23 พ.ค. 2022 เวลา 01:48 • ไลฟ์สไตล์
“เพราะคลายความยึดถือ จึงหลุดพ้น”
“ … หลวงพ่ออยากให้พวกเราภาวนา ตั้งใจไว้ หลวงพ่อพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า เราไม่รู้ว่าศาสนาพุทธจะอยู่ได้นานแค่ไหน อาจจะพังไปเพราะผู้หวังดีทั้งหลายนี่ล่ะ หวังดีจริงหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย เราไม่รู้อะไรสักอย่าง
แต่เรารู้อย่างหนึ่ง พระพุทธศาสนาไม่เคยอยู่ได้นานหรอก กี่พระพุทธเจ้ามาแล้วก็อยู่ได้ชั่วคราว ช่วงเวลาที่มืดบอด มันมากกว่าหลายเท่า เทียบกันไม่ได้เลย
เมื่อ 91 กัปก่อนมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
เมื่อ 31 กัปก่อนมีพระพุทธเจ้าอีก 2 องค์
60 กัปไม่มีพระพุทธเจ้า
มาถึงกัปเรามีพระพุทธเจ้า
ศาสนาพุทธอยู่ก็ไม่ค่อยนาน อย่างศาสนาพุทธเราตอนนี้ อยู่มาสองพันกว่าปีแล้วก็ง่อนแง่นๆ คนมันรักษาธรรมะไว้ไม่ได้
ธรรมะรักษาไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ได้ลงมือประพฤติธรรม
ประพฤติธรรมก็คือรักษาศีล
ถ้าเราไม่รักษาศีลก็ใช้ไม่ได้ ถือว่าทำลายธรรมะแล้ว
เราไม่ฝึกจิตของเราให้สงบ ให้จิตตั้งมั่น
ไม่ฝึกสมาธิก็ใช้ไม่ได้
เพราะจะไม่สามารถเจริญปัญญาได้
เราไม่เจริญปัญญา เราก็จะไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง
ศาสนาพุทธรู้ไม่ได้ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง ด้วยการคิด
จะรู้จักศาสนาพุทธได้ต้องลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร
ปฏิบัติศีล ปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติปัญญา
ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยกำลังของเราพอ
เราเข้าใจธรรมะขึ้นมา น้ำตาตกนะ น้ำตาร่วงเลยว่า
โอ๊ย กว่าจะรอดมาได้ไม่น่าเชื่อเลย
อย่าว่าแต่พวกเราเลย ตอนเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุพระอรหันต์ ท่านยังถอดใจเลย มันยากเหลือเกิน ยากที่คนอื่นจะรู้ตามได้ ธรรมะที่บริสุทธิ์หลุดพ้นขนาดนี้
ถ้าบอกให้ทำบุญทำทาน ให้ไหว้ต้นไม้ ไหว้หมา ไหว้แมวยังง่ายกว่า
ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางนี่ยากเหลือเกิน ไม่มีใครอยากทำ
ท่านตรัสรู้แรกๆ ท่านถอดใจว่าธรรมะนี้ประณีตเกินไป สอนไม่ไหวเหนื่อยเปล่า ใจท่านก็น้อมไปทางที่จะไม่สอน
ในตำราเขาพูดถึงท้าวสหัมบดีพรหม มานิมนต์ให้ท่านแสดงธรรม จริงก็อาจจะเป็นความเมตตากรุณาในใจของท่านเองก็ได้ แต่สร้างเป็นเรียกบุคลาธิษฐาน สร้างสิ่งที่เป็นนามธรรมให้มันเป็นรูปธรรม บอกเป็นพรหมมานิมนต์
ความจริงก็คือจิตที่บริสุทธิ์แล้ว มันเป็นพรหมโดยอัตโนมัติ
มันมีความเมตตากรุณาเต็มเปี่ยมอัตโนมัติเลย
ท่านก็พิจารณาว่า บางคนมันอินทรีย์อ่อนก็สอนไม่ได้
บางคนมันอินทรีย์แก่กล้าก็สอนได้
ท่านมองอย่างนี้แล้วท่านถึงออกมาสอน
ยอมลำบากอยู่ 45 ปี แทนที่จะเสวยวิมุตติสุขอยู่ 45 ปี
ถ้าเสวยวิมุตติสุขคงอยู่นานกว่านั้นอีก ไม่ลำบากขันธ์
แต่นี้ท่านยอมลงทุนออกมาสอน
ใช้เวลาสอนอยู่ 45 ปี เหนื่อย
ตอนท้ายท่านก็บอกว่าท่านไม่ไหวแล้ว
ธาตุขันธ์ท่านเหมือนเกวียนที่ใกล้พังแล้ว
เห็นตามความเป็นจริง เราก็คลายความยึดถือ แล้วก็ใจก็หลุดพ้น
พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรมไว้ ถือศีล 5 ศีล 5 ข้อก็พอ
ไปยืนด่าพระนั่นไม่มีศีล
อย่าว่าแต่ด่าพระเลย ด่าหมายังไม่มีศีลเลย
ฉะนั้นรักษาศีล 5 ให้ดี
ทุกวันแบ่งเวลาไว้ปฏิบัติในรูปแบบ
ถ้าเราไม่ทำในรูปแบบเลย จิตเราจะไม่มีกำลัง
จิตจะไม่สงบแล้วก็ไม่ตั้งมั่น
ถ้าจิตเราไม่มีกำลัง ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น
เราจะเจริญปัญญาไม่ได้
เพราะการเจริญปัญญานั้นเราจะต้องเห็นเอา
เห็นกายอย่างที่กายเป็น
เห็นเวทนาอย่างที่เวทนาเป็น
เห็นสังขารอย่างที่สังขารเป็น
เห็นจิตอย่างที่จิตเป็น
มันจะเห็นอย่างที่เป็นได้มันต้องไม่มีอคติ
จิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้องเป็นจิตที่ปราศจากอคติ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะเกลียด
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะหลง
เป็นกลาง
ที่หลวงพ่อสอน “ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” เป็นกลางคือปราศจากอคติ
เราต้องพัฒนาจนเราได้จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
พอสติระลึกรู้กายจิตเราตั้งมั่นและเป็นกลาง
ปัญญาจะเกิด
มันจะเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
จิตตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้เวทนา
มันก็จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ระลึกรู้สัญญา ระลึกรู้สังขาร ระลึกรู้วิญญาณ
ก็จะเห็นอย่างนั้นไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา
มีแต่สภาวะ รูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง
สภาวะทั้งหลายมีเหตุก็เกิด
หมดเหตุก็ดับ บังคับมันไม่ได้
มันเป็นอนัตตา มันจะเห็น
พอเห็นอย่างนี้ ใจมันค่อยคลายออกๆ
เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความกำหนัด
คือคลายความยึดถือ
เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น
ทำไมเราไม่หลุดพ้น ก็เพราะเรายึดถือ
อย่างนี้หลวงพ่อจับไมโครโฟนแล้วไม่ยอมปล่อย
เมื่อไรไมโครโฟนมันจะหายไปเสียที
มันจะไปไหนล่ะก็จับมันเอาไว้
ยังยึดอยู่มันก็รู้สึกมีจริงมีจัง
นี่ของเราใครอย่ามาเอา ไมโครโฟนตัวนี้ของเรา
ถ้าภาวนาเรื่อยๆ มันก็เห็นนี่ก็ของโลก
เดี๋ยววันหนึ่งถึงไม่มีใครมาขโมย วันหนึ่งมันก็พัง
ไม่มีอะไรถาวร
เห็นอย่างนี้แล้ววันหนึ่งไมโครโฟนนี้พังไป ไม่เสียใจ
ไม่เสียใจเพราะเรารู้อยู่แล้ว
มันของไม่ยั่งยืน มันของไม่เที่ยง
เมื่อก่อนมีพระองค์หนึ่ง คนถวายแจกันอย่างดีให้ท่าน สวยงามมากราคาแพงมากเลย ท่านก็ห่วงแจกันนี้มากเลย จะไปไหนมาไหนก็สั่งพวกเณร เวลาปัดกวาดระวังให้ดีอย่าให้มันตกแตก
วันหนึ่งเณรไปปัดฝุ่นแล้วมันทำแจกันนี้ตกแตกจริงๆ ใจหายใจคว่ำ เดี๋ยวกลับมาต้องถูกเฆี่ยนแน่ๆ เลย
ปรากฏพอท่านเข้ามาเห็นเณรหน้าซีด ถาม “เป็นอะไร”
เณรอึกๆ อักๆ แล้วก็สารภาพ “ทำแจกันแตก”
ท่านถอนใจ เฮ้อ หมดทุกข์หมดร้อนเสียที
คือคนเอาของมาถวาย แล้วพระไม่ดูแลอะไรก็ดูไม่ดี กลายเป็นภาระให้ท่านต้องดูแล พอมันแตกแล้วมันสุดวิสัยท่านแล้ว
ท่านดูแลเต็มที่แล้วมันแตก ท่านรู้สึก แหม โล่งเลย สบาย อันนี้ เพราะท่านมีปัญญา รู้แจกันนี้มันก็ของไม่เที่ยง มันแตกก็ไม่เสียดาย
ฉะนั้นที่เรายึดถือมันก็ทำให้เราทุกข์
ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริง
เราก็คลายความยึดถือ แล้วก็ใจก็หลุดพ้น
หลุดพ้นก็คืออย่างนี้
ยึดเอาไว้ก็ไม่พ้น ปล่อยเสียก็พ้นแล้ว
ปล่อยไมโครโฟนมันก็พ้นไมโครโฟนล่ะ
ปล่อยกายมันก็พ้นกาย
ปล่อยเวทนามันก็พ้นเวทนา
ปล่อยจิตมันก็พ้นจากจิต
พอพ้นจากจิต มันจะกลายเป็นธาตุชนิดหนึ่งเป็นธาตุรู้
แล้วธาตุรู้นี้มันไม่เสื่อม
มันไม่เสื่อม มันพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ส่วนขันธ์นั้นมันแก่ มันเจ็บ มันตาย
ภาวนานะ โอกาสที่เราจะได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า มีไม่มากหรอก จะหมดไปเมื่อไรก็ไม่รู้
หลวงพ่อแค่ตั้งใจว่า อย่าให้มันหมดในรุ่นของเราก็แล้วกัน
สืบทอดไปได้สักรุ่นหนึ่งก็ยังดี. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
14 พฤษภาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา