาณ 12 บาท)
สุภาพบุรุษในคณะของเรา ได้เห็นสิ่งที่ช่วยให้เข้าใจระบบของเขาดีขึ้น จากวิวที่ถ่ายจากห้องน้ำนี้แหละ เพราะเมื่อมองลงไปข้างล่างจากหน้าต่างห้องสุขาชาย ก็ได้เห็นภาพผู้คนที่มายืนออกันอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงประตูทางเข้าของสถานี เพื่อรอขึ้นรถไฟ มีกำแพงทึบกั้นลวดหนามอยู่ตลอดแนวชานชาลาด้านนอก
นายบอกฟองน้ำว่าคนเกาหลีเหนือไม่ได้มีสิทธิ์เดินทางข้ามเขตไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ เขาต้องมีใบผ่านด่าน ซึ่งหลวงจะออกให้ตามความจำเป็นของแต่ละคนเป็นรายๆ ไป พวกมีใบผ่านด่านเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้ามาในชานชาลาด้านในได้
ฟองน้ำจึงถึงบางอ้อ ว่าทำไมในสถานีจึงได้ไร้ผู้คนถึงขนาดนั้น
เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าจีน 1 ชั่วโมง และเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมง จึงต้องมีการหมุนเข็มนาฬิกากันใหม่ ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว
ฟองน้ำเริ่มคุ้นกับภาพคนหน้าเคร่ง ตัวผอมสูง ที่มีเข็มประธานาธิบดีติดหน้าอกทุกคนแล้ว โดยเฉพาะสาวเกาหลีผิวดีเนียนใสทุกคนก็ติดเข็มด้วยเช่นกัน
เธอทั้งหลายช่างตัวบางและแบนกันหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อและกระโปรงคนละท่อน แต่ปล่อยชายเสื้อออกนอกกระโปรง สาวนุ่งกระโปรงชุดมีเป็นส่วนน้อย และมักนิยมผ้ามัน ๆ หรือผ้าลูกไม้แซมดิ้นเงิน ดิ้นทองนิดๆ ส่วนทรงผมของสาวๆ มักตัดยาวระต้นคอ แล้วติดกิ้บแบบง่ายๆ มิได้เพื่อทันสมัยแต่อย่างใด
มีรถไฟอีกหลายขบวนแล่นมาต่อกับขบวนของเราไว้แล้ว พอใกล้บ่ายโมงก็ได้ยินเสียงนกหวีด และแล้ว กลุ่มคนเกาหลีที่อออยู่ที่ประตูด้านนอกก็ทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วตามเสียงนกหวีด และมุ่งตรงไปยังขบวนรถเหล่านั้น มีตำรวจยืนกันอยู่ ไม่ให้กลุ่มคนเหล่านั้นเผลอเลี้ยวมาทางตู้รถของพวกเรา
พอรถไฟออกก็ได้เวลาอาหารกลางวัน
การ์ดรถมาชี้มือว่าให้ไปที่รถเสบียงได้ คราวนี้ได้ทานในรถเสบียงของเกาหลี บรรยากาศจึงผิดไปกว่าเมื่อคืนนิดหน่อย ตรงที่มีสาวเสิร์ฟหน้าขาวเรียว แปลกไปจากสาวจีน บนโต๊ะก็มีเหล้าโสม เบียร์ดำรอล่อลูกค้าแทนเหล้าจีน มีตู้กระจกเล็กๆ โชว์ของกินเล่นเช่นพวกลูกอมและถั่วต่างๆ ทุกอย่างเป็นภาษาเกาหลีหมด ม่านหน้าต่างก็ปักเป็นดอกกระจุ๋มกระจิ๋ม กระดาษเช็ดมือที่พบวางอยู่ในแก้วก็พับเป็นรูปดอกไม้อ่อนช้อยเชียว
จากบทเรียนมื้อเมื่อคืน ประกอบกับมีเงินวอนที่เพิ่งแลกมานิดเดียวจากซินุยจู ทำให้พวกเราสั่งอาหารอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อาหารชุดละ 10 วอน เราสั่งเพียง 4 ชุด แล้วซื้อข้าวเปล่า (ถ้วยใหญ่มากสมคาดคะเน) ถ้วยละ 50 จอน (1 won มี 100 jon) มาแบ่งกันอีก 3 ถ้วย อิ่มกำลังดีทีเดียวสำหรับพวกเรา 15 คน
โปรดติดตามตอนต่อไป……..

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา