23 พ.ค. 2022 เวลา 11:26 • ไลฟ์สไตล์
“เห็นใจซึ่งกันและกัน”
“ … ภาวนาเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะแจ้งอริยสัจ
พอถึงอริยสัจ แต่เดิมเราเด็กๆ เราก็เรียนเรื่องอริยสัจ 4 สมัยโบราณก็มีวิชาศีลธรรม เรียนแล้วก็ไม่รู้มันจะมีประโยชน์อะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคอะไรอย่างนี้ ดูไม่เห็นมีสาระแก่นสารอะไรเลย
พอโตขึ้นมา ศึกษาธรรมะ ภาวนาปฏิบัติอะไรไม่เป็นหรอก แต่ว่าอ่านเอา ก็ยังไม่เข้าใจอริยสัจ
อย่างท่านบอกอุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์
ก็ไปตีความ ขันธ์ 5 ถ้าเราไม่ยึด มันก็ไม่ทุกข์
เราจะเห็นอย่างนี้
กายนี้ใจนี้ถ้าเราไม่ยึด มันก็ไม่เป็นอะไร ไม่ทุกข์แล้ว
คิดว่ารู้อริยสัจ นี่ยังไม่ได้รู้อริยสัจ
ถ้ารู้อริยสัจก็จะรู้ว่ากายนี้ล่ะคือตัวทุกข์ จิตนี้ล่ะคือตัวทุกข์
ขันธ์ 5 นั่นล่ะคือตัวทุกข์
จะยึดหรือจะไม่ยึด มันก็คือตัวทุกข์
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารู้อริยสัจแล้ว
ครูบาอาจารย์ที่ท่านแจ้งอริยสัจ ใจท่านก็พ้นจากโลก มันพ้นจริงๆ มันไม่ใช่คำเปรียบเทียบ โลกมันไม่เข้ามาสัมผัสใจแล้ว ใจก็ไม่เข้าไปคลุกกับโลกแล้ว
บางทีลองทดสอบ อันนี้อนุมานเอา ใจเราคล้ายๆ ลูกฟุตบอล เราถือลูกฟุตบอลลงไปในสระว่ายน้ำ กดลูกบอลลงไปในน้ำ พอเราปล่อยมือ ลูกบอลจะเด้งขึ้นมาเอง มันยังต้องลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
จิตที่มันแจ้งอริยสัจแล้ว ถึงจะแกล้งน้อมเข้าไปในอารมณ์ของโลก มันทำไม่ได้หรอก มันจะดีดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเลย จะหลุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เจตนา มันจะเป็นของมันเองอย่างนั้นเอง
เพราะฉะนั้นอย่างครูบาอาจารย์ถึงแก่ถึงเฒ่า ขี้หลงขี้ลืม หลงลืมเป็นเรื่องปกติ
ธาตุขันธ์มันเสื่อม เพราะสังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง
สัญญาเป็นอัตตาหรืออนัตตา เป็นอนัตตา สั่งไม่ได้
จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง มันเป็นเรื่องของขันธ์
แต่จิตที่มันแจ้งอริยสัจแล้ว
มันไม่จมลงในกองทุกข์อีกต่อไปแล้ว มันคนละเรื่องกัน
ค่อยๆ ภาวนาไป ค่อยๆ เรียน ลงมือทำทุกวันๆ
เราจะได้ช่วยกันรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นของที่รักษายากเอาไว้ ยากมาก
ลำพังคนรุ่นเรา เราภาวนาแล้ว ยังไม่เท่าไหร่ เราก็มีต้นทุน ถึงชาตินี้เราไม่ได้มรรคได้ผลอะไร ก็อาจจะพากันขึ้นไปอยู่ในเทวโลก ในพรหมโลก ไปภาวนากันต่อที่โน่นก็ได้
แต่คนรุ่นหลังมันจะไม่มีแสงสว่าง คือไม่มีธรรมะอีกต่อไป มันน่าสงสาร ฉะนั้นที่พวกเราพากเพียร นอกจากประโยชน์ของตนเองแล้ว ผู้อื่นก็ได้ประโยชน์ด้วย
พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เราทำประโยชน์ของตนเอง ประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ทำให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท นี่คือสิ่งที่ท่านฝากเอาไว้ให้พวกเราชาวพุทธ
เราเป็นลูกเป็นหลานท่าน รับมรดกมาแล้ว มรดกธรรม ก็ต้องรักษามรดกนี้ไว้
อย่าไปปู้ยี่ปู้ยำจนมันสลายไปหมด เหมือนพ่อแม่ให้มรดกมาก็ถลุงเละเทะหมด เราได้มรดกมาจากพระพุทธเจ้าแล้วรักษามรดกนี้ไว้
แต่ต้องเข้าใจ พระไม่ดีอะไรนี่เป็นเรื่องปกติ มีมาตั้งแต่พุทธกาลแล้ว เพราะว่ากิเลส มันสู้ไม่ได้ แต่วันหนึ่งเขาอาจจะดีก็ได้
ค่อยๆ สะสมไป มันไม่ใช่ทุกคนจะเป็นบัวพ้นน้ำในวันนี้เหมือนกันหมดเมื่อไรล่ะ
ก่อนที่พวกเราจะมาถึงตรงนี้ เราก็เป็นบัวใต้น้ำมาก่อน ก็เป็นอาหารของเต่าปลามาก่อนแล้วเหมือนๆ กัน
เห็นคนที่เขาชั่ว ก็อย่าไปเกลียดเขา ชั่วอย่างนี้อาจจะน้อยกว่าที่เราเคยชั่วมาแล้วก็ได้
การดูถูกพระอริยะอะไรนี่ สมมติๆ ดูถูกพระอริยะ เราก็อาจจะเคยทำมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย
นรกพวกเราก็ผ่านกันมาแล้ว ภพภูมิต่างๆ ก็หมุนเวียนไปเรื่อยๆ
น่าสงสาร น่าเห็นใจซึ่งกันและกัน
ไม่ใช่เกลียดชังกัน
เขาทำไม่ดีกับครูบาอาจารย์ อย่าไปเกลียดเขา. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ​ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
15 พฤษภาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา