Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
8 พ.ค. 2022 เวลา 06:24 • ปรัชญา
“ถ้ายังหลงเรื่องวิญญานเป็นตัวตน ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มันก็มีความทุกข์และดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้นจึงต้องรู้เรื่องวิญญานที่แท้จริงว่าเป็นอะไร ”
“ … คำว่า ปฏิจจสมุปบาท ยังคงเป็นคำที่แปลกประหลาด หรือแปลกหูสำหรับคนส่วนมาก แต่แล้วเราก็ไม่อาจเปลี่ยนไปใช้คำอื่นได้ จะต้องใช้คำนี้อยู่ต่อไป
ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายที่จะต้องพยายามเข้าใจคำว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกว่าจะเคยชินเป็นคำธรรมดา
ผู้ที่เคยบวชเรียนก็พอจะได้ยินได้ฟังคำนี้อยู่บ้าง แต่ผู้ที่เป็นชาวบ้านเต็มที่ก็จะฉงนและเป็นเหตุให้ไม่สนใจ ทีนี้ก็เลยไม่เข้าใจ เรื่องที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา
ดังนั้นจึงเห็นว่าควรจะเอามาพูดให้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันเป็นธรรมดาไปในที่สุด
การที่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า มันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
เมื่อพูดถึงหัวใจของพุทธศาสนา คนโดยมากก็นึกถึงเรื่องอริยสัจจ์ นี่ขอให้เข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ก็คืออริยสัจจ์ที่สมบูรณ์แบบ คือว่าเต็มขนาด จึงขอเรียกว่า “อริยสัจจ์ใหญ่” ซึ่งจะได้อธิบายกันต่อไป
ในที่นี้ขอให้สรุปความสั้น ๆ ไว้ทีหนึ่งก่อนว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องอริยสัจจ์ใหญ่ เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ฉะนั้นต้องเอามาพูดกันจนเป็นที่เข้าใจอย่างยิ่ง
สิ่งที่ควรจะทราบไว้ต่อไป : สิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นมีอยู่ในคนเราแทบจะตลอดเวลา
สิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทที่ยังฟังไม่รู้ว่าอะไรนั่นแหละ มันมีอยู่ในคนเรา ในตัวเรา เกือบตลอดเวลา แล้วเราก็ไม่รู้จัก อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเป็นความผิดของเรา ไม่ใช่ความผิดของธรรมะ
เราไม่สนใจ เราจึงไม่รู้จักสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราแทบว่าตลอดเวลา เดี๋ยวก็จะได้พูดให้ฟัง ว่ามันมีอยู่ในคนเราตลอดเวลาอย่างไร
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่องที่ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้ว ก็อาจจะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของตนได้
และเมื่อมองกันอีกทางหนึ่ง เราต้องถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำกันทุกคน และช่วยทำกันและกันให้เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ได้
มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย ข้อนี้เป็นพุทธประสงค์ และเมื่อเราทำได้ดังนี้แล้ว ความตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็จะไม่เป็นหมัน
ข้อนี้เป็นเช่นเดียวกับเรื่องอริยสัจจ์ ถ้าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องอริยสัจจ์ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็จะเป็นหมัน คือไม่มีประโยชน์อะไร
เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันยิ่งไปกว่านั้น หมายความว่าเป็นเรื่องอริยสัจจ์ที่สมบูรณ์เต็มที่
รวมความแล้วก็ว่าเราจะต้องช่วยกันและกันให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทกว้างขวางออกไปในหมู่พุทธบริษัท
นี้เป็นเหตุผลในขั้นต้นอย่างย่อ ๆ ว่าทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นเรื่องอริยสัจจ์ใหญ่
ทีนี้ก็จะขยายความเรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไป โดยจะตั้งหัวข้อว่า
เรื่องปฎิจจสมุปบาทนี้คือเรื่องอะไร ?
แล้วเพราะเหตุใดจึงต้องมีเรื่องนี้ ?
ปฏิจจสมุปบาทเพื่ออะไร ?
และจะมีได้โดยวิธีใด ?
★
ถ้าถามว่า ปฎิจจสมุปบาทคืออะไร ?
ก็ตอบว่า ปฏิจจสมุปบาทคือการแสดงให้ทราบว่าทุกข์จะเกิดขึ้นมาอย่างไร ? และจะดับลงไปอย่างไรโดยละเอียด
และแสดงให้ทราบว่าการที่ทุกข์เกิดและดับไปนั้น มีลักษณะเป็นธรรมชาติที่อาศัยกันและกัน
ไม่ใช่ต้องมีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรที่ไหนมาช่วยทำให้ความทุกข์เกิดหรือทำให้ความทุกข์ดับ
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่หลาย ๆ ชั้น และอาศัยกันแล้วทำให้ความทุกข์เกิดขึ้น หรือจะทำให้ความทุกข์ดับไปก็ตาม
คำว่า ปฏิจฺจ แปลว่า อาศัย
คำว่า สมุปฺบาท แปลว่า เกิดขึ้นพร้อม
เรื่องของสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกันแล้วเกิดขึ้นพร้อม นี่คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการแสดงให้รู้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ที่นี่ หรือว่าจะเวียนว่ายต่อไป มันเป็นเพียงธรรมชาติล้วน ๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ถ้าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่เราเรียกว่า “ตัวกู” นี้ ไม่มี
เมื่อคนไม่รู้เรื่องนี้ ก็ปล่อยไปตามความรู้สึกนึกคิดตามธรรมดาซึ่งมีอวิชชาครอบงำ แล้วมันก็รู้สึกว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
นี่ความมุ่งหมายของเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างนี้ ใจความสำคัญก็คือว่า แสดงให้รู้ว่า
- ทุกข์เกิดและดับอย่างไร
- และการเกิดและดับนั้น เป็นการอาศัยซึ่งกันและกันเกิดและดับ
- และว่าอาการอย่างนั้นทั้งหมดนั้น ก็มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัวตน เรา เขา
- ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า การที่มันอาศัยกันเกิดขึ้นและดับลงนี้ มันรุนแรงแบบสายฟ้าแลบ คือรวดเร็วรุนแรงแบบสายฟ้าแลบ
ขอให้ทุกคนสังเกตดูให้ดีว่า ความคิดนึกของคนเราที่เกิดขึ้นมานี้ มันรวดเร็วรุนแรง
ตัวอย่างเช่น ความโกรธอย่างนี้ เกิดขึ้นมารวดเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ
นี้เรียกว่าพฤติของจิตที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ ที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ในชีวิตประจำวันของคนเรานั่นเอง นั่นแหละคือเรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยตรง
ถ้ามองเห็น จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียว หรือเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
แต่ถ้ามองไม่เห็น มันก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไร
นี่ถ้าถามว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร อย่างเป็นธรรมดาสามัญที่สุด ก็ตอบว่าคือเรื่องพฤติของจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อทุกข์ แล้วก็รวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ แล้วก็มีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเรา นี่แหละคือตัวปฏิจจสมุปบาท
★
ปัญหาที่สองถามว่า เพราะเหตุใดเราจึงต้องมีเรื่องปฏิจจสมุปบาท ?
เราต้องมีเรื่องปฎิจจสมุปบาทเพื่อการศึกษาและปฎิบัติ
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แถมยังกำลังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิของคนทั่ว ๆ ไป ก็เป็นเหมือนมิจฉาทิฏฐิของภิกษุสาติเกวัฏฏบุตร
ภิกษุรูปนี้ทั้งที่เป็นภิกษุ ก็มีทิฏฐิที่ถือและยืนยันว่า “ตเทวิทํ วิญฺญานํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญํ” ซึ่งแปลว่า “วิญญานนี้เท่านั้น ที่แล่นไป ที่ท่องเที่ยวไป ไม่มีสิ่งอื่น”
ภิกษุรูปนี้ถือว่า วิญญานนั้นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล แล้วก็แล่นไป แล้วก็ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารคือการเกิดแล้วเกิดอีก ไม่มีสิ่งอื่น
การที่ถือว่าวิญญานนั้นเป็นสัตว์ หรือบุคคลตัวยืนโรงสำหรับแล่นไปในวัฏสงสาร เช่นนี้ก็เพราะไม่ทราบความจริงเรื่องปฎิจจสมุปบาท จึงได้เกิดมีมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาอย่างนี้
ทีนี้ ภิกษุทั้งหลายพยายามที่จะให้ภิกษุรูปนี้สละทิฏฐินี้เสีย เมื่อเธอไม่สละ ก็พากันไปทูลพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสให้หาตัวไป แล้วก็ทรงสอบถามว่ามีทิฏฐิอย่างนั้นจริงไหม ?
ภิกษุรูปนี้ก็ทูลว่ามีทิฏฐิอย่างนั้นจริง คือว่า “วิญญานนี้แหละแล่นไป ท่องเที่ยวไป ไม่ใช่อื่น”
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถามว่า อะไรเป็นวิญญานของเธอ ?
ภิกษุนี้ทูลตอบว่า “ยฺวายํ ภนฺเต วโท เวเทยฺโย
ตตฺร ตตฺร กลฺยาณปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฏิสํเวเทติ”
ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สิ่งใดที่มันพูดได้ หรือมันรู้สึกอะไรได้ แล้วมันเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นกรรมดีและกรรมชั่ว นั่นแหละคือวิญญาน”
นี่ก็ยิ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิหนักยิ่งขึ้นไปอีก : ตัววิญญานคือสิ่งที่ทำให้พูดได้ ที่ทำให้รู้สึกอะไรได้ แล้วเสวยผลกรรมต่อไปข้างหน้า
คนธรรมดาฟังไม่ถูกว่า ทำไมการถืออย่างนี้จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะใคร ๆ ก็เชื่อว่าวิญญานมีอยู่ แล้ววิญญานเป็นอย่างนั้น ๆ
ฉะนั้นคนธรรมดาพูดกันเสียแต่อย่างนั้นจนชิน ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
คำพูดเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะยืนยันว่าวิญญานเป็นของเที่ยง เป็นของที่มีอยู่ในตัวเอง มิใช่เป็นเพียงปฏิจจสมุปปันธรรม คือมิใช่เป็นเพียงผลของปฎิจจสมุปบาท
…
ที่แท้ วิญญานเป็นเพียงปฎิจจสมุปปันธรรม หมายความว่า ไม่มีตัวตน เพียงแต่อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นสืบต่อกันไปชั่วคราว ๆ เท่านั้น
อย่างนี้เรียกว่า เห็นว่าวิญญานนั้นเป็นปฏิจจสมุปปันธรรม ซึ่งตามนัยแห่งปฎิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นว่า ตัวตนไม่มี
…
ทีนี้ ภิกษุสาติ เกวัฏฏบุตรนี้ยืนยันว่ามีตัวตน หรือยืนยันว่าวิญญานนี้เป็นตัวตน คือมันแล่นไป มันท่องเที่ยวไป
หรือว่าอยู่ที่นี่ เขาก็พูดว่า เป็นผู้พูด เป็นผู้รู้สึกอารมณ์ต่าง ๆ แล้วเป็นผู้เสวยวิบากของกรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล เป็นอกุศล
คือว่ามีตัวตน มีตัวเรา ที่เป็นอย่างนั้น แล้วเรียกมันว่า วิญญาน
นี่เพราะเหตุว่าคนทั้งหลายมีทิฏฐิอย่างนี้กันอยู่ทั่วไป โดยไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เราจึงต้องมีเรื่องปฎิจจสมุปบาทที่บอกให้รู้ความจริงว่า มันไม่มีตัวตน
วิญญานนั้นมิใช่ตัวตน
ถ้าว่าวิญญานมี มันก็เป็นเพียงปฎิจจสมุปปันธรรม คือธรรมชาติที่อาศัยกันเกิดขึ้นทยอยกันยิบ ๆ ไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นตัวเป็นตนอะไรที่ไหน
เพราะเหตุนี้จึงต้องรู้เรื่องปฎิจจสมุปบาท
★
ทีนี้ ถามว่ารู้ปฎิจจสมุปบาทเพื่ออะไร ?
ก็เพื่อพ้นจากมิจฉาทิฏฐิที่ว่าคนมีอยู่ แล้วคนไปเกิด แล้วคนเป็นไปตามกรรมเหล่านี้
แล้วก็เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิง คือมีสัมมาทิฏฐิขึ้นมา
ถ้ายังหลงเรื่องวิญญานเป็นตัวตน ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มันก็มีความทุกข์และดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้นจึงต้องรู้เรื่องวิญญานที่แท้จริงว่าเป็นอะไร
คือเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม
เกิดขึ้นโดยนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท
อย่างนี้มันจะดับทุกข์ได้ และจะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
โดยที่มีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจอย่างถูกต้อง
ข้อนี้หลักบาลีสั้น ๆ ว่า “ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ”
วิญญานเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม
คือสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
“อญฺญตรฺ ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสสฺสมฺภโว”
ถ้าปราศจากซึ่งปัจจัยเหล่านั้นแล้ว การเกิดขึ้นแห่งวิญญานมีไม่ได้
ข้อนี้แสดงว่าถ้าวิญญานมีตัวตนจริง มันก็ควรมีได้โดยตัวมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอะไร
เดี๋ยวนี้ตัวมันเองมิได้มี
มีแต่ปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้น
แต่มันประณีตลึกลับ ถึงกับทำให้รู้สึกคิดนึกได้
ให้นามรูปนี้ทำอะไรได้ พูดจาได้ อะไรได้ต่าง ๆ
ก็เลยเข้าใจผิดไปในตัวมันเองว่า
มีอะไรอันหนึ่งเป็นตัวเป็นตนอยู่ในนามรูปนี้
ซึ่งในที่นี้เรียกกันว่า วิญญาน
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้มีก็เพื่อประโยชน์อันนี้เอง ให้ละมิจฉาทิฏฐิเสีย แล้วจะได้ดับความทุกข์สิ้นเชิงได้
1
★
ทีนี้ปัญหาต่อไปก็มีว่า จะดับทุกข์ได้โดยวิธีใด ? ทำอย่างไร ?
คำตอบก็เหมือนกับที่แล้ว ๆ มาในหลักทั่ว ๆ ไปว่าจะมีได้โดยการปฏิบัติที่ถูกต้อง คือการมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง หรือการเป็นอยู่โดยชอบ
ความเป็นอยู่ที่ชอบนั้นก็คือ การเป็นอยู่ที่สามารถทำลายอวิชชาเสียได้ด้วยวิชชา
คือการเป็นอยู่ที่ทำลายความโง่เสียได้ด้วยความรู้
หรือถ้าจะสรุปความอีกทีหนึ่งก็เป็นการสรุปว่า คือการมีสติอยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสติเมื่อมีอารมณ์มากระทบ นี่ขอให้เข้าใจคำว่า “เป็นอยู่โดยชอบ” นั้นเป็นอย่างนี้
คือเป็นอยู่โดยมีสติสมบูรณ์อยู่ทุกเวลา และโดยเฉพาะเมื่อมีอารมณ์มากระทบ
เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ความโง่เกิดไม่ได้ อวิชชาเกิดไม่ได้
สามารถขจัดอวิชชาออกไปเสียได้
มันเหลืออยู่แต่วิชชา
หรือความรู้นี้แหละคือความเป็นอยู่โดยชอบ
เป็นอยู่ชนิดที่ความทุกข์เกิดไม่ได้
โดยหลักใหญ่ ๆ เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันมีอยู่อย่างนี้
1. เมื่อถามว่าปฎิจจสมุปบาทคืออะไร ?
… ก็คือการแสดงให้รู้เรื่องความทุกข์ที่เกิดขึ้นในรูปสายฟ้าแลบในจิตใจของคนเป็นประจำวัน
2. เพราะเหตุใดเราจึงต้องรู้เรื่องนี้ ?
… ก็เพราะว่าคนมันกำลังโง่ ไม่รู้เรื่องนี้
3. รู้เพื่อประโยชน์อะไร ?
… เพื่อให้รู้ถูกต้องและให้ดับทุกข์เสียได้
4. จะดับทุกข์ได้โดยวิธีใด ?
… ก็โดยวิธีที่ปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของปฎิจจสมุปบาท คืออย่าให้กระแสปฎิจจสมุปบาทมันเกิดขึ้นมาได้ เพราะว่ามีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
เรื่องมันสัมพันธ์กันอยู่อย่างนี้ รวมกันก็เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” …”
.
ธรรมบรรยาย
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา
เสาร์ 12 มิ.ย. 2514
จากหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท
Photo by : Unsplash
2 บันทึก
6
6
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ตามรอยธรรม
2
6
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย