22 พ.ค. 2022 เวลา 05:42 • ไลฟ์สไตล์
“บวชใจให้ได้”
“ … มีผู้หญิงเขาถามมา เขาจะบวช คือเขาบวชแล้วเป็นภิกษุณี ทางเถรวาทเรามันไม่มีภิกษุณีแล้ว ทางมหายานเขามีอยู่
ที่จริงการบวชมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนา
เมื่อก่อนก็มี เป็นแม่ชีอยู่ภาคเหนือ ไปบวชเป็นภิกษุณี ภาวนาไม่ขึ้น ตอนหลังสึกออกมา ภาวนาก็ดีขึ้น
คือไม่ใช่ว่าไปบวชไม่ดี แต่ว่าพอไปบวช ยิ่งผู้หญิงไปบวชแล้ว ยิ่งสำคัญมั่นหมาย เราเป็นนักบวช เป็นภิกษุณี เป็นโน้นเป็นนี้ ดีกว่าแม่ชีอย่างโน้นอย่างนี้
1
แล้วพอไปอยู่รวมกันเยอะๆ ก็ไม่ค่อยถูกกัน ไม่ชอบหน้ากัน วันๆ ก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรสังคมจะยอมรับ หรือทำอย่างไรจะจัดการกับพวกที่บวชอยู่ด้วยกันได้
คือถ้าวันๆ คิดแต่เรื่องอย่างนี้ มันภาวนาไม่ได้หรอก
ถ้าเราไม่มีโอกาสบวชทางร่างกาย
เราก็มาบวชทางใจของเรา
ตั้งใจรักษาศีลให้ดี เราภาวนาของเราไป
เดินคนเดียวก็ได้ ภาวนาอยู่บ้านเรา ภาวนาไป
ไม่ต้องไปสู้รบกับใคร รักษาสถานะ
หรือจะให้สังคมยอมรับสถานะ เหนื่อย
ที่จริงการบวชมันยาก ตอนนี้มันชักจะยากขึ้นทุกทีๆ แล้ว ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายล่ะ
อย่างในชลบุรี แต่ก่อนพระที่จะบวชมาอยู่ที่วัดหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ แล้วก็วัดยังไม่มีโบสถ์ ใครอยากบวชก็ต้องไปบวชที่อื่นมา
ในชลบุรีเราก็ได้อาศัยอยู่ 3 วัดหลักๆ
วัดเขาบางทราย วัดอรัญญิกาวาส และก็วัดศรีมหาราชา 3 องค์นี้ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านใจดี ไปบวชท่านก็ช่วยดูแล ช่วยบวชให้
ตอนนี้ของวัดอรัญญิกาวาส ท่านมรณภาพไป
วัดเขาบางทราย กับวัดศรีมหาราชา ท่านอาพาธ
ฉะนั้นใครจะมาบวชตอนนี้ก็ต้องไปหาที่บวชเอา
ที่ไหนเขาจะบวชให้ก็เอา
บางที่เขาก็ไม่อยากบวชให้ เขาไม่ไว้ใจ ไม่รู้ใครมาจากไหน บางที่เขาบวชให้แต่เงื่อนไขเขาเยอะ ค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องซื้อบาตรซื้อจีวรของวัดเขา
บางที่บวชเสร็จต้องเลี้ยงอาหาร เลี้ยงโต๊ะจีน เลี้ยงอะไร ค่าใช้จ่ายเยอะ ก็ไม่รู้จะช่วยพวกเราอย่างไรที่อยากมาบวช ก็ไปหาที่บวชเอา
ตอนนี้ผู้ร้ายมันมาบวชก็เยอะ คณะสงฆ์ก็จำเป็น เขาก็ออกระเบียบมา ต้องสอบประวัติอาชญกรรมก่อน ถึงจะบวชได้
คือเงื่อนไขมันเยอะขึ้นๆ การตั้งอุปัชฌาย์ก็ตั้งยาก มีเงื่อนไขหลายอย่าง เลยหาอุปัชฌาย์ยาก
พออุปัชฌาย์มีน้อย ท่านก็บวชๆ ท่านก็ไม่รู้จักคนที่บวชกับท่าน ดูแลกันยาก หลายเรื่อง
พวกเราองค์ไหนบวชมาแล้ว ก็รักษาตัวให้ดี กว่าจะห่มผ้าเหลืองได้ไม่ใช่ง่าย ลำบากเยอะแยะเลย
แต่ตอนผ้าเหลืองหลุดออกจากตัวง่าย พูดประโยคเดียวก็สึกได้เรียบร้อยแล้ว ท่านจำไว้ว่าข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์อะไรอย่างนี้ ไปบอกกับมนุษย์ ไปบอกกับต้นไม้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็บ้าๆ ไปสึกกับต้นไม้อะไรอย่างนี้ ฉะนั้นกว่าจะบวชได้ไม่ใช่ง่าย
กรรมฐานเป็นงานทางใจ
ถ้าเราไม่มีโอกาสจะบวช อาจจะเพราะว่าไม่พร้อมที่จะบวช มีภารกิจทางโลก ยังบวชไม่ได้ หรือไม่มีภารกิจ แต่ยังหาที่บวชด้วยความเต็มใจไม่ได้ ไม่สบายใจที่จะบวช
หาไม่ได้ ทำอย่างไร
อย่างผู้หญิงจะไปบวชภิกษุณี มันก็ไม่มีจริง ไปบวชชีแต่ละวัด เขาก็ขยาด หาที่อยู่ยาก มันมีเงื่อนไขที่เราบวชไม่ได้ เราฝึกตัวเอง บวชใจเราให้ได้
ตั้งใจรักษาศีล เอากี่ข้อ ก็เอาเท่าที่ทำได้
ขั้นต่ำมีศีล 5 ก็ โอเคแล้ว สูงขึ้นไปหน่อยก็ถือศีล 8
เป็นฆราวาสถือศีล 10 ไม่ไหวหรอก
ศีล 8 กับศีล 10 มันต่างกันนิดเดียวล่ะ
คือศีล 10 ควบคุมเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เป็นฆราวาสมันต้องใช้เงินอยู่แล้ว
ฉะนั้นได้ศีล 8 มากที่สุด
ฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจถือศีล 5 ศีล 8 ถือเข้าไปเถอะ
เท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
อย่างบางคนสุขภาพไม่อำนวย ถือศีล 8 อดข้าวเย็น แล้วยังทำงานหนัก ทำงานหนักทั้งวันเลย ตกเย็นไม่กินข้าวอีก ไม่นานโรคกระเพาะก็ถามหา
ฉะนั้นดูสภาพเราที่ทำได้จริงๆ ทำแล้วไม่เข้าข่ายอัตกิลมถาลิกานุโยค ทรมานตัวเอง แต่ไม่ใช่ปรนเปรอตัวเองตามใจชอบ มีวินัยในตัวเอง
อยู่บ้านก็ภาวนาของเราไป ฆราวาสก็ทำมรรคผลได้
แต่จะทำให้ถึงพระอนาคามีอะไรอย่างนี้
สมัยพุทธกาลก็มี สมัยเราคงยากหน่อย
สิ่งยั่วยุมันเยอะเหลือเกิน
แต่จะถึงพระอรหันต์
สมัยพุทธกาล ฆราวาสบรรลุพระอรหันต์ก็มี
มีตั้งหลายองค์
ฉะนั้นอยู่ที่ท่านฝึกของท่าน
ตั้งใจจริง รักษาศีล ภาวนาจริงจัง
ส่วนใหญ่ฆราวาสยังเสียดายในกาม
เสียดายกามสุขอยู่ เสียดายเรื่องโลกๆ
ฉะนั้นจะภาวนาให้จบยากมาก แต่ทำได้
ส่วนใหญ่ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสที่ท่านเป็นพระอรหันต์ มักจะเป็นสมสีสี คือเป็นพระอรหันต์ตอนกำลังจะตายแล้ว
ทำไมต้องไปเป็นตอนกำลังจะตาย
ตอนแข็งแรงไม่ค่อยเป็น แข็งแรงยังยุ่งกับโลกอยู่
พอจะตายแล้ว ใจมันวาง ยอมปล่อย
ปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิต บรรลุพระอรหันต์
มีหลายองค์ พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็น สันตติมหาอำมาตย์อำมาตย์ก็เป็น บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ตายวันนั้นเลย หลังๆ เราก็เลยสรุปกันว่า ถ้าบรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ได้บวชในวันนั้นก็จะตายเลย
ในคัมภีร์ก็จะมีเรื่องอย่างนี้อยู่ แต่คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วไม่กลัวตายหรอก ถ้าบอกไม่กล้าเป็นพระอรหันต์ เพราะกลัวจะตาย ไม่มีทางเป็น
มีครั้งหนึ่งอยู่กับหลวงปู่ หลวงปู่ดูลย์ มีคนไปถามท่านว่า บรรลุพระอรหันต์แล้ว ไม่ได้บวช จะตายจริงไหม
ท่านตอบดี ท่านบอกในคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ท่านไม่ได้บอก คัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วท่านก็หันมาถามหลวงพ่อว่า “ถ้าบรรลุพระอรหันต์ ไม่ได้บวชแล้วตาย เอาไหม”
บอกเอา ความตายมันจะน่ากลัวอะไร
เรามีกิเลส เดี๋ยวเราก็เกิดอีก เราก็ตายอีก
แต่ถ้าวางความยึดถือในธาตุในขันธ์ ในกายในใจได้
พ้นทุกข์ไปเลย มันจะตายก็ตายไปเถอะ
ใครมันตาย ขันธ์มันตาย
มันไม่ใช่เราตายอีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้นถ้าเรายังบวชไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเงื่อนไขอะไร
ยังมีหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่
ลูกยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่มีใครส่ง
เราก็ต้องส่งอะไรอย่างนี้ ทำหน้าที่ของเราไป
งานกรรมฐานเป็นงานทางใจ
ตั้งอกตั้งใจภาวนาของเราให้ดี
ถือศีล 5 ไว้ ศีล 8 ถือเป็นบางครั้งบางคราว
คนโบราณเขาถือศีล 8 วันพระกัน
ไปถือศีล 8 ก็ไปอยู่วัด ไม่ทำงานอะไรมาก
อยู่วัดกัน ถือศีล 8 ทุกวันนี้มันไปอย่างนั้นไม่ได้
วันพระก็ต้องทำงาน เหนื่อย
ถ้าไม่ได้กินข้าวเย็นอะไรอย่างนี้
เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหา อยู่ไม่ไหว
พอธาตุขันธ์เราทรุดโทรม การภาวนายาก
คนจะภาวนาได้ดี ร่างกายต้องแข็งแรงพอสมควร
ไม่ถึงขนาดต้องเป็นนักกล้ามอะไรหรอก
แต่ว่าต้องแข็งแรง
ประเภทหายใจโรยรินแล้วจะภาวนา มันไม่ไหว
ฉะนั้นภาวนาตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่
ไม่มีโอกาสบวชเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม
ก็อยู่บ้าน ภาวนาให้ดี รักษาศีล
ทำสมาธิทุกวัน
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตตัวเองไว้
สมาธิมันจะเกิดขึ้นได้ง่าย
ถ้าไม่ใส่ใจจิต ไปฝึกสมาธิ สงบยาก ตั้งมั่นยาก
ถ้าเรารู้ทันจิตของตัวเอง เราทำสมาธิไป สงบง่าย
ตั้งมั่นง่าย ไม่ยาก
เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วเราก็รู้ทันไป
ร่างกายมันหายใจ จิตมันเป็นคนดู
หายใจไปสักพักหนึ่ง จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว รู้ทัน
ตรงที่เรารู้ทันว่าจิตมันหนีไป
จิตที่หนีไปคือจิตที่ฟุ้งซ่านจะดับ
จิตที่ไม่ฟุ้งซ่านจะเกิดขึ้นมาแทน มันจะสงบขึ้นมา
แล้วมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
สมาธิเป็นเรื่องสำคัญ
ฉะนั้นทุกวันต้องฝึกสมาธิ ทิ้งไม่ได้
หลวงพ่อเคยพลาดมาแล้ว เสียเวลาไปช่วงหนึ่ง
ทำสมาธิตั้งแต่เด็กจนกระทั่งประมาทในสมาธิ
เห็นว่าทำแทบตาย ไม่เห็นมันจะได้อะไรเลย ได้แต่สงบ
อีกช่วงหนึ่งก็ฟุ้งอีกแล้ว แล้วก็สงบอีก แล้วก็ฟุ้งอีก
ก็มีอยู่แค่นี้เอง มันเดินปัญญาไม่เป็น
แล้วก็เลยไปดูถูกสมาธิ
พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ดูจิตดูใจ
จิตใจมันก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเลย
เป็นฆราวาส ภาวนาเข้าไป จิตใจก้าวกระโดดได้
เสร็จแล้วเลยดูถูกสมาธิ ทำมาตั้งนานไม่ได้อะไร
เจริญวิปัสสนา ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจในเวลาไม่มาก
เลยทิ้งสมาธิไป ไปเจริญปัญญา
เห็นจิตเกิดดับไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งกำลังสมาธิไม่พอ
พอกำลังสมาธิไม่พอ ขณะที่เจริญวิปัสสนาอยู่
มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลสแทรกเข้ามา มี 10 อย่าง
วิปัสสนูปกิเลส สำหรับนักดูจิต
วิปัสสนูปกิเลสตัวที่เด่นเลย มีแทบทุกคนเลย
คือตัวโอภาส
โอภาสเป็นแสงสว่าง จิตไปอยู่กับความสว่าง ความว่าง
แหม มีความสุขเหลือเกิน
คล้ายๆ นั่งทับอุจจาระอยู่ ไม่รู้เรื่องเลย
นั่งทับของสกปรกอยู่ จิตเราสกปรกอยู่ เราไม่เห็นเลย
เราเห็นแต่มันว่าง มันสว่าง มันสบาย
เพราะว่าสมาธิไม่พอ
หรือเวลาเรานั่งสมาธิ สมาธิเรายังไม่พอ
แล้วใจมันฟุ้งขึ้นมา มันทำงานขึ้นมา มันจะเกิดนิมิต
เวลาเราทำสมถะ
สิ่งที่มาหลอกลวงเราคือนิมิตทั้งหลาย
เวลาเราทำวิปัสสนา
สิ่งที่มาหลอกลวงเราคือพวกวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย
1
นี่เป็นสิ่งที่เป็นกับดัก
อย่างถ้าเราทำสมาธิ หายใจไปเรื่อยๆๆ
ตอนที่ใจมันรวมเคลิ้มลงไป มันยังเข้าไม่ถึงฌาน
จิตมันก็สร้างนิมิตขึ้นมาได้
นิมิตไม่ใช่แค่ว่าเห็นโน่นเห็นนี่
นิมิตเป็นรูปก็มี นิมิตเป็นเสียงก็มี
นั่งอยู่แล้วได้ยินเสียงเทวดา เสียงผีอะไรอย่างนี้
นิมิตเป็นกลิ่นก็มี
บางทีได้กลิ่นหอม ได้กลิ่นเหม็นลอยมา
อาบน้ำอยู่ ทั้งๆ ที่อาบน้ำอยู่ เปิดฝักบัวอยู่
น้ำที่พุ่งออกมาจากฝักบัว หอมตลบไปหมดเลย
นี่ก็นิมิต นิมิตกลิ่น
นิมิตรสก็มี กินข้าวเปล่าๆ บางที โห อร่อยจัง
มีรสชาติเอร็ดอร่อย นี่ใจที่มีสมาธิ
แต่ว่าไม่ถึงฌาน
มันจะปรุงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเยอะแยะเลย
ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งสัมผัสก็มี
นิมิตเป็นสัมผัส
อย่างเรานั่งสมาธิเยอะๆ มันปวด มันเมื่อย
เห็นนิมิตเหมือนมีคนมานวดให้อย่างนี้
ลืมตามาดู เห็นขาบุ๋มลงไปอย่างนี้ เป็นรอยนิ้วเลย
นี่นิมิตทั้งนั้น
นิมิตเป็นธรรมารมณ์ก็มี
จิตรวมลงไป แล้วกิเลสหลอก ระลึกชาติ
ระลึกชาติมีทั้งระลึกจริง ระลึกปลอม
ถ้าจิตไม่ถึงอัปปนาสมาธิ แล้วบอกระลึก นี่ระลึกเก๊
เป็นนิมิตหลอกเอา เคยเกิดเป็นนั่นเคยเกิดเป็นนี่
ล้วนแต่เกิดใหญ่ๆ ทั้งนั้น เพราะว่ามันสนองกิเลส
หรือบางทีภาวนา เฮ้ย คนนี้ชาติก่อนเป็นเมียเรา
ชาตินี้ไม่ได้เป็นเมียเรา
เพราะฉะนั้นต้องเอาคืนอะไรอย่างนี้
นี่นิมิตทางใจมันหลอก
หลอนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
หรือบางคนนั่งสมาธิภาวนาอยู่ที่บ้าน
นิมิตหลอกว่าหลวงพ่อไปเรียกมา ไปตามตัวมา
บอกว่าถึงเวลาแล้วให้มาหาหลวงพ่อ
กิเลสมันหลอกเอา จิตมันหลอน
บางคนถึงขนาดบอกว่า หลวงพ่อไปเรียกให้เอารถยนต์มาถวาย เอามาจริงๆ ใจเด็ด หลวงพ่อก็บอก เออ รับไว้ แต่เอาคืนไปเลย ไม่ต้องมาให้เรา เพราะว่าตัวเองโดนกิเลสหลอกมา
เพราะฉะนั้นนิมิตบางทีมันทั้งหลอกทั้งหลอน
อย่าไปเชื่อสิ่งที่หลอกหลอนทั้งหลาย
ทำอย่างไรจะข้ามนิมิตได้
ทำสมาธิเข้ามาให้จิตตั้งมั่นจริงๆ
นิมิตทั้งหมดจะดับอัตโนมัติเลย
แล้วเวลาทำวิปัสสนาอยู่ เห็นเกิดดับๆ อยู่
ถ้าสมาธิไม่พอ มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส
ทำอย่างไรจะแก้ วิปัสสนูปกิเลสได้
ทำสมาธิให้จิตตั้งมั่นถึงฐานจริงๆ
วิปัสสนูปกิเลส 10 อย่างอยู่ไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้นการทำสมาธิไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ สำคัญ
ถ้าสมาธิเราไม่พอ ไปทำสมถะ มันก็โดนนิมิตหลอก
สมาธิเราไม่พอ ไปทำวิปัสสนา
จะถูกวิปัสสนูปกิเลสหลอก
นึกว่าบรรลุพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิจำเป็นต้องฝึก
ต้องทำทุกวัน …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
8 พฤษภาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา