7 มิ.ย. 2022 เวลา 07:29 • ปรัชญา
๕. สุดปลายแผ่นดิน
(จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ จากสุวรรณภูมิถึงเยรูซาเล็ม) มี ๑๗ บท
บทที่ ๑๐ บทเพลงแห่งชีวิต
เราข้ามแม่น้ำยับบขะในถิ่นเพอเรีย และไม่ช้าก็บรรลุถึงเบธาเนียฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยอร์แดน และในขณะนี้พระคริสต์พร้อมด้วยพระสาวกได้เสด็จเลยเมืองนี้ไปแล้ว พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำยอร์แดนสู่ฝั่งตะวันตกตรงไปเมืองยรีโฆเมื่อ ๓ สัปดาห์ก่อนคณะเราจะมาถึง ใกล้เข้ามาแล้ววันที่เราจะได้พบพระผู้ช่วยให้รอด!
ที่พักชั่วคราวของเราคือริมฝั่งน้ำและบนพื้นทรายที่มีอากาศโล่งแห่งปลายฤดูร้อนอันแจ่มใส การเดินทางที่ติดต่อกันเป็นเวลานานแทนที่จะทำให้อ่อนเพลีย กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้เรานั่งสดชื่นอยู่ได้ในที่โล่งแจ้ง
อันดะเรอาและท่านยะโฮซูอะผู้สงบนอนเหยียดลงกับพื้น ท่านอาโรน, ศิวนาท, อิสไมเลียและข้าพเจ้านั่งสนทนากันอยู่หน้ากองไฟที่อบอุ่น ทาสของท่านยะโฮซูอะได้หาท่อนไม้แห้งใกล้ๆ บริเวณมากองไว้เพื่อเติมเชื้อฟืนพอที่จะให้แสงสว่างและความอบอุ่นในตอนดึกได้
ท่านอาโรนพึมพำบทกวีบทใดบทหนึ่งในภาษาลาตินที่ข้าพเจ้ามิได้เข้าใจความ
ต่อมามหากาพย์ของโฮเมอร์ในการเดินทางเผชิญภัยของโอดีสสีอุสกษัตริย์แห่งอิถกะ ได้ถูกชายชราสาธยายกลางแสงเดือนในทะเลทรายอันไกลลิบ
ข้าพเจ้าระลึกถึงสุวรรณทวีปบ้านเกิดยิ่งนัก จนดาวแมงป่องได้ขึ้นสู่จักรราศีบนท้องฟ้าพร้อมกับเพลงสรรเสริญพระคุณของพระอัคนีในฤคเวทจากปากของท่านศิวนาท ได้บรรยายออกมา ท่านอาโรนเอ่ยกับข้าพเจ้าว่า
“หะซัน สับบาร์, ทำไมท่านไม่ร้องสรรเสริญพระคุณของอาหุระมาสดา หรือไม่ก็สรรเสริญซาราถุสตระหรือไฟแห่งปาระซีบ้างนะสหาย?”
ข้าพเจ้าตอบท่านว่า
“อาโรน สหายศิวนาทได้ทำหน้าที่นั้นแทนข้าพเจ้าแล้ว,และโอมอัคนีเทวะ, นั่นคือไฟแห่งปาระซีด้วย ท่านอาโรนที่เคารพ...” ข้าพเจ้าหยุดตริตรองนิดหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังเห็นว่าที่ประชุมของเรา ณ ที่นี้พร้อมด้วยนักบุญนานาขาดแต่สาวกของพระศากยมุนี ข้าพเจ้าจึงขอสมมติตนขึ้น ณ ที่นี้ และเพื่อให้ทะเลทรายอันเงียบสงัด และผิวของแม่น้ำยอร์แดนอันราบเรียบในยามรัตติกาล ได้สัมผัสกับคุณของพระศาสดาพระองค์นั้น ข้าพเจ้าจะร้องเพลงเพลงหนึ่งจากความทรงจำ...”
ข้าพเจ้าได้หันมาสบตากับท่านศิวนาทและอิสไมเลียแล้วจึงได้ร้องฉันทลักษณ์ในโสฬสปัญหา
ข้าพเจ้าได้ร้องขับขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาและนอบน้อม ในคำถามของอชิตะ และในคำตอบของพระศากยมุนีพุทธะ
ทันใดนั้นท่านยะโฮซูอะผู้นอนเหยียดกายอยู่กับพื้นได้อุทานแสดงความพึงใจพึมพำอยู่ ข้าพเจ้าตั้งต้นขับคาถาในโมฆราชปัญหา ซึ่งยังความซาบซึ้งใจให้แก่ท่านอาโรนผู้เฒ่าอันข้าพเจ้าอ่านได้จากน้ำตาที่เอ่ออยู่ในเบ้าตาของท่าน
“หะซัน สับบาร์, นึกไม่ถึงว่า สหายปาระซีของข้าพเจ้าจะรอบรู้เห็นปานนี้... โอ ชีวิต, ตัณหาที่เป็นเครื่องฉาบทาสัตว์โลก, จริงแท้สัจจะของชีวิต เพ่งโลกโดยความเป็นของว่าง ความตายมองไม่เห็น! โอ วัยชราของข้าพเจ้า มันกระซิบอยู่ทุกโมงยามถึงสัจจะนี้ ศากยมุนีผู้ยอดเยี่ยมผู้นี้ได้ปลุกต้นไม้แห่งชีวิตของข้าฯ แล้วโดยปากของหะซัน สับบาร์,”
ดังประกายไฟได้กระเด็นไปในผ้าที่อิ่มน้ำมันและลุกสว่างขึ้น! อาโรนผู้เฒ่าถูกข้าพเจ้าจุดชนวนของพุทธธรรมในนามของหะซัน สับบาร์ ปาระซีโดยมิได้จงใจด้วยอาการดังนี้
บทที่๑๑. พระคริสต์
ข่าวอันน่าสะพรึงมาถึงข้าพเจ้าและคณะ จากการที่ท่านยูดาส อิสคาริโอธ ผู้ไปถึงเบธเลเฮ็ม มิเรียมจึงได้ทราบว่าคณะของเรากำลังเดินทางมาสู่เยรูซาเล็มตามลำน้ำยอร์แดน
พระคริสต์เจ้ากำลังถูกจ้องจะหาเหตุปลงพระชนม์เสียเพราะความเคียดแค้นจากผู้ชิงชัง
มาเรียจึงได้รีบขึ้นมาเยรูซาเล็มพร้อมด้วยสาวกใต้ดินของพระคริสต์ หลังจากมิเรียมผู้ฉลาดได้เข้าเฝ้าพระคริสต์เจ้าแล้ว เธอคาดว่า อย่างไรเสียคณะของเราต้องลงมาในเส้นทางที่จะผ่านเบธาเนียจึงได้ทูลลาพระคริสต์เจ้าเดินทางรีบด่วน สวนทางขึ้นมาพร้อมด้วยฮะกิม การุณ (สามเณรหลานชายของข้าพเจ้า) และเราได้พบกันเพื่อที่จะรายงานข่าวร้ายนี้ให้ท่านอันดะเรอาและท่านยะโฮซูอะผู้บิดาทราบ
ฮะกิม การุณ หลานชายของข้าพเจ้าดีใจเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมเดินทางกับข้าพเจ้า สามเณรกับข้าพเจ้าได้สวมกอดกันด้วยความรัก ข้าพเจ้ามีสิ่งเดียวนี้ที่ทำให้ระลึกถึงสุวรรณทวีปและบัดนี้ฮะกิม (ข้าพเจ้านึกขันในชื่อที่อิสไมเลียตั้งให้นี้)
มิเรียมได้เล่าให้พวกเราฟังว่า ขณะนี้พระคริสต์เจ้ากำลังสั่งสอนประชาชนอยู่ในวิหาร และกำลังอยู่ในระยะอันตรายที่สุดจากการปองร้ายของพวกพระ ที่จ้องหาโอกาสจะประหารพระองค์เสีย แต่ไม่มีช่องเพราะประชาชนรักและเลื่อมใสเหลือเกิน
พวกปุโรหิตหมายใจกันว่าจะประหารพระองค์ให้ได้เมื่อมีโอกาส เพราะความโกรธแค้นที่พระคริสต์เจ้าได้เข้าไปในพระวิหารแล้วทรงขับไล่ผู้ที่มาทำการซื้อขายภายในบริเวณพระวิหาร
พระองค์ได้คว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงินและม้านั่งของผู้ขายนกพิราบ และทรงประกาศว่าอย่าทำพระวิหารของพระเจ้าให้เป็นถ้ำของโจร! พวกปุโรหิตไม่กล้าประหารพระองค์ท่านด้วยยังอยู่ในระยะเพื่อตระเตรียมงานเทศกาลฉลองพระวิหาร และมิเรียมได้ทราบข่าวร้ายว่า หลังเทศกาลนี้แล้ว การประหารพระองค์จะมีขึ้นที่เยรูซาเล็ม
บัดนี้อีก ๒ สัปดาห์เท่านั้นก็จะถึงเทศกาลนั้น! เราจัดสัมภาระกันอย่างรีบด่วน แต่ยังไม่เท่ากับความร้อนใจของท่านอันดะเรอาและยะโฮซูอะ
เราเดินทางแทบไม่มีการหยุดพัก และมิใยที่ความเหน็ดเหนื่อยจะมีมา เพราะว่าการได้ร่วมสมทบเพื่อตายร่วมกับพระคริสต์ในการป้องกันพระองค์ท่าน เป็นความสมัครใจของท่านอันดะเรอา, ยะโฮซูอะและท่านอาโรน
การได้ทัศนาอริยบุคคลและได้สนทนากับพระองค์ท่านนั้นเป็นความปราโมทย์ของข้าพเจ้า ส่วนการได้พบสหายผู้ได้เห็นพระเจ้าอยู่เฉพาะหน้าเป็นส่วนของท่านศิวนาท
ข้าพเจ้าได้ไปทันพระคริสต์ในขณะสุดท้ายที่พระองค์ถูกตรึงอยู่ และเห็นแต่ไกล ในขณะที่ข้าพเจ้าไปถึงเนินสูง และได้เห็นภาพของพระองค์ที่เอียงพระศอพับไปข้างหนึ่งทาบอยู่บนท้องฟ้า เงยพระพักตร์ขึ้นลอยเด่นอยู่เหนือเนินหัวกะโหลก
ฮะกิม การุณ ได้ถึงแล้วซึ่งความเป็นวีรบุรุษที่ได้วิ่งเข้าไปป้องกันพระคริสต์เจ้าในขณะที่ทหารโรมันได้เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมให้พระองค์ และล้อเลียนว่าเป็นกษัตริย์ เขาตบหน้าพระคริสต์เจ้าและถ่มน้ำลายรด และเงือดเงื้อดาบจะประหารและคมดาบหาได้บั่นลงบนร่างของพระคริสต์ไม่ กลับเป็นฮะกิมผู้เกิดมารับบาดแผลแทนพระกายของพระคริสต์เจ้าเพราะความรักในพระองค์ บาดแผลอันเกิดจากความโหดเหี้ยมของทหารโรมันที่คลั่งอำนาจ!
เวลาเที่ยงวัน ท่านอันดะเรอา, ยะโฮซูอะ, ศิวนาทและข้าพเจ้าได้มาถึงศาลไพโทเรียน และเป็นเที่ยงวันแห่งกาลอันวิบัติ!
เพราะข้าพเจ้ามาล่าก่อนลมหายใจสุดท้ายของฮะกิม การุณ และลมหายใจสุดท้ายจริงๆที่ฮะกิมเหลือบตาขึ้นมองข้าพเจ้าผู้ประคองกอดอยู่ในอ้อมแขน และโลหิตที่ไหลอาบชุ่มเสื้อผ้าจากคมดาบของโรมันที่ข้าพเจ้าเผลออุทานว่า “จักรวรรดิของเจ้าจงวิบัติ เพราะเจ้าฆ่าฮะกิมผู้รักพระคริสต์ และอำนาจของพวกเจ้าจงอยู่ในพระบาทของพระคริสต์เถิด! โรมันผู้กระหายเลือด!”
ฮะกิมมีตาแจ่มใสขึ้นอันเป็นสง่าราศีของความตาย เพื่อจะพูดกับข้าพเจ้า ซึ่งได้เอียงแก้มให้หูแนบกับฮะกิมเพื่อนคู่ยาก
“...พระองค์...ถาม...ถึง...คุณพ่อ” เพียงเท่านี้ฮะกิมก็จากไปสู่มหาสมุทรแห่งวัฏฏะ ที่คลื่นแห่งน้ำตาของมิเรียมและกายอันสะอื้นสั่นของเธอดุจลมพัดเขย่าต้นไม้
“หะซัน ท่านจงรีบไปให้ทันพระคริสต์ เขากำลังตรึงพระองค์! รีบไปเร็ว ! อย่าช้า...”
ข้าพเจ้าทิ้งม้าและสัมภาระ หันมาออกวิ่งอย่างรวดเร็วตามติดด้วยท่านศิวนาทและอันดะเรอา ข้าพเจ้าไม่ทันสังเกตว่าท่านยะโฮซูอะจะวิ่งตามมาหรือไม่ เราวิ่งขึ้นที่ลาดเนินแทรกฝูงชนที่กำลังทยอยสวนทางกันทั้งขึ้นทั้งลง...
บนท้องฟ้านั้นเริ่มมืดครึ้ม และฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ ลมพัดแรงจนกายอันเหนื่อยหอบของข้าพเจ้าแทบจะต้านไม่อยู่ กระนั้นข้าพเจ้าก็กำลังวิ่ง และวิ่งเพื่อให้ทันเห็นพระคริสต์ขณะทรงพระชนม์
ดวงตาของข้าพเจ้าต้องปวดร้าวในภาพอันพระมหาบุรุษได้ถูกตรึงอยู่ตรงกลางระหว่างนักโทษสองคน ลอยเด่นทาบอยู่บนท้องฟ้าที่มืดครึ้ม และมีแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ!
ข้าพเจ้า สุเมธะ ได้พบพระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชาติอิสราเอลที่เนินกลโกธา
ข้าพเจ้าขอนมัสการพระบาทของพระองค์ ผู้เป็นนายแห่งมรณา
บทที่ ๑๒ การฟื้นจากความตาย
เช้าวันหลังวันวิบัติ เป็นวันเตรียมสะบาโต, และเขาย่อมไม่ให้มีซากศพค้างอยู่ที่ใดเลย สาวกของพระคริสต์ได้นำซากพระศพไปเก็บไว้ในสุสานที่ขุดเข้าไปในหิน ในตอนเย็นวันนั้นข้าพเจ้าจึงได้เห็นความอาลัยของท่านศิวนาทต่อพระคริสต์เจ้า
ใกล้จะพลบในวันนั้น พระสาวกต่างผลัดเข้าไปจูบที่พระบาทของซากพระศพเพื่ออำลา ข้าพเจ้าคุกเข่าลงกับพื้นเอามือทั้งสองลูบพระบาทและลุกขึ้นอำลา และครู่เดียวทุกคนก็ได้ยืนประชุมกันที่หน้าอุโมงค์ ต่างได้ช่วยกันกลิ้งก้อนหินมาปิดอุโมงค์ศพไว้มิให้สัตว์ร้ายเข้าไปทำอันตรายได้, ในที่ประชุมนั้นข้าพเจ้าเห็นศิวนาทเดินออกจากอุโมงค์เป็นคนสุดท้ายก็แปลกใจ
สังเกตเห็นว่าท่านศิวนาทได้ลืมไม้เท้าของท่านไว้ในที่หนึ่งที่ใดเสียแล้ว จึงได้เตือนท่าน
ท่านได้มองดูตาของข้าพเจ้าในเวลาพลบ และได้ตอบเบาๆ ว่า
“หะซัน, ข้าพเจ้าตามหาเจ้าของไม้เท้านี้แต่หาได้ทันกาลไม่ บัดนี้ไม้นั้นได้วางแนบอยู่ข้างซากพระศพที่เคยเป็นเจ้าของแล้ว เหลืออยู่อีกอย่างเดียวที่ข้าพเจ้ายังมิได้กระทำ...”
เมื่อข้าพเจ้าจะเอ่ยปากถามท่านถึงสิ่งที่ท่านยังไม่ได้กระทำ ความมืดของกลางคืนเข้ามาครอบคลุมอยู่ทั่วถึงเสียแล้ว
บ้านเบธาเนียเป็นชนบทที่ตั้งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณ ๓ กิโลเมตร
ข้าพเจ้า, อิสไมเลียและท่านศิวนาทได้ร่วมอยู่ในขบวนสาวกผู้นัดประชุมกันที่บ้านของมาเรีย มักดาลา ด้วย เพราะในความโศกเศร้าเช่นนี้ข้าพเจ้าและสหายไม่สามารถละทิ้งท่านอันดะเรอา, ยะโฮซูดะ มิเรียมธิดาของท่านยะโฮซูอะและท่านอาโรนไปได้เลย ข้าพเจ้าได้เห็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นขึ้นจากความตายของพระคริสต์เจ้า
ข้าพเจ้าพบกับมิเรียมธิดาของท่านยะโฮซูอะ โดยมิได้อธิบายเหตุผลประการใด ข้าพเจ้าขอร้องให้เธอแนะนำให้ได้รู้จักกับบรรดาผู้เศร้าโศกทุกคน ซึ่งมิเรียมยินดีอย่างกระตือรือร้นแม้เป็นเวลาเช้าตรู่ของคืนที่เศร้าโศกก็ตาม มิเรียมคงคิดว่าข้าพเจ้าคงยินดีที่สละพระรัตนตรัยมาเทิดทูนพระคริสต์และถวายชีวิตในคริสตจักรคู่กับเธอ แม้จะทราบความลับว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธจากฮะกิมผู้ถูกฝังอยู่ในดินแล้วก็ตาม
ข้าพเจ้าทักทายสาวกสาวิกาอาคันตุกะของเจ้าของบ้าน ทว่าไม่มีมาเรีย มักดาลา ร่วมอยู่ในนั้น! และมีรายงานว่าเธอไปเยี่ยมพระศพที่อุโมงค์ก่อนเพลงสวดในโบสถ์จะดังขึ้นในรุ่งเช้า
ไปแต่เช้ามืดก่อนท่านอันดะเรอากับท่านศิวนาทด้วย!
ไม่ทันที่กลุ่มสาวกสาวิกาเหล่านั้นจะได้ออกเดินไปที่อุโมงค์ศพในขณะที่ความสว่างส่องให้เห็นสีแห่งใบไม้ ทุกคนก็ได้เห็นมาเรีย มักดาลาเดินมา และเธอเดินมาดุจการล่องลอยมาแห่งทูตสวรรค์พร้อมๆ กับแสงทองสาดขึ้นบนฟ้า
นางได้กล่าวกับเปโตรรวมทั้งสาวกสาวิกาทั้งหลายว่า...
“ดิฉันได้เห็นพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว” ข่าวจากปากของมาเรีย มักดาลา คือพายุที่พัดเมฆในกระเจิงและได้หอบเอาความเย็นเริงร่ามาในสายฝน
กระนั้นความร้อนรนฉงนฉงายได้นำหน้าท่านเปโตรไปยังอุโมงค์ที่เก็บพระศพไว้ และใครๆ ก็ออกวิ่งไปนอกจากมาเรีย มักดาลา
ครู่หนึ่งที่เรารีรอกันหน้าอุโมงค์ ข้าพเจ้าได้เห็นท่านศิวนาทถือไม้เท้าที่เคยแนบอยู่ข้างพระศพของพระคริสต์เจ้าในอุโมงค์
ทุกคนก็ได้เห็นหินปิดปากอุโมงค์ถูกรื้อกระจายอย่างรีบร้อน ข้าพเจ้าจับแขนอันชุ่มด้วยเหงื่อของท่านศิวนาท และท่านก้มลงมองไม้เท้านั้นด้วยความรักดุจมองปิยมิตร และพึมพำอะไรอยู่ในลำคออันอวบใหญ่
(อ่านต่อเนื่อง​โพสต์​ถัดไป บทที่ ๑๓ อัครฑูต​)​
หมายเหตุ​: เนื่องจากเป็นงานเขียนในรูปแบบนิยาย ซึ่งมีการวางเรื่องให้คลี่คลาย​ในภายหลัง ข้อความ​ที่โพสต์​ซึ่งเน้นไปที่การดำเนิน​เรื่อง อาจทำให้ขาดถ้อยคำสำคัญ​ไปได้
...
"สุดปลายแผ่นดิน" (จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ จากสุวรรณภูมิถึงเยรูซาเล็ม)​ เป็นผลงานวรรณกรรม ของท่านเขมานันทะเล่มเดียวที่เสนอในรูปแบบนิยาย ตีพิมพ์ครั้งแรก​เมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๘ โดยครั้งนั้น ใช้ชื่อปกว่า "สุดปลายแผ่นดินโลก" และใช้นามปากกาว่า "มุนีนันทะ"
จินตนิยาย​เล่มนี้ เป็นเพียงข้อเสนอความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างศาสนา ท่านเขมานันทะ​เขียนในคำปรารภว่า ถ้ามีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจนำความเสียหาย แก่ศาสนาใดแล้ว ผู้เขียนขอประทานอภัย เพราะไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายของการเขียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา