1 มิ.ย. 2022 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
Ep. 8 เยือนบ้านท่านคิม.....
เมืองมังญงเด บ้านเกิดของคิม อิล ซุง
เวลาบ่ายสองโมง เราก็เดินทางลอดอุโมงค์ออกจากบ้านพักมารัม เพื่อไปชมบ้านเกิดของท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ที่มังญงเด อยู่แถวชานเมืองเปียงยาง ถนนขึ้นเขาเลียบแม่น้ำแตดอง (ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางนครเปียงยาง) ไปเรื่อยๆ แม่น้ำนี้ไหลไปรวมกับแม่น้ำโพทงที่เมืองนามโป ซึ่งนายเรียกให้จำง่ายๆ ว่า ปากน้ำโพ แล้วจึงไหลลงอ่าวเกาหลี
แต่รถเราไม่ได้แล่นตามแม่น้ำนี้ไปจนถึงปากน้ำโพของนายดอก แต่เราเลี้ยวขวาขึ้นเขาเตี้ยๆ ไปสู่ “มังญงเด”
มังญงเดเป็นเมืองบนเนินเขา บริเวณบ้านของท่านประธานาธิบดีซึ่งสงวนไว้เป็นวนอุทยานนี้ ชาวเกาหลีเหนือทุกคนถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ที่ทุกคนจะต้องมาเยือน (ล่ามตุ้ยนุ้ยใช้คำว่า ‘มาจาริกแสวงบุญ’ ) ให้ได้อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่า ณ ที่นี้ คือสถานที่ให้กำเนิดชีวิตของวีรบุรุษของชาติ
ทางการได้รักษาบ้านตามสภาพเดิมทุกอย่าง และจัดเข้าในบัญชีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ สวนรอบบริเวณบ้านได้รับการเอาใจใส่บำรุงอย่างดีเยี่ยม สนามหญ้าเรียบเขียว ต้นไม้ทุกต้นตัดแต่งกิ่งเป็นรูปทรงที่เข้ากับลักษณะของตัวบ้าน มองไปทางไหนก็ดูสวยสะอาดตา น่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง
ต้นไม้ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามและเป็นระเบียบ
ขบวนของเรามาถึง เมื่อเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบ ณ ที่นั้น ท่านชามายืนยิ้มแย้มรอรับอยู่แล้ว ฟองน้ำชอบท่านชาตรงที่เป็นผู้ใหญ่ดูใจดี หน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา (มีฟันทองด้วย) ฟองน้ำพบท่านในชุดสูททุกครั้งและสวมหมวกสานละเอียดด้วย ซึ่งเท่าที่ดูทีวี ก็เห็นมีแต่พวกตำแหน่งใหญ่ๆ เท่านั้นที่สวมหมวก
ตัวบ้านเกิดของท่านประธานาธิบดีเป็นแบบชั้นเดียวเล็กๆ ยกพื้นเตี้ยๆ ผนังฉาบด้วยปูน ทาสีเหลืองจาง ๆ แบ่งเป็น 2 ห้องนอน กับครัวเล็กๆ หลังคามุงด้วยฟางหลายชั้นหนาราว 1 ฟุต ตัดปาดเรียบตรงชายคา แล้วคลุมด้วยตาข่ายละเอียดกันปลิวอีกที ดูแปลกตาดีและไม่มีที่ไหนเหมือนเลย
มีเรือนนั่งเล่นฝาโล่ง 3 ด้านของบิดาของท่าน หลังเล็กกว่าตัวบ้าน และตรงกันข้ามกับเรือนนั่งเล่นก็เป็นเรือนเก็บอุปกรณ์ทำนาหลายอย่างหลายชิ้น มีไหไว้ใส่กิมจิเพื่อเก็บไว้กินตลอดปีด้วย
เจ้าของที่ดินเดิม ใช้บริเวณนี้เป็นที่ฝังศพของตระกูล ต่อมา ปู่และย่าของท่านประธานาธิบดีได้มาอาศัยหลบภัยอยู่ที่นี่ ระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น (1910 – 1945) และในปี 1912 ท่านประธานาธิบดีก็ได้ถีอกำเนิดในบ้านน้อยหลังนี้
ตอนนี้ ล่ามตุ้ยนุ้ยกับล่ามกบน้อย ส่งมอบหน้าที่ให้กับไกด์สาวหน้าตาน่าเอ็นดูที่คอยอยู่ เป็นผู้สาธยายประวัติและเกร็ดย่อยแทน นายจดโน๊ตจากลมปากของไกด์สาวระหว่างชมบ้าน ดังนี้
“ทวด ปู่ และพ่อของท่านเป็นชาวนาทั้งนั้น ครอบครัว คิม เฮียง จิ๊ก (Kim Hyong Jik – ชื่อของท่านบิดา)ยากจน แม่มักทำก๋วยเตี๋ยวสำหรับครอบครัวบ่อยๆ เพราะถูกสตางค์”
ไกด์ชี้ไปที่หม้อและกระทะที่โชว์ไว้ในครัว “ตุ่มน้ำเก่าๆ ที่เห็นนี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยย่า ซึ่งเลือกซื้อตุ่มเบี้ยวๆ บิดๆ อย่างนี้เพราะราคาถูก แล้วตัดฟางถักคลุมเป็นฝาปิดโอ่ง พอรั่วก็เอายางสนขันอุดไว้ ไม่มีเงินซื้อตุ่มใหม่ๆ ดอก พ่อก็ปลูกยาสูบไว้สูบเอง ยามว่างจากนา พ่อจะเลี้ยงไก่ และซ่อมอุปกรณ์ทำนาเอง แต่ถึงจะยากจนอย่างไร พ่อมักจะใช้เวลาที่เหลืออ่านหนังสือ และสอนลูกๆให้รักการอ่านด้วย ...”
“ครั้งหนึ่ง มีผู้พยากรณ์ว่า บุตรชายที่ชื่อคิมนี้ จะได้เป็นคนสำคัญในอนาคต แต่ปู่-ย่าบอกว่า จะเป็นใหญ่เป็นโตอย่างไรก็ต้องนึกเสมอว่าพื้นเพเราเป็นชาวนา ต้องคิดเสมอว่าชาวนามีบุญคุณต่อประเทศ…
ท่านคิมเป็นเด็กอัจฉริยะ ตั้งแต่อายุเพียง 5-6 ขวบก็เริ่มนึกถึงเรื่องอิสรภาพของชาติและการปลดแอกจากญี่ปุ่นแล้ว ความรู้สึกอันนี้รุมเร้าอยู่ในใจท่านตลอดเวลา ดังนั้น พออายุได้เพียง 13 ปี (1925)ท่านก็หนีเข้าป่า และตั้งปณิธานว่าจะไม่กลับมาที่นี่จนกว่าจะทำให้เกาหลีเป็นอิสระ…
1
ท่านหนีไปตั้งหลัก รวบรวมสมัครพรรคพวกและพี่น้องอยู่ในมณฑลแมนจูเรียของจีน รอเวลาที่จะคืนกลับเกาหลีอย่างผู้ชนะ ระหว่างนั้น ท่านก็ได้ใช้วิธีแบบสงครามกองโจรสู้รบกับญี่ปุ่นเป็นระยะๆ ...จนกระทั่ง 20 ปีให้หลัง เกาหลีเป็นอิสระจากการยึดครองของญีปุ่นเมื่อปี 1945 ท่านจึงกลับมายังมังญงเดบ้านเกิด ในฐานะผู้นำประเทศ ...”
ก่อนอำลาจากบ้านเกิดของท่าน คิม อิล ซุง พวกเราก็ถูกจับถ่ายรูปหมู่ที่หน้าบ้านโดยช่างภาพคนเดิมเมื่อวาน ที่วันนี้มาทำข่าวคนเดียว เป็นธรรมเนียมว่า แขกเมืองทุกคนจะต้องถูกเชิญให้ถ่ายรูปที่นี่ โดยมีบ้านเกิดของท่าน คิม อิล ซุง เป็นฉากหลัง
รูปของพวกเราไปปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ภาษาเกาหลี ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม ที่ท่านชา
มอบให้กับหัวหน้าคณะเราภายหลังที่สถานีรถไฟวันอำลาเปียงยาง ฝีมือถ่ายรูปของเขาร้ายเอาการ เพราะพวกเราบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น สวยและหล่อกว่าตัวจริงกันทุกคน
เราเดินลัดเลี้ยวชมธรรมชาติในสวนไปยังรถที่จอดรออีกทาง รถแล่นพาเราขึ้นไปชมวิวบนเขา “มังกิมบอง” ซึ่งไกด์แปลว่า “เขาที่มองเห็นถึงหมื่นวิว” มีศาลาชมวิวที่ยื่นออกไปจากหน้าผา มองลงมาเห็นวิวแม่น้ำแตดองตอนกว้าง มีเกาะใหญ่อยู่กลาง และเห็นถนนเลียบริมน้ำที่เราผ่านมาเมื่อกี้ด้วย และเห็นนครเปียงยางอยู่ไกลลิบ
ท่านชาอรรถาธิบายว่า แม่น้ำสายนี้คือเส้นโลหิตใหญ่ของเปียงยาง เพราะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าและน้ำประปาหล่อเลี้ยงชาวเมืองหลวง ตอนนี้เขากำลังสร้างเขื่อนและประตูน้ำที่ปากน้ำเมืองนามโป หากสร้างเสร็จก็จะใช้เป็นทางเดินเรือจากปากน้ำถึงเปียงยาง ระยะทาง 40 กิโลเมตรโดยประมาณ ทั้งยังสามารถเดินเรือเลยเข้าไปไกลจากปากแม่น้ำได้อีกรวม 64 กิโลเมตร
ที่เชิงบันไดของศาลาชมวิว มีลานมวยปล้ำเป็นพื้นทรายนิ่มๆ เห็นว่าเมื่อตอนเด็กๆ ท่านประธานาธิบดีชอบดูและเล่นมวยปล้ำ ถัดจากนั้นก็เป็นสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
ใกล้ๆ สวนคือโรงเรียนชื่อ โรงเรียนปฏิวัติแห่งมังญงเด (Mangyongdae Revolutionary School) ตั้งขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสั่งสอนอบรมเด็กที่เป็นกำพร้าระหว่างสงคราม เด็กเหล่านี้จะถูกขับเคี่ยวอย่างดีและเข้มงวด จนเติบใหญ่กลายเป็นคนใหญ่คนโตของประเทศ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของพรรคคนงานอยู่ในขณะนี้ ตัวท่านชาเองก็จบจากโรงเรียนนี้
โรงเรียนปฏิวัติแห่งมังญงเด
เขาพาเราไปแวะสวนสนุก ซึ่งสร้างขึ้นโดยการชี้แนะจากท่าน คิม อิล ซุง ท่านชาทิ้งเราให้สนุกกันตามอัธยาศัยด้วยการกล่าวคำอำลา แล้วขึ้นรถเบนซ์ประจำตำแหน่งสีน้ำเงินจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
คุณหลัง ผู้ดูแลควบคุมเราผายมือเชื้อเชิญพวกเราให้เข้าไปออกกำลังใน “แดนเนรมิตของเปียงยาง” ด้วยความเกรงใจที่เขาคะยั้นคะยอนัก เราจึงต้องปล่อยแก่ด้วยการเลือกเล่นแต่เพียงกิจกรรมที่ไม่เสี่ยงต่อโรคหัวใจวาย อาทิเช่น ยิงปืน ขับรถสะกิดกัน ขึ้นรถไฟเล็ก ขึ้นชิงช้าสวรรค์ ขึ้นรถรางเดียวลอยฟ้าแบบเตี้ย ๆ เป็นต้น นี่ถ้าลูกเต้าหลานเหลนมาเห็นคงอายม้วนไปเลย
ในแดนเนรมิตของเปียงยางมีเครื่องดื่มหลายชนิดขายแก้กระหาย และมีไอศกรีมขายด้วย ไอสกรีมโคนแบบบ้านเรานั้นไม่มี แต่เขามีเป็นถ้วยแบนๆ ลักษณะคล้ายๆ ขนมพายแทน ใครมาซื้อก็จะตักไอศกรีมใส่ถ้วยพายให้ ผู้ซื้อก็จะดูดไอศกรีมพร้อมกับกัดกินถ้วยพายไปด้วย พวกเราหลาย ๆ คนอยากลองชิมดูบ้าง แต่ปรากฏว่าอด เพราะอากาศร้อนเกินไปหน่อย ไอศกรีมในถังจึงเละ
กระปลกกระเปลี้ยกลับจากแดนเนรมิตแล้ว ก็ลอดอุโมงค์กลับคืนสู่บ้านมารัมเมื่อเวลา 6 โมงพอดี อาหารค่ำเวลา 1 ทุ่ม จึงพอมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวแล้วนอนแผ่ให้หายเหนื่อยกันหน่อย
เมื่อคณะเราที่พักอยู่ปีกขวาทั้ง 8 คนเข้าไปในห้องอาหาร ก็พบโต๊ะจัดเพิ่มอีก 1 โต๊ะ มีชุดอาหารวางไว้ 2 ที่ ก็เป็นที่เข้าใจว่า อาคันตุกะใหม่ของบ้านรับรองฝ่ายขวามีเพิ่มอีก 2 คน ได้ทำความรู้จักกันภายหลัง เป็นคู่สามีภรรยาชาวออสเตรีย สามีเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกราซ อยู่ใกล้ๆ เวียนนา ภรรยาเป็นผู้ติดตาม ทั้งคู่จะอยู่เปียงยาง 10 วัน
โต๊ะของเรามีบ๋อยประจำอยู่ 2 คน น่ารักมาก หน้าตายิ้มแย้ม สุภาพ แต่เสียดายที่สื่อกันด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้ ทั้งคู่จะอยู่ในชุดสูทขาว ผูกเนคไทฟ้าเสมอ และคอยเอาใจใส่ทุกคน เช่น สังเกตว่าคนไหนไม่ทานนมเปรี้ยวหรือแยม วันรุ่งขึ้น เขาก็จะงดเสิร์ฟนมหรือแยมตรงที่ๆ คนนั้นนั่ง ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องนั่งที่เดิมตลอด
มีอยู่วันหนึ่งนายของฟองน้ำเกิดเบื่อที่ต้องนั่งหันหลังให้รูปวาดฝูงนกอันแสนสวยนั่น ก็เลยเปลี่ยนไปนั่งที่ตรงข้าม บ๋อยผู้น่ารักก็รีบรี่มาผายมือเชื้อเชิญนายให้ “คืนถิ่น” อย่างเกรงอกเกรงใจด้วยใบหน้าที่เกลื่อนยิ้ม ทำเอานายรู้สึกผิดที่ไปทำระบบของเขาเสีย มื้อต่อ ๆ มา นายจึงเดินเข้าประจำที่อย่างสงบเสงี่ยม เลิกคิดย้ายที่นั่งแก้เซ็งไปเลย
มื้อนี้ มีกุ้งเผาตัวโตๆ กับคาเวียร์เป็นออเดิร์ฟ คั่นด้วยข้าว-แกงจืดตามธรรมเนียม ตามด้วยผัดเป๋าฮื้อและมะเขือยาวยัดไส้แบบเกาหลีแสนจะอร่อย เราถลุงพริกป่นของเขาเป็นว่าเล่น มันป่นละเอียดสีแดงดีจริงแต่ไม่ค่อยมีพิษสง จึงต้องใช้ทีละเยอะๆ ครั้นจะควักน้ำพริกที่แอบไว้ในกระเป๋าออกมาก็เขินบ๋อยทั้งสองที่ยืนระวังตรงคอยปรนนิบัติอยู่ จึงต้องพึ่งพริกป่นเกาหลีทุกมื้อ
ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารกันนิดหน่อย ก่อนที่จะกลับห้องพัก ยังทันได้ดูทีวีตอนข่าว 3 ทุ่ม ซึ่งออกข่าวของพวกเราเองที่สถานีรถไฟเมื่อวาน แต่ละคนท่าทางเป็นกระเหรี่ยงหอบฟางอย่างหมดเรี่ยวแรงกันทั้งนั้น หลังจากการเดินทางอันยาวนานบนรถไฟปักกิ่ง – เปียงยาง ทั้งยังไม่ได้เสริมสวยเสริมหล่อกันเลย ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะได้เป็นดาราทีวีที่เกาหลีเหนือ !
โปรดติดตามตอนต่อไป………

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา