Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เขมานันทะในใจเรา - ชาติพันธุ์ภาวนา
•
ติดตาม
3 มิ.ย. 2022 เวลา 23:50 • ปรัชญา
๒. สุดปลายแผ่นดิน
(จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ จากสุวรรณภูมิถึงเยรูซาเล็ม) มี ๑๗ บท
บทที่ ๓ โบสถ์ใต้ดิน
ณ คืนเดือนมืดสนิทในวิสาขมาสปีนั้นเอง เป็นวันนัดครั้งใหญ่ของสาวกใต้ดินของพระศาสดา
ในเวลามัชฌิมยามในคืนนี้ ข้าพเจ้าจะต้องปรากฏกายในท่ามกลางพุทธบริษัท สาวกใต้ดินผู้ไม่เคยได้เห็นพระภิกษุสงฆ์มาก่อนเลยหลายช่วงคนแล้ว
ข่าวการมาพักอยู่ของข้าพเจ้าบนแผ่นดินนาบาเทียมิได้แพร่งพรายไปที่ไหนเลยนอกจากในหมู่พุทธบริษัท ซึ่งเขากำลังรอวันนี้อันเป็นวันเดือนมืด
เราได้เดินขึ้นทางลาดบนเนินสักแห่งหนึ่งแล้วได้บรรลุถึงที่โล่งแจ้งพ้นจากกลิ่นของบ้านเรือน ครู่หนึ่งเราก็เข้าสู่เขตเงาครึ้มของป่าทึบ
ครู่เดียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเราได้บรรลุถึงริมหน้าผาใหญ่และความบันเทิงใจได้มีแก่ข้าพเจ้าที่ได้เห็นไฟวอมแวมออกมาจากปากถ้ำใต้หน้าผาแห่งนั้น
ภาพข้างหน้า ที่น่าตื่นใจเป็นล้นพ้นเป็นดังนี้
ชายหญิงปาระซีประมาณ ๒๐-๓๐ คน กำลังนั่งสมาธินิ่งเงียบอยู่ในเวิ้งที่มีเพดานเป็นหินย้อยเหมือนริ้วแห่งเศวตฉัตร มีประทีปอยู่ที่ผนังถ้ำสี่ดวงรายล้อมหญิงชายที่สงบเหล่านั้น
“พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมตายทั้งหลายท่านผู้นี้คือพระคุณท่านสุเมธะพระภิกษุชาวสุวรรณทวีปที่ท่านทั้งหลายกระหายที่จะได้พบมิใช่หรือ”
ทุกคนในที่นั้นไหวกายและได้ยินเสียงอุทาน หลายคนขยับกายลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าได้แก้สายกุสติออกอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมของปาระซีก็ถูกถอดออกกองไว้กับโขดหิน รวมทั้งผ้าโพกศีรษะ
ต่อจากนั้นความปิติก็บังเกิด ณ ท้องถ้ำในป่าลึก เพื่อว่าพันธสัญญาในพระธรรมจะได้แน่นสนิทยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเองก็หูอื้อไปด้วยความรู้สึกของอารมณ์ กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงเพลงที่เสนาะโสตไพเราะจับใจของเรามาหลายชั่วคน ทุกๆ คนที่นั้นเปล่งอุทาน พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก้องท้องถ้ำ
ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงชีวิตที่มีค่าน้อยนิด ควรแล้วที่เราได้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้พระศาสนาอันเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์คงอยู่ ถึงแม้ว่าชีวิตของเราอาจจะต้องวอดวายลงก่อนกาล และขอให้คิดว่าเรากำลังพลีชีวิตเพื่อบูชาธรรม อย่าได้ท้อถอยเสียเลย เพื่อว่าวันหนึ่งที่โบสถ์ของพวกเราจะได้ตั้งอยู่ในที่เปิดเผย
ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะกล่าวให้จบ ทุกคนก็ต้องสะดุ้งด้วยเสียงที่ดังแว่วอยู่ข้างนอก
“หนีเร็วเถิด! เพื่อชีวิต! ทหารม้าของวิเซียค้นพบที่ของเราแล้ว!”
บทที่ ๔ สู่ทะเลตาย
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นแดดร่มแล้ว ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเราขณะนี้คือทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล และความหวังของเราที่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้าคงจะพิสูจน์ตัวมันเองในไม่ช้านัก
“เราไม่มีทางเลือกอย่างอื่นพระคุณท่านที่รัก” อิสไมเลียกล่าว
ข้าพเจ้าหันไปทางเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดและเคราที่ถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์ใกล้ค่ำ ผ้าที่โพกศีรษะพลิ้วต้องลม เรากำลังนั่งอยู่บนหลังอูฐคนละตัวที่เขาใช้เงินทั้งหมดที่เขามีซื้อมา พร้อมทั้งเสื้อผ้าใหม่ให้แก่ข้าพเจ้าและสามเณรกับเสบียงแห้งคือผลอินทผลัม
“พระคุณท่านที่รัก, ข้าพเจ้าสืบทราบแน่แล้วว่าสาวกใต้ดินเหลือรอดกลับไปจากการฆ่าครั้งสุดท้ายที่ถ้ำนั้น ได้ถึงแก่ความย่อยยับลงหมดสิ้น ทหารปาระซีจำนวนมากภายใต้คำสั่งของวิเซียปุโรหิต ได้ติดตามล้างผลาญเสี้ยนหนามของอาหุระมาสดาไม่ให้เหลือ
และแผ่นดินนาบาเทียคงได้เก็บอัฐิธาตุของสาวกเหล่านั้นไว้ในอ้อมอก อะไรๆ ดูมันจะต้องสลายลงสู้พื้นดินที่มนุษย์จับจองว่าเป็นของตัว ทั้งๆ ที่มนุษย์เหล่านั้นแหละเป็นของแผ่นดินมิใช่หรือ และเป็นอันว่าความหวังของพุทธจักรได้ล่มสลายแล้ว แม้แต่ลูกเด็กๆ ของเราก็ไม่มีเหลือที่จะได้รับรู้ว่าปู่ย่าของเขาเคยนับถือพระรัตนตรัยอีก”
“พระคุณท่านที่เคารพ, เราจะต้องหนีไปทะเลตายนี้ เพราะไม่มีทางอื่นใดแล้วที่จะให้ชีวิตรอด จากนั้นเราจะต้องมุ่งสู่เยรูซาเล็ม ที่นั่นข้าพเจ้ามีเพื่อนพอที่จะพึ่งได้อยู่คนหนึ่ง
พระคุณท่านที่รัก ขอให้ข้าพเจ้าได้ตั้งความหวังไว้ต่อหน้าท่านว่า คงจะมีสักวันหนึ่งดอก หากว่าชีวิตของข้าพเจ้ายังอยู่ พุทธจักรใต้ดินต้องก่อตัวขึ้นอีกจนได้”
ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะเอ่ยประการใด ข้าพเจ้าเองด้วยที่มีส่วนทำความพินาศให้เขา
จากสุวรรณทวีปด้วยสำเภา ต่อมาก็พายุและคลื่น ครั้นแล้วแดดแผดเผากลางมหาสมุทร ต่อจากนั้นก็ความปลื้มปิติในถ้ำและเสียงเกรี้ยวกราดแห่งความตาย และในขณะนี้ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ภายใต้ดวงดาวของคืนเดือนมืดและมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนนั้นเหลือจะคาดคะเนได้
ขึ้น ๑๔ ค่ำเดือนวิสาขมาส ปักษ์หลัง เราก็บรรลุถึงทะเลตายอันมีน้ำเค็มจัด ที่นั่นอิสไมเลียได้ว่าจ้างเรือสำหรับข้ามไปสู่ฟากตรงกันข้ามที่เราไม่สามารถมองเห็นฝั่งได้ด้วยตาเปล่า แม้ว่ามันจะเป็นช่วงที่แคบที่สุดของทะเลตาย
ด้วยเงินที่นายวาณิชยังเหลือติดตัวอีกเล็กน้อยเราก็สามารถเดินทางถึงแผ่นดินของชนชาติยูดายโดยไม่ลำบากมากนัก เราทั้งสามเดินทางจนถึงเมืองมาซาดาชายแดนของยูดาย จากนั้นได้อาศัยกองเกวียนเทียมด้วยลา โดยการเจรจาของอิสไมเลียผู้พูดภาษาอาราเมคได้ เราก็มาถึงเมืองเฆ็บโรน
จากเมืองเฆ็บโรนเราได้เดินจนบรรลุถึงเมืองเบธเลเฮ็ม
และ, ที่นั่นเองเรื่องราวของชายชาวยิวผู้ยิ่งใหญ่ได้ก้องอุโฆษอยู่ในความรู้สึกของมหาชน ท่านผู้ที่ได้สมญาว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนี้ได้ถือกำเนิดที่นี่และข้าพเจ้าเพิ่งมาทราบต่อภายหลังว่า ในชั่วระยะก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าได้ย่างเท้าเข้าสู่ตำบลเบธเลเฮ็มตอนใต้ของอาณาจักรยูดายนั่นเอง
ชาวยิวผู้ยิ่งใหญ่ที่คนทั้งหลายเรียกกันว่าพระเมสไสอาห์ ก็ได้ย่างพระบาทเข้าสู่แคว้นกลีลายในตอนเหนือเพื่อกิจการปลดปล่อยมวลมนุษย์ในกาลถัดมา และพระองค์ท่านผู้ทำให้เข้าพเจ้า พระภิกษุสุเมธะแห่งสุวรรณทวีปได้ประสบศรัทธาในพระธรรมเจ้าอย่างแรงกล้า
บทที่ ๕ พระผู้เสด็จมา
อิสไมเลียนายวาณิช และข้าพเจ้าพร้อมทั้งสามเณรได้ย่างเท้าเข้าสู่ตำบลเบธเลเฮ็มในวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ บนแผ่นดินใหม่นี้ ฤดูกาลช่างแตกต่างจากสุวรรณทวีปบ้านเกิดของข้าพเจ้ายิ่งนัก
ณ เบธเลเฮ็ม สถานที่สมภพของพระคริสต์ และบัดนี้ข้าพเจ้าได้เดินอยู่บนถนนสายเล็กๆ กลางตำบล เราสามชีวิตเที่ยวเดินสืบถามบ้านของสหายชาวยิวของอิสไมเลีย
และดังนั้นหลังจากที่เราผลัดกันสอบถามชาวบ้านทีละหลังแล้ว เราทั้งสามก็ถูกนำทางมาสู่บ้านหลังใหญ่ของยะโฮซูอะสหายชาวยูดายของอิสไมเลีย
ข้าพเจ้าจะไม่เล่าถึงรายละเอียดของการต้อนรับแขกของชาวยูดายเลย เพราะว่าข่าวลือเรื่องชายชาวยิวที่ประสูติ ณ ตำบลนี้ ช่างประดังมาจากปากของยะโฮซูอะ จนข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาได้ต้อนรับสหายต่างแดนด้วยหัวใจที่ท่วมท้นไปด้วยปีติ ในขณะที่เขาเอ่ยพระนามของพระองค์
เรื่องข่าวคราวความทุกข์ยากของเราทั้งสามชีวิตนั้น ยะโฮซูอะได้รับฟังและปลอบประโลมเราให้คลายโศก ข้าพเจ้าคือนายหะซัน สับบาร์ ชาวปาระซีเร่ร่อนและลูกชาย นี้คือสิ่งที่อิสไมเลียแจ้งแก่สหาย ข้าพเจ้าจะไม่ถือว่าอิสไมเลียพูดเท็จเลยเพราะไม่มีเจตนาชั่วแต่ประการใด แต่ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดของข้าพเจ้า ก็ย่อมดีกว่าแจ้งความจริงว่าเราเป็นพวกพุทธบริษัทซึ่งเขาถือว่าเป็นพวกไม่นับถือพระเจ้า
ตลอดเวลาอันยาวนานของประชาชาตินี้มิเคยห่างจากพระยะโฮวาเลย ไม่ว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร จนกระทั่งว่าพระยะโฮวาได้กลายเป็นพระเจ้าประจำเผ่าพันธุ์และอาจเป็นพระเจ้าแห่งการแก้แค้นเพราะอ้างพระเป็นเจ้ากันจนติดปากแม้ในสงคราม แต่หามีผู้ใดได้ยอมรับพระเจ้าของเผ่าอื่นไม่
ปวงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายล้วนถูกประหารเสียที่กรุงเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์ สืบเนื่องจากความยืดถือในพระเจ้าของเผ่าตนและไม่อาจเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งกว่าเผ่าพันธุ์ได้
จนมาถึงวันนี้ คือวันที่พระผู้ช่วยให้รอดของชาวอิสราเอลได้เสด็จมาแล้ว มาเพื่อจะปลดปล่อยลูกแกะของพระองค์ มาเพื่อความบันเทิงใจของโลก มาเพื่อจะได้ตรัสว่า “พระเจ้าอยู่ในเราทุกคน”
นี่คือเสียงสรรเสริญจากปากของยะโฮซูอะอันเป็นเหตุให้เราทั้งสามใคร่จะพบพระองค์เหลือเกิน
บัดนี้, ข้าพเจ้านั้นหาได้มีอะไรเป็นเครื่องหมายของบรรพชิตในพุทธศาสนาอีก นอกจากใจที่สำนึกรู้ตัวดี
เวลาบ่ายของปักษ์แรกที่ข้าพเจ้า อิสไมเลียและสามเณรได้มาพัก ณ ตำบลนี้ ในขณะที่ข้าพเจ้าและสามเณรกำลังเดินอยู่บนถนนสองข้างทางมีบ้านอยู่เรียงราย
ข้าพเจ้าได้เห็นกลุ่มอิสราเอลทั้งชายหญิงมาชุมนุมกันแน่น ดูเหมือนกำลังล้อมรอบชายประหลาดผู้หนึ่ง ผู้กำลังหลั่งไหลคำพูดออกมาประดุจน้ำหลาก
“พี่น้องชาวอิสราเอลทั้งหลาย ถูกแล้วข้าพเจ้าคืออันดะเรอาน้องของซีโมนชาวประมงแห่งทะเลสาบกลีลาย และบัดนี้ข้าพเจ้าอันดะเรอาได้ล่องลงมาตามลำน้ำยอร์แดนจากนาซาเร็ทมาสู่เบธเลเฮ็ม เพราะว่าชายหนึ่งชาวนาซาเร็ทได้ถือกำเนิดที่นี่ด้วย และพระองค์คือ พระเยซูคริสต์ผู้มาเพื่อความรอด
อันดะเรอาได้ตกเป็นเป้าสายตาอันกระหายเลือดของเหล่าอิสราเอล ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นความวางใจในพระคริสต์ของอันดะเรอาในขณะนั้นเองว่า เขามิได้หวั่นไหวเลยต่อห่าก้อนหินที่เหล่าอิสราเอลระดมปามาทุกทิศ เหตุการณ์นี้ช่างรุนแรงเกินคาด และข้าพเจ้าเองนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้เข้าไปโอบกอดอันดะเรอาไว้เมื่อไร
“ในนามของอโดนอย ข้าพเจ้าคือชาวปาระซี อาคันตุกะของพี่น้องอิสราเอล ขอจงสงบและหยุดลงโทษชายผู้นี้เถิด”
ห่าฝนหินก็พลันหยุดลง เพราะเสียงที่ข้าพเจ้าประกาศความเป็นอาคันตุกะปาระซีนั่นเอง และความรู้ได้ช่วยชีวิตทั้งของข้าพเจ้าเองและชายที่ชื่ออันดะเรอาไว้ได้ ด้วยว่าชาวปาระซีเคยมีบุญคุณแก่อิสราเอลล้นเหลือเมื่อคราวที่พระเจ้าไซรัสได้ช่วยเหลือให้พวกเขาได้กลับมาสู่เยรูซาเล็มจากการตกเป็นทาสภายใต้อาณาจักรบาบิโลน
และบัดนี้ ข้าพเจ้าพระภิกษุเร่ร่อนสุเมธะ ก็ได้กลายเป็นสหายของสาวกของพระเมษบาลไปแล้วด้วยประการฉะนี้
“หะซันสหายรัก, บัดนี้ พระคริสต์ผู้เป็นเชื้อชายของดาวิด ได้เสด็จมาแล้ว มาเพื่อกิจการปลดปล่อยโลก อย่าลังเลเลยสหายรัก ข้าพเจ้าอันดะเรอาผู้เป็นทาสของพระเจ้าจะพาท่านขึ้นไปพบพระองค์
ข้าพเจ้า หะซัน สับบาร์ ปาระซีพ่อหม้ายลูกติด กับอิสไมเลียผู้อุทิศชีวิตในอาหุระมาสดาได้รับคำพรรณนาคุณของพระคริสต์จากปากของท่านอันดะเรอาในกระท่อมเล็กๆ ท่ามกลางดงอินทผลัมในสวนท้ายบ้านของยะโฮซูอะ สหายชาวยูดาย มันเป็นหัวค่ำที่อากาศหนาวจัด
(อ่านต่อเนื่องโพสต์ถัดไป บทที่ ๖ พระผู้เป็นเจ้าและรอยยิ้มของมิเรียม)
หมายเหตุ: เนื่องจากเป็นงานเขียนในรูปแบบนิยาย ซึ่งมีการวางเรื่องให้คลี่คลายในภายหลัง ข้อความที่โพสต์ซึ่งเน้นไปที่การดำเนินเรื่อง อาจทำให้ขาดถ้อยคำสำคัญไปได้
...
"สุดปลายแผ่นดิน" (จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ จากสุวรรณภูมิถึงเยรูซาเล็ม) เป็นผลงานวรรณกรรม ของท่านเขมานันทะเล่มเดียวที่เสนอในรูปแบบนิยาย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๘ โดยครั้งนั้น ใช้ชื่อปกว่า "สุดปลายแผ่นดินโลก" และใช้นามปากกาว่า "มุนีนันทะ"
จินตนิยายเล่มนี้ เป็นเพียงข้อเสนอความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างศาสนา ท่านเขมานันทะเขียนในคำปรารภว่า ถ้ามีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจนำความเสียหาย แก่ศาสนาใดแล้ว ผู้เขียนขอประทานอภัย เพราะไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายของการเขียน
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สุดปลายแผ่นดิน
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย