16 มิ.ย. 2022 เวลา 05:00
Ep. 12 จากอดีต... สู่ปัจจุบัน
รูปปั้นขนาดมหึมาของท่าน คิม อิล ซุง ตั้งตระหง่านหน้าพิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ
วันที่ 29 สิงหาคม 2528 เวลา 9.00 น. ศาสตราจารย์ ชอย ซุน กิล รองประธานอีกคนหนึ่งของสมาคมสังคมศาสตร์ มาที่บ้านมารัม มารับของที่ระลึกจากคณะเราเพื่อนำไปมอบแด่ท่านประธานาธิบดีและบุตรชาย รายการมารับมอบของที่ระลึกนี้ คุณหลังเพิ่งมาแจ้งให้พวกเราทราบหลังจากเสร็จอาหารเช้าแล้ว
เราสังเกตกันว่า กำหนดการรายละเอียดต่างๆ นั้น เราจะได้รับทราบวันต่อวัน ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น เมื่อกลับมาถึงที่พักทุกเย็น ล่ามจะได้รับคำสั่งให้แจ้งรายการของวันรุ่งขึ้น แต่เวลาออกเดินทางที่แน่นอนนั้น เขาจะมาบอกให้ทราบในเช้าวันรุ่งขึ้นอีกที
เมื่อแรกมาถึง พวกเราที่ชอบวางแผนเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้ามักจะถามเขาว่า พรุ่งนี้ไปไหน? จะออกกี่โมง? เขาก็จะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า แล้วจะบอกทางโทรศัพท์พรุ่งนี้เช้า ตอนหลังๆ พวกเราชักชินกับคำตอบทำนองนั้นแล้ว จึงเลิกทำตัวเป็นเด็กฮาร์ทเจ้าปัญหา เลิกถามว่าไปไหน? เมื่อไหร่ ?
เราทำตัวทำใจให้สบาย ทำเพียงหูผึ่งคอยฟังเวลานัดหมายจาก “เสียงตามสาย” ของตุ้ยนุ้ยหรือกบน้อยก็พอแล้ว และเมื่อถึงเวลาอีกสัก 10 นาทีจะถึงเวลานัด รถประจำตัวทั้ง 3 คัน โดยคนขับชุดเดิมตลอดรายการ ก็จะมาจอดรออยู่หน้าบันไดเอง และเมื่อเราเดินออกมาที่ห้องโถง ผู้คุ้มกันเราทั้ง 3 คน ก็จะยืนยิ้มรออยู่แล้ว
วันนี้ เป็นรายการชมพิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้ ต้องพาแขกเมืองมาชม เพื่อจะได้เข้าใจซึ้งถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศภายใต้การนำของท่าน คิม อิล ซุง และถือว่า เป็นที่ที่ให้ความรู้แก่ชาวเกาหลีโดยรวม ในเรื่องการศึกษาอุดมการณ์จูเช่ด้วย พิพิธภัณฑ์นี้ เน้นเนื้อหาต่อจากที่เราได้ดูจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมื่อวานซืน จนถึงปัจจุบัน คือตั้งแต่ ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา
ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา มังซูเด ใกล้กับรัฐสภา เมื่อมองจากลานกว้างด้านหน้าตึก จะเห็นตึกหอสมุดซึ่งสร้างแบบเกาหลีได้อย่างเด่นชัด ไกลออกไปเบื้องหน้า สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำแตดองกับหอจูเช่ได้อย่างถนัดตา
กลางลานหน้าตึกพิพิธภัณฑ์ มีรูปปั้นขนาดมหึมาของท่านผู้นำ ฉากหลังเป็นภาพภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป้กตู สัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ ทำด้วยโมเสค ทั้งรูปปั้นและตัวตึกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1972 และรัฐใช้เวลาสะสมรวบรวมวัตถุแห่งประวัติศาสตร์อยู่ 10 ปี จึงเปิดให้คนทั่ว ๆ ไปได้เข้าชม ในแต่ละปี จะมีผู้มาชมประมาณ 8 แสน ถึง 1 ล้านคน
กบน้อยเล่าให้นายฟังว่า เวลามีงานฉลองวันชาติก็ดี หรือมีแขกของรัฐบาลมาเยี่ยม เขาจะเอาช่อดอกไม้มาวางที่ลานนี้ตรงหน้ารูปปั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการมาเยือน ฟองน้ำเพิ่งเห็นกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่ทำด้วยพลาสติกอยู่ 4 – 5 อัน ล้วนสีแดงทั้งนั้น และมีแถบริบบิ้นเส้นโตผูกคาดไว้ มีภาษาเกาหลีกำกับและโรยกากเพชรเสียด้วย ...
เข้าไปในห้องโถงของพิพิธภัณฑ์ก็ตาลายแล้ว เพราะกว้างใหญ่และหรูด้วยหินอ่อนกับโคมระย้าเจียระไนเต็มเพดาน พื้นปูเต็มห้องด้วยพรมสีแดง และสุดห้องโถงก็เป็นรูปปั้นผู้นำเช่นกันกับทุกแห่ง
ไกด์ (สาวอีกนั่นแหละ) บรรยายว่า พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 100 ห้อง ถ้าจะดูแบบสบายๆ ก็ใช้เวลา 7 วัน มีเนื้อที่ 54,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นเรื่องการปลดแอกจากญี่ปุ่น ชั้นที่ 2 เป็นเรื่องการสร้างชาติหลังจากการปลดแอกเมื่อปี 1945 และชั้นที่ 3 เป็นเรื่องสงครามเกาหลี (หรือสงครามอเมริกัน ตามสำนวนเกาหลีเหนือ)
เนื่องจากเราจะต้องรีบไปติดต่อเกี่ยวกับวีซ่าขากลับที่สถานทูตจีน ไกด์จึงพาเราชมพิพิธภัณฑ์อย่างเร็วๆ ได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์
ระหว่างเดินชมและฟังไกด์เล่าเกร็ดย่อยต่างๆ เราได้เดินสวนกับฝรั่ง 3 คน และอาหรับอีก 2 คน พร้อมล่าม และมีโอกาสสวนกับกรุ๊ปคนเกาหลีจากต่างจังหวัดด้วย ฟองน้ำดูคนกลุ่มหลังเขาเดินกันอย่างเป็นระเบียบเหมือนอยู่ในกรอบตลอดเวลา เขาตั้งใจฟังไกด์ของเขาบรรยายโดยไม่คุยกันเลย
ฟองน้ำรู้สึกว่าหน้าตาของแต่ละคนออกจะเฉยไปหน่อย พวกผู้หญิงไม่แต่งหน้าเลย รูปหน้ายาวเรียว ผิวดี หุ่นบางๆ ยาวๆ และยังนุ่งกระโปรงยาวบานน้อยๆ กันทุกคน ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่ใส่เครื่องประดับอะไรเลยนอกจากใส่นาฬิกา และบางคนก็ติดกิ๊บหนีบผมเป็นสีๆ บ้างเท่านั้น แต่แน่นอน ทุกคนประดับเข็มประธานาธิบดีที่อกหรือปกเสื้อ ถ้านายอยู่เมืองนี้นานๆ นายคงละกิเลสเรื่องเฟอร์นิเจอร์ประดับกายไปได้เยอะทีเดียว
อ้อ ... ที่เมืองนี้ผู้หญิงขับรถเมล์ก็มีนะ ทหารหญิงก็เยอะ ตำรวจหญิงก็มีไม่น้อย ...
นายทึ่งในชีวประวัติของท่าน คิม อิล ซุง ตามที่ได้รับฟังมาก และตามประสาหญิง นายจึงสนใจเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มเกี่ยวกับครอบครัวของท่านด้วย นายเคยถามล่ามว่าท่านมีบุตรกี่คน ล่ามก็ตอบว่าไม่ทราบ ถามว่าทำเนียบที่พำนักของท่านอยู่ที่ไหน เขาก็บอกไม่ทราบ ภรรยาของท่านชื่อเสียงเรียงไร เขาก็ไม่ตอบ
ในที่สุด นายแคะเอาคำตอบได้เพียงว่า บุตรคนที่ชื่อ คิม จอง อิล หรือ Dear Leader นี้อายุราว 45 ปี และคงจะมีครอบครัวแล้วเช่นเดียวกับคนหนุ่มใหญ่อื่นๆ ส่วนมากที่อยู่ในวัยนี้ ล่ามของเราตีลูกห่างตลอด เขาบอกว่า คนเกาหลีเคารพและชื่นชมในผลงานของท่าน แต่เราไม่เคยพูดถึงครอบครัวของท่านดอก... (หมายเหตุผู้เรียบเรียง: ในปี 1985 ขณะที่คณะเราไปเยือน ผู้นำคนปัจจุบัน คิม จอง อึน ยังมีอายุเพียง 1 ขวบ) ...
และพวกเราก็ยังไม่เคยเจอหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติส่วนตัวของท่านเลย แต่อย่างน้อย เราก็ปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาพในพิพิธภัณฑ์ ทำให้ทราบว่า ท่าน คิม อิล ซุง ถือกำเนิดจากบิดานามว่า คิม เฮียง จิ๊ก และมารดาคือ แคง บัน ซค เมื่อ 12 เมษายน 1912
บิดาได้ตั้งชื่อลูกน้อยคนนี้ว่า คิม ซอง จู (ชื่อ คิม อิล ซุง นั้นเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง ซึ่งมีความหมายว่า ‘คิม ผู้กลายเป็นพระอาทิตย์’ (Il = sun / sung = become)
1
บิดาของท่านเป็นผู้ก่อตั้ง “สมาคมเกาหลีรักชาติ” ขึ้นเมื่อ 23 มีนาคม 1917 ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นองค์กรใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น ... ท่านมีน้องชาย 2 คน ซึ่งเป็นนักต่อสู้เช่นเดียวกันแต่เสียชีวิตไปแล้ว ภรรยาของท่านชื่อ คิม จอง ซค ถึงแก่กรรมเพราะป่วยเมื่อปี 1949 ...
หลังจากเดินเมื่อยแล้ว เขาก็ให้เรานั่งพักหน้าจอ 3 มิติใหญ่ แล้วจัดการแสดงแสงและเสียง (Light and Sound) ให้ชมพอได้เพลิดเพลินและคลายเมื่อย มีดนตรีระบบเสียงรอบทิศประกอบเร้าใจดี มีฉากเลื่อนแสดงภาพหุบเขาที่ทำการหลบซ่อนสู้รบแบบกองโจร ภาพหมู่บ้านใต้ดิน ...
ต้องชมเทคนิคในการแสดงแสงและเสียงของเขาว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากมโหฬารของห้องสุดท้ายก่อนจบการแสดง ทำเป็นห้อง 3 มิติ จับเนื้อเรื่องตั้งแต่ท่าน คิม อิล ซุง กลับสู่เกาหลีพร้อมชัยชนะ หลังจากปักหลักสู้รบอยู่ในป่าเป็นเวลากว่า 20 ปี และได้รับการต้อนรับกลับอย่างอบอุ่นจากชาวพาราทั้งมวล
ตอนจบ เป็นภาพผู้คนและกองทัพพากันยาตราเข้าเมือง พร้อมกับร้องเพลง “จังแบกซัน” ประกอบชัยชนะ (เพลงที่คุณน้าในรถไฟเคยสอนนายร้องนั่นแหละ) ในการแสดงแสงและเสียงนี้ ผู้ฟังสามารถเลือกหยิกหูฟังมาเสียบฟังภาษาที่ตนถนัดได้ถึง 5 ภาษา
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เชิญไปนั่งดื่มน้ำหวานที่ห้องรับรอง และแลกเปลี่ยนการสนทนากันพอเป็นพิธีสักครู่ คณะเราก็เอ่ยคำอำลา แล้วรีบรุดไปสถานทูตจีน ขณะนั้นเป็นเวลา 11 โมงเกือบครึ่งแล้ว
ขอขอบคุณภาพจาก www.exploredprk.com
ฟองน้ำคงจะลืมเล่าให้คุณฟังว่า พวกเราร้อนใจกันอยู่ไม่น้อยเรื่องวีซ่ากลับเข้าเมืองจีน ด้วยเรานัดกับทางจีนว่า เราจะเดินทางไปเป็นแขกของเขาตอนกลับจากเกาหลีประมาณวันที่ 5 กันยายน ทีนี้เมื่อยังไม่มีวีซ่า เราก็ยังซื้อตั๋วรถไฟขากลับไม่ได้ ถามคุณหลังก็ว่าตอนนี้รถไฟค่อนข้างเต็ม ต้องรอจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนจึงจะบอกได้ว่ามีที่นั่งพอสำหรับทั้งคณะไหม
รูปที่ไปถ่ายเพื่อนำมาทำวีซ่านั้นเล่า ตุ้ยนุ้ยก็ยังไม่ได้แวะไปรับ และข้อสำคัญ หนุ่มทั้งสามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพาไปทำวีซ่าสักที ดังนั้นก่อนออกเดินทางตามกำหนดการเมื่อเช้านี้ เราจึงขออนุญาตหดโปรแกรมที่พิพิธภัณฑ์ลงนิดหน่อย เพื่อจะได้มีเวลาไปแวะสถานทูตจีน
สถานทูตจีนตั้งอยู่กลางเมือง มีบริเวณกว้างขวาง อันที่จริงเราก็นั่งผ่านแทบทุกวันแต่ก็ไม่ทราบว่านี่คือสถานทูตจีน เขามีบอร์ดภาพข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเมืองจีนไว้ที่กำแพงด้านนอก เห็นคนยืนมุงดูกันเต็มอยู่เรื่อย รถแล่นจากพิพิธภัณฑ์ถึงสถานทูตกินเวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะถนนไม่เคยมีรถติด!
ที่หน้าประตูก่อนเข้าเขตสถานทูต มีตำรวจเกาหลียืนยามอยู่ในตู้ยามแบบเปิดโล่ง ฟองน้ำเพิ่งทราบว่าตำรวจห้ามคนเกาหลีเข้าไปข้างใน ตุ้ยนุ้ยผู้ซึ่งยึดครองพาสปอร์ตของพวกเราไว้ตลอดเวลา จึงจำใจยื่นถุงพาสปอร์ตคืนเรา และสองล่ามกับคุณหลังต้องลงจากรถมายืนรอเราอยู่หน้าประตู หลังจากนั้นตำรวจจึงโบกมืออนุญาตให้คนขับทั้ง 3 คนขับรถพาเราเข้าไป
เราตรงไปที่แผนกวีซ่าซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของประตูใหญ่ พบเจ้าหน้าที่มีอยู่คนเดียว เป็นผู้ชายใจดีเหลือเกิน ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง และข้อสำคัญ ทางปักกิ่งโทรเลขมาบอกเขาแล้วว่า คณะของเราจะต้องมาทำวีซ่าเพื่อเยือนจีนอย่างเป็นทางการ
เขาให้ความมั่นใจว่าจะออกวีซ่าให้ ทันทีที่ทราบว่าเราได้ที่นั่งในรถไฟแล้ว และยืนยันว่าจะโทรเลขแจ้งทางการจีนให้มารับเราที่สถานีรถไฟปักกิ่ง ทั้งนี้ เราไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มอะไรทั้งสิ้น แม้แต่รูปเขาก็ไม่ต้องการจากเราแม้แต่ใบเดียว!
เราออกจากสถานทูตจีนด้วยความโล่งใจไปหนึ่งเปลาะใหญ่ ๆ แวะรับ 3 ผู้ดูแลที่ยืนเมื่อยรออยู่หน้าประตู เห็นหน้าตุ้ยนุ้ยแล้วก็ยังฉงนไม่หายว่า ทำไมถึงหลอกกันให้ไปถ่ายรูปหนอ?
โปรดติดตามตอนต่อไป…….

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา