24 มิ.ย. 2022 เวลา 05:48 • ไลฟ์สไตล์
“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นี่ครอบคลุมโลกธาตุทั้งหมดเลย
สัตว์ทุกชนิดตกอยู่ใต้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถึงเรียกว่าสามัญลักษณะ”
“ … เมื่ออาทิตย์ก่อนหลวงพ่อพูดถึงอานาปานสติ
บอกอย่างละเอียดแบ่งแยกออกไปได้ 16 ขั้น
จัดอยู่ในกลุ่มกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ขั้น
กลุ่มเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ขั้น
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ขั้น
แล้วก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ขั้น
อานาปานสติครอบคลุมการเจริญสติปัฏฐาน 4 ทั้งหมดได้
ที่จริงไม่เฉพาะอานาปานสติหรอก
ถ้าเราหัดดูจิตดูใจ ดูเป็น
มันครอบคลุมสติปัฏฐาน 4 ทั้งหมด
คือไม่ว่าเราจะทำกรรมฐานอะไร เราทิ้งจิตไม่ได้
เราจะเจริญกายานุปัสสนา ต้องมีจิตเป็นผู้เจริญ
เจริญเวทนานุปัสสนา ก็ต้องมีจิตเป็นผู้เจริญ
เจริญจิตตานุปัสสนา เห็นจิตที่เป็นกุศลอกุศล ก็ต้องมีจิตที่เป็นผู้เจริญ
ยิ่งธัมมานุปัสสนา เรื่องท้ายๆ เลย เรื่องจิตทั้งนั้น
ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอน
ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ ได้จิตถึงจะได้ธรรมะ
ทำอย่างไรเราจะได้จิตมา
จิตเรามันอยู่กับเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสืบต่อไม่จบสิ้น
แต่ทำไมเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส
เพราะเราไม่รู้วิธี
1
สมัยหนึ่งหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่ทางเหนือ อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านชาวเขา บิณฑบาตกับชาวเขา
วันๆ ท่านบิณฑบาตเสร็จแล้ว ท่านก็เดินจงกรม พวกชาวเขาเห็นท่านเดิน เดินก้มหน้าๆ ก็ถามท่าน ว่าตุ๊เจ้าเดินหาอะไร
ท่านบอกเดินหาพุทโธ พุทโธของเราหาย
ชาวเขาบอกเห็นหามาหลายวันแล้ว อยากช่วยหาบ้าง สงสารตุ๊เจ้า
เดิน ไปเรื่อยๆ เที่ยวหาพุทโธ
ท่านก็สอนวิธี เดินไปก็บริกรรมไป พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ทีนี้พอเขาบริกรรมไปหลายๆ วัน จิตรวม จิตรวมเข้าฐาน สงบ ก็ได้จิตผู้รู้ขึ้นมา
ได้จิตผู้รู้นี่ เป็นตัวตั้งต้นของการเจริญปัญญา
ในตำราอภิธรรมนั้นยังบอกเลยว่า
ปัญญาขั้นที่หนึ่ง ชื่อ นามรูปปริจเฉทญาณ
การแยกรูปนาม
ทีนี้จะแยกรูปแยกนามได้
จิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานได้
หลายที่เขาก็รู้ว่าจะต้องแยกรูปนามแต่ก็แยกไม่เป็น
ที่แยกไม่เป็น เพราะไม่ได้สนใจเรื่องจิต
1
อย่างเขาเห็นว่าการเดิน ก้าวไปอย่างนี้
หรือเห็นท้อง ท้องพองท้องยุบ
บอกแยกรูปนาม ยังไม่ได้แยกหรอก
เห็นท้องพองท้องยุบ เห็นเท้าก้าวไป
มันต้องมีจิตเป็นคนเห็น
หายใจอยู่ก็มีจิตเป็นคนเห็นว่าร่างกายกำลังหายใจออก
มีจิตเป็นคนเห็นว่าร่างกายกำลังหายใจเข้า
จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน
ก็มีจิตเป็นคนเห็นร่างกายกำลังยืนเดินนั่งนอน
ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาจิตให้เป็นผู้เห็น
เราทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก
วิปัสสนา แปลว่า การเห็นแจ้ง
ปัสสนะ แปลว่าการเห็น
วิ แปลว่าแจ้ง เห็นชัดเจน แจ่มแจ้งถูกต้อง ตรงความเป็นจริง
ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปทำวิปัสสนาได้
ไม่ว่าจะด้วยกายานุปัสสนา
เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา
เราต้องพัฒนาจิตให้เป็นผู้เห็นให้ได้
ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านเรียกจิตผู้รู้ ผู้รู้ผู้เห็น
ก็อันเดียวกันล่ะ
ฉะนั้นที่หลวงพ่อพากเพียรสอนพวกเราเรื่อยๆ
ว่าเราต้องมีจิตผู้รู้นะ
ถ้าเราไม่มี เราเดินปัญญาต่อไปไม่ได้
1
จิตที่เป็นผู้รู้และสามารถเจริญปัญญาได้
จิตผู้รู้มีลักษณะอย่างไร
จิตผู้รู้นี่เป็นจิตที่เดินอยู่ในทางสายกลาง
สามารถรู้สภาวะทั้งหลายตามความเป็นจริงได้
ถ้าพูดแบบปริยัติ ก็คือ มหากุศลจิตญาณสัมปยุต อสังขาริกัง
มหากุศลจิต เป็นจิตที่เป็นกุศล
จิตที่เป็นกุศล ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง
มีความเบาความอ่อนโยนนุ่มนวล
ความว่องไวไม่เซื่องซึม
สามารถที่จะรู้สภาวะทั้งหลายอย่างซื่อๆ
รู้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่เข้าไปแทรกแซงไม่มี Bias
ตัวมหากุศลจิต ญาณสัมปยุต อสังขาริกัง
มหากุศลจิตอย่างที่บอก ไม่มีโลภโกรธหลง
มีลหุตาความเบา มีมุทุตาความนุ่มนวล อ่อนโยน
มีความคล่องแคล่วว่องไว ปาคุญญตา
สามารถทำงานได้ ควรแก่การงานเป็นกัมมัญญตา
ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ เรียกอุชุกตา
ลักษณะของจิตที่เป็นกุศลอย่างแท้จริง
ตัวผู้รู้ไม่ได้เป็นแค่จิตที่เป็นกุศล
ยังเป็นจิตที่เป็นกุศลที่สามารถเจริญปัญญาได้
จิตที่เป็นกุศลมี 2 ชนิด
ชนิดหนึ่งเป็นกุศลอยู่เฉยๆ อย่างนั้น
อีกชนิดหนึ่งสามารถเจริญปัญญา มีปัญญาได้
จิตที่จะเจริญปัญญาได้
ต้องเป็นจิตที่เราไม่ได้ไปเพ่งไว้ให้นิ่งๆ
แล้วก็ไม่ได้เผลอ ล่องลอยไปที่อื่น
เป็นสภาวะที่จิตใจอยู่กับตัวเอง อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงจะเจริญปัญญาได้
ถ้ามีกาย จิตก็ลืมกาย
มีจิตใจมีความรู้สึกนึกคิด จิตก็ลืม
ก็ไม่สามารถเจริญปัญญาได้
เพราะการเจริญปัญญาในขั้นสูงในขั้นวิปัสสนา
ไม่ได้ไปรู้อย่างอื่นหรอก
รู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจเรานี่เอง
บางทีจิตไปสงบนิ่งอยู่เฉยๆ เป็นกุศล
แต่ไม่มีทางเจริญปัญญา
อย่างเราภาวนา บางที จิตสว่างออกไป
ไปแช่อยู่ข้างนอก ว่างๆ สว่างอยู่อย่างนั้น
อยู่ได้เป็นวันอยู่ได้เป็นเดือนอยู่ได้เป็นปี
ถ้าตายไปตอนนั้นก็ไปเป็นพรหม
ไปสว่างว่างๆ อยู่อย่างนั้นเป็นกัปๆ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนิพพานไปหลายองค์แล้วก็ยังว่างๆ อยู่อย่างนั้นล่ะ ไม่รู้จักจบจักสิ้นง่ายๆ หรอก
หรืออย่างเรามีจิตเป็นกุศล เราอยากทำบุญใส่บาตร
จิตที่อยากทำบุญ จิตที่อยากใส่บาตร
จิตที่อยากฟังธรรม
เป็นจิตที่เป็นกุศลทั้งนั้น
แต่มันไม่ย้อนมาดูกายไม่ย้อนมาดูใจ
มันยังไม่ได้เดินปัญญา
จิตผู้รู้ไม่ใช่รู้อย่างอื่น
จิตผู้รู้ คือรู้กาย รู้ใจของตนเอง
กายเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
ใจเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าจิตมันเดินปัญญาได้
หลวงพ่อนั่งสมาธิมาแต่เด็ก ฉะนั้นได้จิตผู้รู้มาตั้งแต่เด็ก
จนโตแล้วมาเรียนจากหลวงปู่ดูลย์ มาต่อยอด
เรื่องการเจริญปัญญา
จากนั้นก็เข้าไปกราบครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านชำนิชำนาญในเรื่องจิตมาก อย่างหลวงปู่สิมท่านเห็นหลวงพ่อ ท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้ ผู้รู้ๆ
ท่านเรียกเราว่าผู้รู้ ท่านไม่รู้จักชื่อ ท่านเรียกผู้รู้ คนก็มาถามหลวงพ่อว่ารู้อะไรบ้าง เป็นผู้รู้ หลวงปู่เรียกว่าผู้รู้ รู้อะไร สนใจมากเลย อยากจะรู้บ้าง
หลวงพ่อบอกรู้กายรู้ใจของตัวเองนั่นล่ะ
ผู้รู้ สามารถเจริญปัญญาได้
รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น
ถ้าเป็นผู้รู้แล้วรู้กายอยู่เฉยๆ จะได้แต่สมาธิชนิดสงบ
เป็นผู้รู้แล้วก็เฝ้าจ้องอยู่ที่จิตใจ
จิตว่างก็รู้ จิตไม่ปรุงแต่งไม่คิดอะไรก็รู้
อันนั้นก็ได้แต่สมถะ เป็นการเพ่งอารมณ์ไป
สงบ แต่ไม่มีปัญญา
จิตที่เดินปัญญาได้มีสัญญาที่จะหมายรู้
คือพอเห็นร่างกาย มันมีสัญญาเข้าไปหมายรู้ร่างกาย
ร่างกายนี้มันไม่สวยไม่งาม
ร่างกายนี้มันไม่เที่ยง
ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้น
ร่างกายนี้เป็นของที่เราบังคับมันไม่ได้จริง
สั่งไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้เจ็บก็ไม่ได้
สั่งไม่ให้ตายก็ไม่ได้ ทำไม่ได้สักอย่าง
มันหมายรู้ มีสัญญาที่ถูกต้อง
หมายรู้ลงไปร่างกายนี้ ไม่สวยไม่งาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา
เวลามันหมายรู้ลงที่จิต มันไม่มีอสุภะหรอกจิต มันไม่มีร่างกาย เวลามันหมายรู้จิต มันก็จะมองจิตในมุมของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะมองอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจิตผู้รู้ที่มันเจริญปัญญาได้
เพราะมันรู้จักหมายรู้ไตรลักษณ์
เวลาสติระลึกรู้กายแล้วเรามีจิต ที่เป็นผู้รู้อยู่
ไม่ใช่ผู้คิดผู้นึกผู้หลง ไม่ใช่ผู้เพ่ง
สัญญาที่ถูกต้องเข้าไปหมายรู้กาย
เห็นกายนี้ไม่สวยไม่งาม เป็นปฏิกูล อสุภะ
เห็นร่างกายนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เวลาหมายรู้จิต มันจะหมายรู้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในความเป็นจริงแล้ว
การหมายรู้ว่าร่างกายเป็นอสุภะ เป็นปฏิกูลอสุภะ
เป็นการหมายรู้ที่ถูก เพราะร่างกายมันเป็นปฏิกูลจริงๆ
อันนี้สำหรับกายมนุษย์
แต่กายเทพกายพรหม ไม่มีอสุภะให้ดู
เพราะฉะนั้นเรื่องปฏิกูลอสุภะจึงไม่ใช่สามัญลักษณะ
ไม่ใช่ลักษณะร่วมของทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่างกายมนุษย์นี้มีความสกปรกโสโครกอยู่
กายเทพกายพรหมไม่มี เหงื่อสักหยดยังไม่มีเลย
ไม่ต้องอาบน้ำ ฝุ่นก็ไม่เกาะ
เพราะฉะนั้น ท่านถึงเน้นมาเรื่องสามัญลักษณะ
อสุภะไม่ใช่สามัญลักษณะ
เป็นลักษณะของคนบางกลุ่ม
สัตว์บางชนิดเท่านั้นที่อสุภะ
เทพพรหมไม่มีอสุภะให้ดูหรอก
แต่มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ฉะนั้นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นี่ครอบคลุมโลกธาตุทั้งหมดเลย
สัตว์ทุกชนิดตกอยู่ใต้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถึงเรียกว่าสามัญลักษณะ
สามัญคือลักษณะธรรมดาร่วมๆกัน
ลักษณะร่วมของสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เป็นสามัญลักษณะ
จิตที่เป็นผู้รู้และสามารถเจริญปัญญาได้
สามารถเห็นสามัญลักษณะของกายของใจได้
ฉะนั้นจิตผู้รู้ก็จะเป็นกุศล เป็นจิตที่เป็นกุศล
ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง
มีความเบา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน
มีความคล่องแคล่วว่องไว ไม่ซึมเซื่อง
มีความควรแก่การงานคือขยันขันแข็ง
ที่จะพิจารณาที่จะดูความจริง
ไม่ใช่เฉื่อยๆ ไม่ทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆ
แล้วก็ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ คล่องแคล่วว่องไว
อันนี้จิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยปัญญา
คือสามารถเห็นสามัญลักษณะได้
อีกตัวหนึ่งคืออสังขาริกกัง
เมื่อกี้บอกแล้วจิตที่เป็นผู้รู้ เป็นมหากุศลจิต ญาณสัมปยุต ประกอบด้วยปัญญา
ซึ่งจะต้องหมายรู้ไตรลักษณ์ได้
แล้วก็อสังขาริกกัง คือเกิดขึ้นเอง ไม่ได้เจตนาให้เกิด
ทำอย่างไรจึงจะมีจิตผู้รู้โดยไม่ได้เจตนา
จิตที่เป็นกุศลมี 2 อย่าง
บางอย่างก็ต้องบิลด์ (build) ให้เกิด
บางอย่างที่เป็นกุศลกำลังกล้า ไม่ต้องบิลด์
ทีนี้ทำอย่างไร จิตเราจะสามารถเป็นผู้รู้ โดยที่เราไม่ต้องเจตนาสร้างขึ้นมา
เราสั่งให้จิตเป็นผู้รู้ไม่ได้ สั่งให้เกิดขึ้นมาไม่ได้
แต่เราทำเหตุของมันได้
อาศัยสติของเรา รู้ทันเวลาจิตมันเป็นผู้หลง
มันหลงไปดูรูป รู้ทัน จิตที่หลงไปดูรูปจะดับ
กลายเป็นจิตที่ไม่หลง
จิตที่ไม่หลงก็คือจิตรู้ ความไม่หลงก็คือไม่มีโมหะ
ตัวไม่มีโมหะคือตัวปัญญา
เราสะสมบ่อยๆ จิตหลงแล้วรู้ จิตหลงแล้วรู้
ต่อไปจิตคุ้นเคย พอหลงปุ๊บรู้ปั๊บ หลงปุ๊บรู้ปั๊บ
จิตรู้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เจตนาให้เกิด
อันนี้สำหรับคนที่ไม่ได้ฌาน
ถ้าคนได้ฌานจะไปอีกลีลาหนึ่ง
อย่างเราไม่ได้ฌาน จะทำอย่างไรที่จะมีจิตผู้รู้โดยไม่ได้เจตนา
หลายคนได้ยินเรื่องจิตผู้รู้แล้วก็เจตนา ปั้นจิตผู้รู้ขึ้นมา
จะทื่อๆ อย่างนี้จิตผู้รู้ปลอม แต่งขึ้นมา เป่ามันทิ้งไป
อยากได้จิตผู้รู้ ให้รู้ทันจิตผู้หลง จิตผู้หลงมี 6 แบบ
หลงไปดูรูป หลงไปฟังเสียง
อย่างเราได้ยินเขาคุยกัน
เราสนใจที่จะฟังเรื่องที่เขาคุยกัน
ขณะที่เราสนใจไปฟังเรื่องที่เขาคุยกัน
เราลืมกายลืมใจของตัวเองแล้ว ไม่ดี
หลงไปทางจมูก ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางร่างกาย ไปคิดนึกทางใจ
ให้รู้บ่อยๆ รู้ๆๆๆๆ แล้วต่อไปไม่เจตนาจะรู้ จะรู้ได้เอง
เพราะจิตเคยชินที่จะรู้
เราต้องเปลี่ยนความเคยชินของจิต
จิตเป็นอนัตตา
แต่จิตมีธรรมชาติไหลไปตามความเคยชิน
มันเคยชินอย่างไรก็จะไปอย่างนั้น
เคยชินจะโกรธ ก็โกรธ โกรธบ่อยโกรธง่าย
เคยชินจะโลภ ก็โลภง่าย โลภบ่อย
เคยชินจะหลง ใจลอย ล่องลอยไป ลืมกายลืมใจ ก็หลงง่าย
ฉะนั้นเรามาฝึกจิตใหม่ ให้จิตคุ้นเคยที่จะรู้สึกตัว
ทำกรรมฐานของเราไป
จิตหลงไปดูรูปรู้ทัน จิตหลงไปฟังเสียงรู้ทัน
จิตหลงไปดมกลิ่นไปลิ้มรสไปรู้สัมผัสทางกาย
จิตหลงไปคิดนึกทางใจ
จิตหลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทันไปเรื่อยๆ
พอรู้ทัน ตัวรู้มันเกิดเองเลย เพราะมันไม่หลง
มันไม่หลงมันก็รู้
เราไม่ได้ทำตัวรู้ให้เกิด
แต่เรารู้ทันตัวหลง ตัวหลงดับ ตัวรู้ก็เกิดเอง
เพราะฉะนั้นมันจะไม่ได้เจตนาให้ตัวรู้เกิด
มันเกิดของมันเอง เพราะมันรู้เท่าทันตัวหลงเสียแล้ว
ยิ่งเรารู้ตัวหลงบ่อยๆ
อย่างเราหัดภาวนา พุทโธๆๆ หนีไปคิดเรื่องอื่นเรารู้ทัน
พุทโธๆ ไปเพ่งความนิ่งๆ ว่างๆ อยู่ รู้ทัน
หรือเราหายใจอยู่ จิตหนีไปคิด รู้ทัน
จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ทัน
ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ รู้ทันบ่อยๆๆๆๆ
ต่อไปจิตเคยชินที่จะรู้ มันจะรู้ขึ้นโดยไม่เจตนาจะรู้
ถ้าจงใจจะปั้นผู้รู้ขึ้นมา
จิตจะทื่อๆ ไม่ได้เข้าท่าเท่าไรหรอก
เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน ต้องบิลด์กันมาก กว่าจะเกิดกุศล
กุศลก็มี 2 อัน
เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน
กุศลที่มีกำลังกล้า
กุศลที่มีกำลังอ่อนก็คือ ต้องมีการบิลด์ ถึงจะเกิดกุศล
อย่างเช่น พรรคพวกเรา ชวนเราทำบุญใส่บาตร ขี้เกียจ
เพื่อนบิลด์ตั้งนานถึงยอมไปทำบุญใส่บาตร
ถามว่าได้บุญไหม ได้บุญ แต่ได้บุญแค่นี้ นิดเดียว
เพื่อนที่เต็มใจไปทำบุญใส่บาตร ไม่ต้องบิลด์
เป็นกุศลที่แรง ก็เลยเป็นบุญแรงกว่ากัน
ที่ต้องบิลด์ขึ้นมานี้เป็นบุญอ่อนๆ ไม่แข็งแรง
ฉะนั้นอย่างตัวรู้ของเรานี้
ถ้าเราต้องบิลด์ให้เกิด ยังเป็นตัวรู้ที่อ่อนแอ
ถ้าเป็นตัวรู้ที่เกิดอัตโนมัติขึ้นมา
ฝึกไปเรื่อย เผลอ หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้
ตัวรู้อัตโนมัติมันเกิด มันมีกำลังแข็งแรง
ในที่สุดเราก็จะได้จิตผู้รู้ที่ดี
เป็นมหากุศลจิตญาณสัมปยุต
คือประกอบด้วยการเจริญปัญญาได้
อสังขาริกกัง ไม่ได้เจตนาให้เกิด
ไม่ได้ชักชวนให้เกิด ไม่บิลด์ให้เกิด เกิดเอง
เพราะเคยชินที่จะเกิด
พอเราได้ตัวนี้ขึ้นมาแล้ว
เราสามารถเจริญสติปัฏฐานได้ทุกบรรพเลย
ขอให้ได้จิตขึ้นมาก่อน ได้ผู้รู้ขึ้นมาก่อน
เวลาเรามีจิตผู้รู้แล้วเราเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เราจะเห็นร่างกายหายใจออก จิตเป็นคนรู้
ร่างกายหายใจเข้า จิตเป็นคนรู้
ร่างกายยืนจิตเป็นคนรู้
ร่างกายเดินร่างกายนั่งร่างกายนอน จิตเป็นคนรู้
ร่างกายคู้ ร่างกายเหยียด จิตเป็นคนรู้
ร่างกายเหลียวซ้ายแลขวา จิตเป็นคนรู้
จะเห็นร่างกายทำงานไปเรื่อยๆ มีจิตเป็นคนรู้อยู่
แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้น
มีสติระลึกรู้กายอยู่
มีจิตตั้งมั่นคือทรงสมาธิที่ถูกต้องอยู่ ปัญญาจะเกิด
อาศัยสัมมาสติและสัมมาสมาธินี่ล่ะ
จะเกิดสัมมาญาณะ เกิดปัญญาที่ถูกต้องขึ้นมา
อย่างพอจิตเราเป็นคนดูเห็นร่างกายเคลื่อนไหว
ทีแรกยังไม่รู้สึกอะไร
เคลื่อนทีแรก จงใจเคลื่อน ไม่มีผู้รู้
พอเคลื่อนปุ๊บ จิตก็ไปเพ่งมือเลย
หรือไปคิดเรื่องมือ ท่านี้แล้วต่อไปจะท่านี้
อันนี้ไม่มีจิตผู้รู้ ทำให้ตายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
หรือดูท้องพองท้องยุบ แต่ไม่มีจิตผู้รู้ จิตก็ถลำไปอยู่ที่ท้อง
นั่งหายใจออกหายใจเข้าไป ไม่มีจิตผู้รู้ จิตก็จมไปในลมหายใจ ไม่สามารถแยกรูปแยกนามได้
จะแยกรูปแยกนามได้
ต้องมีจิตที่แยกออกมาเป็นคนรู้คนดูได้
อย่าจงใจแยก
จงใจแยกออกมาไม่ใช่ตัวรู้ที่ดี
เป็นตัวรู้ที่ไม่มีกำลัง ไม่ได้เรื่อง
ฉะนั้นทำไปตามลำดับ อันนี้ไปทวน
ไปรีรันฟังบ่อยๆ หลายๆ ทีเลย
ถ้าเข้าใจตัวนี้เราจะพัฒนาจิตผู้รู้ขึ้นมา
พอเรามีจิตผู้รู้ขึ้นมา มาเจริญกายานุปัสสนา
เราจะเห็นเลย รูปส่วนรูป นามส่วนนาม
กายก็อันหนึ่งจิตก็อันหนึ่ง คนละอันกัน
แล้วต่อไปจะค่อยๆ เห็น รูปนี้ไม่ใช่เรานี่
นามที่เป็นคนรู้รูปเป็นแค่ความรู้สึก ความรับรู้
เป็นแค่ตัวความรับรู้เท่านั้น
ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเหมือนกัน
บางคนดูแค่นี้ ก็เข้าใจธรรมะได้แล้ว
ฉะนั้นถ้าเราได้จิตของเรามาสักอย่างเดียว
ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร
ถ้าเป็นกรรมฐานที่รู้กายรู้ใจตัวเองละก็
ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งได้ทั้งสิ้น…”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
19 มิถุนายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา