23 มิ.ย. 2022 เวลา 11:41 • ไลฟ์สไตล์
“วัฏสงสารไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่กลางอกนี่
ภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง วัฏสงสารถล่มลงไป
หลุดโครมลงไป สลายตัวไปหมด
จิตก็เป็นอิสระ ไม่ถูกอาสวะห่อหุ้มเอาไว้”
“ … เรามีจิตที่เป็นคนรู้ เราจะเห็นเลย
จิตโลภก็ชั่วคราว จิตโกรธก็ชั่วคราว จิตหลงก็ชั่วคราว
จิตดีก็ชั่วคราว จิตเป็นผู้รู้ก็ชั่วคราว
จิตเป็นผู้หลงไปก็ชั่วคราว
นี่เราเจริญจิตตานุปัสสนาอยู่
ฉะนั้นเราฝึกให้ได้จิตเสียก่อนเถิด
สติปัฏฐาน 4 จะทำได้หมด ไม่ยากหรอก
ธัมมานุปัสสนาก็มีหลายบท
เริ่มต้นตั้งแต่เรื่องดูเรื่องนิวรณ์
แต่ตัวสุดยอด ตัวท็อปเลย
ในบรรดาสติปัฏฐาน 4 ธัมมานุปัสสนาเป็นตัวท็อป
ในธัมมานุปัสสนา บทย่อยเกี่ยวกับอริยสัจเป็นตัวท็อป
ฉะนั้นเรื่องของอริยสัจนี่เป็นตัวท็อป
ที่เราจะภาวนา หรือเรื่องของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
ตัวนี้เป็นสิ่งที่แสดงด้วยจิตของเรานี่เอง
เห็นปฏิจจสมุปบาท
ฉะนั้นถ้าเรามีจิตที่เป็นคนรู้ เราก็จะเห็น
พอตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความรู้สึกนึกคิด
ก็เกิดเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง
ถ้ามีความสุขมันก็อยาก
อยากให้ความสุขมาบ่อยๆ
อยากให้ความสุขอยู่นานๆ
ถ้ามีความทุกข์ ก็อยากให้มันหมดไปสิ้นไป เราเห็น
การที่เราเห็นจิตเห็นใจเราทำงานนั่นล่ะ
คือการเห็นปฏิจจสมุปบาท
ทีแรกก็เห็นส่วนเดียวก่อน
ยังไม่ได้แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาทหรอก
จะเห็นท่อนกลางๆ ไป
เห็นตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์อะไรขึ้นมาไหม
หรือเกิดเฉยๆ พอมีความรู้สึกเกิดขึ้น
ถ้ามันสุขก็เกิดอยากได้ อยากให้มันคงอยู่
ถ้ามันทุกข์ ก็อยากให้มันหมดไปสิ้นไป
ถ้ามันเฉยๆ ก็เผลอๆ เพลินๆ ลืมไปเลย ไม่สนใจ
พอมีความอยากขึ้นมา ใจก็เกิดการดิ้นรน
ตัณหาเป็นผู้สร้างภพ ใจจะเริ่มดิ้นรน
อย่างที่เราเห็นมันไหวอยู่กลางอกเรานี่ ไหวยิบยับๆ อยู่
บางทีก็หมุนจี๋ๆๆ ขึ้นมา
บางทีก็แน่นขึ้นมา จิตมันทำงานขึ้นมา
แสดงอาการนี้ให้ดู แสดงสังขารนี้ให้ดู
เป็นสัญลักษณ์ให้เราเห็นว่าตอนนี้จิตกำลังปรุงแต่งอย่างรุนแรงอยู่ หมุน
วัฏสงสารไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่กลางอกนี่
ภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง วัฏสงสารถล่มลงไป
หลุดโครมลงไป สลายตัวไปหมด
จิตก็เป็นอิสระ ไม่ถูกอาสวะห่อหุ้มเอาไว้
อย่างเราดู เห็นไหมมันไหวยิบยับๆ อยู่ทั้งวัน
เราจะค่อยๆ เห็น
ตัวที่มันไหวยิบยับนั้นเป็นตัวสังขาร คือตัวภพนั่นเอง
สังขารกับตัวภพนั้นตัวเดียวกัน
ภพก็คือความดิ้นรน ความดิ้นรนของจิตใจ
เรียกว่ากรรมภพ
จิตมันทำงาน มีภพขึ้นมา
จิตมันก็เข้าไปหยิบฉวยไปยึดไปถือ
ยึดถือตาบ้าง เวลาไปดูรูปก็ยึดถือตา
เวลาไปฟังเสียงก็ยึดถือหู
เวลารู้อารมณ์ทางใจก็ยึดถือจิต ยึดถือใจ
ค่อยภาวนาไปนะ
แล้วก็จะเห็นว่ายึดไว้ทีไรก็ทุกข์ทุกทีเลย
นี่เห็นปฏิจจสมุปบาท แต่จะเห็นท่อนท้ายก่อน
เราฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไปจะลงข้างล่างได้
จะเห็นไปถึงตัวอวิชชาได้
อวิชชาไม่ได้เกิดลอยๆ
อวิชชามีอาสวะเป็นปัจจัยให้เกิด
อาสวะก็มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิด
มันหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน
พอมีอวิชชาก็จะมีความปรุงของจิต
ปรุงดีบ้างปรุงชั่วบ้าง พยายามจะไม่ปรุงบ้าง
นี่คือตัวสังขาร
อวิชชาปัจจยา สังขารา
สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง
พอมันมีความปรุงเกิดขึ้น มันจะเกิดจิตขึ้นมา
ผุดขึ้นมา จิตมันจะผุดขึ้นมา
อย่างเวลาเราภาวนา จิตรวมลงไป ดับโลกธาตุไปเลย
แล้วพอจิตมันทำงานขึ้นมา มันเกิดความปรุงขึ้นมา
มันจะมีเหมือนแสงสว่างผุดขึ้น
แล้วแสงนี้ผุดขึ้นมา กระทบเข้ากับความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย
ก็เกิดนามธรรมขึ้นมา
แล้วแสงนี้จะขยายตัวช็อตที่ 2 ปุ๊บ
กระทบเข้าร่างกาย ก็เกิดรูปธรรมขึ้นมา
พอมันกระทบเข้าที่กายปุ๊บ มันจะตะครุบเอาไว้เลย
มันจะตะครุบกายไว้เลย แสงนี้
แล้วมันก็ติดอยู่ตรงนั้นเลย
เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม ว่าเวลาสิ้นกัป
เวลาจักรวาลแตกสลาย
สัตว์ทั้งหลายไปเกิดเป็นอาภัสสราพรหม
อาภัสสราพรหมคือพรหมแสงสว่าง เป็นแสง
มันเหลือแต่แสงเท่านั้น ทั้งจักรวาล เหลือแต่แสง
แล้วแสงนี้เมื่อกระทบ
บอกว่าพรหมนี้ไปกินง้วนดิน แล้วก็ติดใจในรสของดิน
ก็เลยติดอยู่ในโลก ไปไหนไม่รอดแล้ว
อย่างพวกเรานี้ เป็นลูกหลานพรหมมาก่อนใช่ไหม
เราติดง้วนดิน อยู่กับโลกนี่ล่ะ ติดดินอยู่นี่ล่ะ
เรียกมนุษย์ติดดิน
แสงสว่างผุดขึ้นมา
แล้วแสงสว่างกระทบเข้ากับนามธรรม ก็เกิดความรับรู้ในนามธรรม
กระทบเข้ากับรูปธรรม ก็เกิดรูปธรรมนี้ขึ้นมา
ก็เกิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบอายตนะทั้ง 6
พอมีนามรูป ก็มีอายตนะขึ้นมา
ต้องเห็นด้วยตัวเองะ ภาวนาไปเดี๋ยวก็เห็นเอง
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก
ในเวลาที่จักรวาลแตกสลายเหลือแต่แสง
แสงกระทบเข้ากับวัตถุ จิตมันก็เกาะขึ้นมา
ตรงนี้วิญญาณหยั่งลง
วิญญาณหยั่งลงก็เกิดนามรูปขึ้นมา
มีนามรูปก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจครบแล้ว
มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็มีการกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เรียกผัสสะ
มีผัสสะ เกิดเวทนา
เกิดความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีเวทนาก็เกิดตัณหา
มีตัณหาความอยาก ตัณหารุนแรงก็เกิดความยึดถือ
ความยึดถือรุนแรงก็ผลักดันให้จิตดิ้น
ตรงที่จิตดิ้นเรียกว่าภพ เป็นกรรมภพ
จิตมันดิ้นรน
ตรงอุปัตติภพคือตรงที่วิญญาณหยั่งลงไป
เกิดรูปเกิดนามขึ้นมา เป็นอุปัตติภพ
ตรงที่จิตมันทำงาน
อย่างเรานี่อุปัตติภพเป็นมนุษย์
แต่กรรมภพ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็เลว
เดี๋ยวก็เป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เดี๋ยวก็เป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็เป็นเทพเป็นพรหม
เปลี่ยนตลอดเวลา
เราเปลี่ยนภพในใจเราตลอดเวลาเลย
เวลาจิตเราโลภขึ้นมาเราก็เป็นเปรต
เวลาจิตเราโกรธขึ้นมาเราก็เป็นพวกอสุรกาย
อสุรกายนี่เป็นพวกตระกูลโทสะ กลัว หวาดกลัว ขี้ขลาด
พวกหวาดกลัวพวกขี้ขลาด ก็หาทาง
ถ้าจะสู้กับคนอื่น จะต้องหาทางเอาเปรียบ ไม่สู้ซึ่งหน้า
ต้องมีลูกไม้บ้างอุบายบ้าง ใช้คุณไสย ใช้ยาพิษ
โจมตีกัน สไตล์อสุรกาย
อย่างพวกทำไสยดำอะไรพวกนี้ คือกลุ่มอสุรกาย
หรือพวกเศร้าหมองเสียอกเสียใจเป็นทุกข์
พวกนี้พวกสัตว์นรก
ถ้าพวกเผลอๆ เพลินๆ นี่พวกเดรัจฉาน
ฉะนั้นถ้าเราใจลอยเก่ง เตรียมตัวเป็นเดรัจฉานไว้
คุ้นเคยที่จะเป็นเดรัจฉาน
ถ้าเรามีศีลมีธรรม เราก็เป็นมนุษย์
ถ้าเราพัฒนาจิตใจขึ้นจนถึงขั้นมีหิริโอตัปปะ
ไม่ได้ถือศีล 5 หรอก แต่ไม่กล้าทำชั่วเพราะละอายใจ
เพราะรู้ว่าทำชั่วแล้วมีผลร้ายเกิดขึ้น
นี่คือภูมิธรรมของเทวดา
เป็นภูมิของเทพ มีหิริโอตัปปะ
ถ้าจิตเราทรงอยู่ในพรหมวิหาร
มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
จิตของพรหม
อยู่ที่เรานี่เอง อยู่ที่จิตเรานี่เอง
เดี๋ยวก็อยู่ภพนี้ เดี๋ยวก็อยู่ภพนี้
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งวัน แล้วดูต่อไป
เราจะเห็นว่ามีภพก็มีชาติ มีความเกิดขึ้นมาแล้ว
เกิดตัวเกิดตนขึ้นมา มีเรามีเขาขึ้นมา
มีเราขึ้นมาทีไร
หยิบฉวยเอาตา หู จมูก ลิ้น กาย หยิบฉวยเอาใจขึ้นมา
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันที
เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือตัวรูปนาม
ตัวรูปนามคือตัวทุกข์
พอเราไปหยิบฉวยเอา
ไปยึดถือเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันที
เพราะฉะนั้นตัวชาติ
คือการได้มาซึ่งอายตนะ นั่นล่ะเรียกว่าตัวชาติ
เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้น
เราเห็นด้วยจิตล้วนๆ เลย
เป็นกระบวนการทำงานของจิต
ตั้งแต่จิตมันโง่ จนกระทั่งจิตมันสร้างทุกข์ให้ตัวเอง
หรือภาวนาไปเรื่อย ต่อไปมันก็ดับ
ล้างกิเลสมันก็ล้างลงที่จิต ไม่ได้ไปล้างที่อื่นหรอก
ไม่ได้ล้างที่มือที่เท้าหรอก
ล้างด้วยสติด้วยปัญญา ซักฟอกลงไปที่จิตของตนเอง
เพราะฉะนั้นการที่เราหัดดูจิตดูใจ
เราจะสามารถเจริญสติปัฏฐานได้ทั้งหมด
ถ้าเราฝึกจนกระทั่งเราได้ตัวผู้รู้ขึ้นมาแล้ว
แล้วเราก็จะเห็น กายก็ส่วนหนึ่ง จิตก็ส่วนหนึ่ง
กายไม่ใช่เรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ดูเวทนา เวทนาไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
มีแต่ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ดูจิตที่เป็นกุศลอกุศล ก็เห็น
กุศลก็ไม่ใช่เรา อกุศลก็ไม่ใช่เรา
จิตที่ไปรู้กุศล จิตที่ไปรู้อกุศลเองก็ไม่ใช่เรา
เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่เกิดขึ้นมาทำหน้าที่รู้เท่านั้นเอง
เจริญธัมมานุปัสสนาขั้นสูงสุด
ก็คือเห็นปฏิจจสมุปบาท อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้
ถ้าเราไม่มีจิตที่เป็นผู้รู้ผู้เห็น
ไม่มีทางหรอกเรื่องปฏิจจสมุปบาท
หลวงพ่อเคยได้ยิน บางคนพูดปฏิจจสมุปบาทแจ๋วๆ
พูดเก่งมากเลยเพราะไปท่องมา
แต่จิตไม่ได้เป็นผู้รู้ พูดไปอย่างนั้นล่ะ
คล้ายๆ สำนวนโบราณ บอกเหมือนใบลานเปล่า
ใบลานเปล่า ว่างเปล่า มีแต่คัมภีร์ แต่ว่าในใจว่างเปล่า
สรุปก็คือไม่ว่าจะทำสติปัฏฐานบรรพไหน หมวดไหน
ก็ต้องมีจิตที่เป็นคนรู้คนเห็น
บอกวิธีพัฒนาจิตผู้รู้ให้ส่วนหนึ่งไปแล้ว
ยังมีวิธีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้สอนคือการเข้าฌาน
ฌานที่เขาเข้ากันนี้ไม่ใช่ฌานจริงหรอก
ส่วนใหญ่ ฌานไม่มีสติ ใช้ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ของจริง
นั่งเคลิ้ม แล้วบอกเข้าฌาน อันนั้นขาดสติ
จิตมีโมหะ ไม่ใช่ฌาน
ฉะนั้นได้ยินใครเขาบอกเขาเข้าฌานๆ ฟังไว้ ฟังหูไว้หู
จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
คนเขาเข้าจริงเขาไม่มาโฆษณาหรอก
เคลิ้มๆ ไปนั่งเคลิ้ม แล้วก็เห็นโน้นเห็นนี่ ไม่ใช่ฌาน
เห็นโน้นเห็นนี่ ยังไม่ถึงฌานหรอก
ถึงจะเห็นจริงก็ยังไม่ถึงฌาน
เห็นอยู่ในอุปจาระสมาธิ ยังไม่ถึงอัปปนาสมาธิ
ฌานนี่ถึงอัปปนาสมาธิ ฝึกยาก
หลวงพ่อเลยไม่ได้สอน
แต่บางคน น้อยคนหลวงพ่อจะสอนถึงฌานให้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
19 มิถุนายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา