6 ก.ค. 2022 เวลา 05:00
Ep. 17 ทัวร์รอบโลก ที่พิพิธภัณฑ์​มิตรภาพ
พิพิธภัณฑ์มิตรภาพ กรุงเปียงยาง
พิพิธภัณฑ์นี้ เป็นสถานที่เก็บของขวัญ ที่ท่านประธานาธิบดีได้รับจากผู้นำรัฐบาล พรรคการเมือง และองค์กรทั้งของรัฐและเอกชนจาก 147 ประเทศ ของขวัญที่นำมาแสดงทั้งหมดมี 38,756 ชิ้น
ตึกพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในหุบเขา ด้านหนึ่งติดกับลำธาร อีกด้านเป็นภูเขา และด้านหลัง มีเฉลียงกว้างสร้างอยู่บนหน้าผา ซึ่งส่วนหนึ่งของเฉลียง ยังยื่นออกไปจากหน้าผาด้วย เมื่อมองลงไปจะเป็นหุบเหวลึกอยู่เบื้องล่าง ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นตึก 6 ชั้นแบบเกาหลี สร้างตามการชี้แนะและออกแบบของ คิม จอง อิล รวมเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมด 28,000 ตารางเมตร
หลังคาตึกสร้างซ้อนเป็นชั้นๆ สลับกันไป เพื่อโชว์ทั้งหน้าจั่วและด้านข้าง ในมุมต่างๆ กัน เพดาน ผนังภายใน และแม้แต่ลวดลายของหน้าจั่ว ประดับประดาด้วยรูปสลักนูนของ “ดอกไม้คิม อิล ซุง” คือดอกแมกโนเลียและอาซาเลีย
มองจากภายนอก เราจะรู้สึกว่า ตึกนี้เต็มไปด้วยหน้าต่าง แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นตึกผนังทึบตลอด 4 ด้าน เขาติดเครื่องปรับอากาศและเครื่องกันความชื้นโดยอัตโนมัติเอาไว้ ให้คงอุณหภูมิ 18 – 20 องศาตลอดเวลา ส่วนหลังคาเป็นซีเมนต์ แต่เข้าใจทำให้หลอกตา มองว่าเป็นหลังคาไม้
การระดมกำลังก่อสร้างตึกหลังมหึมานี้ ใช้เวลาเพียง 16 เดือนเท่านั้น กล่าวคือ เริ่มสร้างในคราวฉลองวันเกิดของประธานาธิบดี เมื่อปี 1977 และเปิดให้คนเข้าชมในเดือนสิงหาคม 1978
เมื่อเราลงจากรถที่ลานจอด ห่างจากพิพิธภัณฑ์ราว 100 เมตร ก็ได้เห็นคลื่นกรรมกรเกือบร้อยคน โผล่มาจากไหนไม่ทราบ กำลังแออัดเคลื่อนตัวกันไปทางตัวตึก เราจึงรีบเดินตามเขาไปบ้าง ทำเอาตุ้ยนุ้ยกับคุณหลังพะว้าพะวังกลัวเราจะพลัดหลงกัน
เราเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกตั้งแต่มานี่แหละว่า ได้สัมผัสกับชาวบ้านธรรมดาบ้าง กรรมกรทุกคนแต่งตัวคล้ายๆ กัน คือ ผู้ชายสวมกางเกงสีเข้ม เสื้อสีขาวปล่อยชายไว้ข้างนอก ผู้หญิงก็สวมเสื้อขาวปล่อยชาย และนุ่งกระโปรงบานพอประมาณ ฟองน้ำไม่เคยเห็นผู้หญิงที่นี่นุ่งกระโปรงแคบเลย และกางเกงขายาวก็ไม่เห็นสาวเกาหลีเหนือนุ่ง
นายเคยถามตุ้ยนุ้ยว่า ทำไมสาวเกาหลีไม่นุ่งกางเกงบ้าง เขาตอบว่า เป็นเพราะเราไม่อยากเหมือนสาวจีนกระมัง ที่ตลกก็คือ หนุ่มหลายคนผูกไท แต่ทิ้งชายเสื้อไว้นอกกางเกง อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ชินตาอย่างยิ่ง แต่พวกผู้ชายที่นี่ก็ใส่กันอย่างนี้เยอะไป แม้แต่หุ่นโชว์เสื้อผ้า ที่มองเห็นลอดกระจกหน้าร้านแฟชั่นที่เราผ่านบ่อยๆ ในเมือง ก็แต่งหล่อแบบนี้แหละ
ฟองน้ำขอเล่าเสียในตอนนี้เลยว่า สำหรับเครื่องแต่งกายไปงานพิธีนั้น ของผู้ชายจะเป็นเครื่องแบบของพรรคคนงาน คือเป็นชุดเสื้อนอกคอบัวแหลม ติดกระเป๋า 2 ใบที่อกหรือเหนือชายเสื้อก็ได้ กางเกงสีเดียวกับเสื้อ แต่ถ้าเป็นกางเกงคนละสีกับเสื้อ ก็อาจใส่เสื้อคอฮาวายแขนยาวได้ ส่วนผู้หญิงจะแต่งชุดประจำชาติเท่านั้น เวลาไปงานสำคัญๆ
1
ไกด์ของพิพิธภัณฑ์พาเดินย้อนขึ้นไประหว่างตึกกับลำธาร แล้วพาเลี้ยวข้ามสะพานไปยังอีกฟากหนึ่ง เพื่อจะได้มองย้อนกลับมาเห็นมุมของตึกพิพิธภัณฑ์ได้สวยเต็มตา หลังจากนั้นเราก็เดินกลับมาทางหน้าตึกเพื่อเข้าไปชมภายใน
คราวนี้เราสวนกันกับกรรมกรกลุ่มใหม่ น่าชมที่เขาเดินเรียงแถวตามกันมาอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครแซงกันเลย และไม่สงเสียงคุยกันดังด้วย ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น ตุ้ยนุ้ยบอกว่า กลุ่มหลังนี้มาจากเขตใกล้พรมแดนเกาหลีใต้ ใกล้ๆ เมืองโสม แคซอง
ในวันสุดสัปดาห์ ทางโรงงานจะคอยผลัดเปลี่ยนกันพากรรมกรไปชมสถานที่สำคัญ เพื่อเขาจะได้เห็นและภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตน การได้ไปทัศนาจรไกลๆ ข้ามเขตแบบนี้ ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ต้องมีเหตุผลพอที่จะไปขออนุญาตจากทางการ และต้องให้หน่วยงานของโรงงานแต่ละแห่งเป็นผู้พามา ดังนั้นทุกคนที่ได้รับคัดเลือกจึงไม่มีใครสละสิทธิ์ เพราะนานๆ ที จึงจะได้รับโอกาสอันหาได้ยากอย่างนี้
หน้าประตูใหญ่ยังปิดสนิท มีทหาร 2 นาย ยืนยามระวังตรงอยู่สองข้าง ประตูหนาหนัก ทำด้วยทองแดง หล่อนูนด้วยลวดลายดอกคิม อิล ซุง ประตูมี 4 บาน หนักบานละ 4 ตัน รวมเบ็ดเสร็จหนัก 16 ตัน ได้รับการขัดถูอย่างดีเป็นเงาวาววับ ห่วงทองแดงหนาที่ห้อยอยู่ตรงสลักประตูนั้น กว้างราว 8 นิ้ว
ไกด์ประจำพิพิธภัณฑ์ทำเก๋ โดยแกล้งส่งถุงมือให้หัวหน้าคณะเราสวม กันเหงื่อจากฝามือจะไปทำให้ประตูเขาหมอง แล้วเชิญให้ลองผลักประตูดู ฟองน้ำเอาใจช่วยจะแย่ กลัวเธอไม่มีแรงเปิด ที่แท้ พอขยับลูกบิดปุ๊บ ประตูก็เผยปั๊บเลย ด้วยระบบอัตโนมัติที่ติดตั้งไว้
ถึงด่านแรก ก็ถูกเชิญไปที่มุมห้อง เพื่อรับรองเท้าผ้าพื้นสักหลาด ใส่ทับรองเท้าของเราอีกที ทั้งนี้เพื่อไม่ให้พื้นหินอ่อนสีต่างๆ ที่ปูเรียงไว้อย่างงดงามนั้นถูกย่ำยีขีดครูดจากรองเท้าของใครต่อใครจนเสียโฉม
1
ด่านที่ 2 เป็นประตูแก้วเจียระไนกรอบทอง 4 บานเช่นกัน ที่เปิดไปสู่ห้องโถงแสดงของที่ระลึกชิ้นที่ไม่สู้สำคัญนัก ต่อจากห้องนี้ จะมีประตูแก้วเจียระไนสีน้ำเงินจาง 2 บาน มีลวดลายละเอียดยิ่งกว่าประตูแรก แกะสลักเป็นรูปนกฟินิกซ์ 2 ตัวบินดิ่งหันหน้าเข้าหากัน การแกะสลักทำได้อ่อนช้อยมาก... แล้วเราก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่สุดของพิพิธภัณฑ์ ที่ชั้นแรก
1
ด่านที่ 2 ของพิพิธภัณฑ์มิตรภาพ
ขอบคุณ​ภาพจาก edition.​cnn.com
ห้องโถงแสดงของที่ระลึกจากนานาชาตินี้เป็นห้องโล่ง มีเนื้อที่กว้างยาวเท่ากับตัวตึก ปูพรมสีสดบนพื้นหินอ่อนอีกที เพดานเป็นโคมระย้าเจียระไนแวววับ (ประเทศนี้ มีโคมระย้าเจียระไนสวยๆ มากจริงๆ และมีแบบหลากหลายไม่ซ้ำกันด้วย)
หลายคนหยุดพินิจดูนาฬิกาคู่ ที่ตั้งต้อนรับเราในวินาทีแรกที่ก้าวเข้ามา เป็นนาฬิกากรอบทองฝังอยู่ในไม้ทั้งท่อน แกะสลักด้วยลวดลายละเอียดแปลกตา ไกลออกไปปลายสุดของห้องโถง เป็นแท่นวางรูปปั้นหินอ่อนใหญ่ขนาด 3 เท่าตัวจริงของท่านประธานาธิบดี ในท่านั่งอยู่บนโซฟา มีกระเช้าดอกไม้ประดิษฐ์ผูกแซมโบว์แดงและชมพูหลายกระเช้า วางประดับอยู่
รอบๆ แท่น ผนังทั้ง 2 ด้าน ทำเป็นตู้โชว์วางของสวยๆ งามๆ ฝังลีกเข้าไปในผนัง
1
คุณลองอ่านโน้ตที่นายเขียนย่อ (พร้อมคอมเม้นต์ส่วนตัว) ตามลมปากไกด์สักนิด
 
“…ห้องนี้ 80 ผู้นำใหญ่ๆ เคยมาเยือนแล้ว พร้อมกับนำของขวัญมามอบให้ท่านประธานาธิบดีไว้เป็นที่ระลึก เช่น พรมทอเป็นภาพติดผนัง (Tapestry) รูปกำแพงเมืองจีน - สวยยิ่งใหญ่! /
แจกันกระเบื้องเคลือบขนาดสูงท่วมหัวหลายใบ จากพรรคคอมมูนิสต์จีน และฉากไหมปักรูปกิ่งไผ่ 6 บาน – แจ๋ว! /
1
งาช้างแกะสลักละเอียดละออเป็นรูป ‘บ้านเกิดที่มังญงเด’ โดยพรรคคอมมูนิสต์จีนเช่นกัน - เยี่ยม! /
ดาบเสี้ยวพระจันทร์ จาก Constantin Chernenko (อดีตเลขาธิการพรรคคอมมูนิสต์รัสเซีย) - ปิ๊ง ๆ! /
มูกาเบ้แห่งซิมบับเว ให้รูปปั้นช้าง - น่ารักดี! /
งาช้างคู่มีขอบทองขาว ของโฮจิมินท์ - วิเศษ! /
ชุดแก้วและเหยือกทองบรอนซ์ฝังโมเสค เพื่อการเสพว้อดก้า มอบโดยเบรจเนฟ (อดีตเลขาธิการพรรคคอมมูนิสต์รัสเซีย) - น่าเมาจัง! /
เซีย อุล ฮัค แห่งปากีสถาน ให้พรมของอาลาดิน - สวยจนตาลาย! /
ยัสเซอร์ อาราฟัด (ผู้นำขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ – P.L.O.) มอบปราสาทจำลองฝังมุก - วิมานบนดิน!…
และมีครุยปริญญาดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียที่มอบแด่ท่านผู้นำด้วย!... ”
ชั้น 2 – ชั้น 6 มีห้องโชว์รวม 60 ห้องใหญ่ แบ่งเป็นแผนกของที่ระลึกจากเอเชีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกา โอเชียเนีย (คือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิค) และของขวัญอีกมากมายจากองค์กรเอกชนของนานาชาติ
ของที่ระลึกตั้ง 3 หมื่นกว่าชิ้น ที่แสดงไว้ใน 60 ห้องอย่างนี้ ถ้าจะดูหมดคงกินเวลาหลายวัน คุณลองตามฟองน้ำมาดูเพียงบางห้องที่น่าสนใจ ดีไหม?
มีบันไดหินอ่อนสีชมพูโค้งเป็นรูปวงกลม มีทางขึ้น 2 ข้างจากฐานบันไดซึ่งเป็นสีฟ้าจางๆ แล้วโค้งไปจนจบเจอกันที่ชั้น 3 (ไม่ให้แวะชั้น 2) ตรงกลางบันไดโค้ง มีโคมแก้วเจียระไนเป็นช่อมหึมา เปิดไฟสว่างจัด จนสะท้อนแสงจับวาวแววอยู่ที่เพดานหินอ่อน ฟองน้ำเข้าใจว่า บันไดนี้คงเป็นบันไดต้องห้ามสำหรับแขกทั่วไป เพราะมีเพียงคณะเราเท่านั้น ที่ถูกพาขึ้นลิฟต์มายืนชมความงดงามของมันอยู่ที่ชั้น 3 เลย ไม่ได้เดินไต่ขึ้นมา เราชื่นชมในความงดงามของของบันไดจนอิ่มตาแล้ว ไกด์ก็พาเดินกลับเข้าไปข้างใน...
แผนกของที่ระลึกจากเอเชียเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุด เพราะเป็นทวีปใหญ่ และประเทศใหญ่ซึ่งเป็นมหามิตรของเขา คือจีนกับรัสเซียรวมอยู่ที่แผนกนี้ นับว่า International Friendship Exhibition แห่งนี้เป็นที่รวมของขวัญชั้นยอดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ฟองน้ำใคร่รู้นักว่า มีของขวัญอะไร ของใครบ้างจากเมืองไทย... แต่ก่อนถึงห้องที่โชว์ของขวัญของไทย เราต้องผ่านอีกหลายห้อง มีของสวยๆ ที่ฟองน้ำติดใจ เช่น ชุดเงินจากเจ้าผู้ครองนครของคูเวต ถ้วยหยกขาวจากพม่าของนายพลเนวิน พรมเปอร์เซียและหีบงาช้างฝังพลอยแบบโมเสคจากโคไมนีแห่งอิหร่าน และโต๊ะทำงานกับโต๊ะนั่งเล่นฝังมุกชุดใหญ่ ฝีมือละเอียดจากซีเรีย
สำหรับญี่ปุ่น เขาจัดห้องใหญ่ไว้ต่างหาก เพราะของจากญี่ปุ่นนั้นมีมากมาย ตั้งแต่ของเล่น เช่น รถจักรยาน รถไฟฟ้าเล็ก ๆ ไปจนถึงเครื่องไฟฟ้านานาชนิด และไข่มุก ทั้งนี้ มีองค์กรเอกชนของญี่ปุ่นมาเยือนเกาหลีเหนือกันมากในระยะหลังๆ นี้
ผ่านตู้โชว์ของนับ 10 ชิ้นจากเจ้าสีหนุ ผู้มาเยือนเปียงยางหลายหนแล้ว เราก็ตรงไปชมของจากเมืองไทย ของขวัญของไทยเราสวยสู้เขาได้สบายมาก รวมแล้วเกือบ 100 ชิ้น ด้วยมีของจากบริษัทที่ติดต่อการค้ากับเกาหลีเหนืออยู่ไม่น้อย เท่าที่ฟองน้ำจำได้ มีงาช้างคู่งาม 1 คู่ ถาดเงิน เครื่องหนังจระเข้ เครื่องเขิน เป็นต้น ในส่วนของภาครัฐบาล เราเห็นหีบบุหรี่ถมเงินจากท่านนายกเปรม เห็นไม้แกะสลักรูปสมเด็จพระนเรศวรทรงทำยุทธหัตถี จากคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ติดคำบรรยายโดยฝ่ายเกาหลีเองว่า “Struggle for Independence”
มีของชิ้นใหญ่จากประเทศพี่เบิ้ม เก็บไว้ที่ชั้น 3 ได้แก่ รถเก๋งสีดำมันดูโอ่อ่า 3 คัน จอดสง่าอยู่เรียงกัน มีโซ่ไหมสีทองกั้นไว้ให้พ้นรัศมีมือผู้มาชม คันแรก คือของกำนัลจากสตาลิน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1950 คันถัดไป เป็นของขวัญจากมาเลนคอฟ ผู้สืบตำแหน่งประธานสภาโซเวียตต่อจากเลนิน ให้ไว้เมื่อ 9 พฤศจิกายน 1953 และคันสุดท้าย จากนิโคไล บุลกานิน ผู้บัญชาการประชากลาโหมภายใต้รัฐบาลสตาลิน ซึ่งมอบไว้เป็นที่ระลึก เมื่อเดือนมิถุนายน 1955
ส่วนของที่ระลึกจากมิตรประเทศแถบยุโรปตะวันออก ได้แก่ ถาดและถ้วยแก้วใส่คอนยัค (เหล้าหลังอาหารยอดนิยมของฝรั่งเศส) กับหีบบุหรี่ทองคำแท้จากติโต แห่งยูโกสลาเวีย แจกันแก้วเจียระไน และ เฟอร์ขนหมี จากนิโคไล เชาเชสกู แห่งรูมาเนีย ชุดตกปลา จากประธานาธิบดี ฮูซัค แห่งเชคโกสโลวาเกีย ถ้วยทรงสูงทำจากถ่านหินเกรดพิเศษ กับแจกันเจียระไน จาก จารูเซลสกี้แห่งโปแลนด์
ของขวัญจากประธานาธิบดีมิตแตรองด์แห่งฝรั่งเศส เป็นแจกันดอกไม้เจียระไนเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีของฝากจากรัสเซียเพิ่มเติมอีก เช่น วิทยุในตู้ไม้แบบโบราณของเบรจเนฟ หีบบุหรี่จากกอร์บาชอฟ เหรียญตราต่าง ๆ จากนายกรัฐมนตรีโคซีกิน และเปียโนตัวใหญ่
จากบุลกานิน อีกด้วย
ของที่ระลึกจากประเทศต่างๆ ที่มอบให้ท่านผู้นำ
ขอบคุณภาพจาก @Schmerler (ภาพบน) และ koreanconsult.com (ภาพล่าง)
ดูของสวยๆ งามๆ ที่หาดูได้ยากอย่างนี้มันก็เพลินดี แต่ก็เมื่อยแสนเมื่อย เพราะวันนี้ เราเดินกันหลายกิโลแล้ว ตั้งแต่ทัวร์วัดพุทธเมื่อตอนเช้า นายจึงบอกว่ารู้สีกเหมือนพระมาโปรด เมื่อเขาพาออกไปนั่งชมวิวเย็นสบายที่เฉลียงใหญ่ของชั้นที่ 6 พอเดินมาถึงเฉลียง นายก็นั่งแปะลงไปเลย พี่ๆ น้องๆ คนอื่นในคณะก็ทำอาการแบบเดียวกัน
บนโต๊ะรับแขกตรงหน้าเรา มีพานใส่ท้อฟฟี่และบิสกิตห่อกระดาษแก้วแยกเป็นอันๆ (แบบเดียวกับทอฟฟี่ที่โรงละครเปียงยาง) ตั้งไว้ให้บริการตนเอง นายยิ่งรู้สึกดีเป็นพิเศษ เมื่อสาวชุดเกาหลีนำกาแฟดำร้อนๆ ควันขึ้นฉุย และรสเข้มข้นมาเสิร์ฟ นี่เป็นสิ่งที่นายกับคุณปุ้มโหยหามาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยแล้ว ฟองน้ำเห็นนายทำท่าจิบกาแฟสบายอารมณ์อยู่ ตาก็มองวิวสวยอันกอร์ปด้วยขุนเขาที่ขนาบอยู่ 2 ข้าง เบื้องล่างเป็นธารน้ำตกและดอกไม้สะพรั่งแล้ว ให้อิจฉานายเป็นกำลัง...
อันกาแฟรสเด็ดแบบนี้ไม่เห็นมีเสิร์ฟในที่ทั่วๆ ไป เพราะเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ คนเกาหลีทั่วไปจะดื่มชาโสมหรือน้ำอัดลมกัน ส่วนเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์นั้น ที่นิยมดื่มคือ เบียร์ดำและเหล้าโสม ส่วนเหล้าองุ่นก็มีดื่มเหมือนกัน เพราะเขาปลูกองุ่นเองได้ แต่มักทำเป็นเหล้าองุ่นชนิดหวานสำหรับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เหล้าองุ่นที่ถือว่าอร่อย คือเหล้าองุ่นแดงที่ผลิตจากองุ่นป่า ที่พวกเราได้ลิ้มรสเมื่อวันที่ท่านชาเลี้ยงต้อนรับที่บ้านมารัม แต่องุ่นป่าหายาก ผลิตเหล้าได้ในจำนวนจำกัด จึงออกจะหาซื้อได้ยากอยู่สักหน่อย
เห็นมีเฮลิคอปเตอร์ขึ้น – ลง ที่ยอดเขาตลอดเวลา และบินวนเหนือพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย ฟองน้ำเข้าใจเอาเองว่า คงจะมีค่ายทหารอยู่ใกล้ๆ (ถ้าถามตุ้ยนุ้ยก็คงไม่มีคำตอบให้) หรืออาจเป็นหน่วยอารักขาพิพิธภัณฑ์ก็เป็นได้
หลังจากได้พักเอาแรงแล้ว เราก็ไต่บันไดลงมาชมของงามๆ กันต่อ ของขวัญจากบางประเทศนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต จึงเอามาตั้งโชว์ที่นี่ไม่ได้ อาทิเช่น กวาง หมี ปลาหลายชนิด ต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งไม้ยืนต้นและไม้ดอกไม้ประดับ ของขวัญของจริงอยู่ในสวนสัตว์บ้าง สถานีประมงบ้าง และในสวนพฤกษชาติก็มี เขาถ่ายรูปของทุกชิ้นที่ได้รับมาติดโชว์แทนอย่างไม่ตกหล่นชิ้นใดเลย
อีกมุมหนึ่งภายในพิพิธภัณฑ์มิตรภาพ
ขอบคุณภาพจาก Grete Howard LRPS
ของจากมิตรประเทศทางยุโรปส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง มีชุดชาเซรามิคสีน้ำเงิน จากนายกรัฐมนตรี โดมินิค มินต้อฟ แห่งเกาะมอลต้านั้นสวยเฉียบจริงๆ ของสวิส เป็นนาฬิกาหรูหลายแบบ ทั้งแบบตั้งโชว์และนาฬิกาข้อมือมองแล้วเตะตาหลายเรือน ที่เด่นสุดอีกชิ้นหนึ่งคือ ที่เขี่ยบุหรี่ประดับทับทิมจาก ชิปคอฟ ผู้นำบุลกาเรีย
เลยไปที่แผนกของที่ระลึกจากแอฟริกากันบ้าง ก็มีพวกเครื่องหนัง ผ้าปัก ไม้แกะสลัก เครื่องทองแดงและบรอนซ์ เครื่องจักสาน และของป่า รวมทั้งงาช้างดำมากมาย ฟองน้ำเพิ่งได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับชื่อของประเทศในทวีปแอฟริกาที่ไม่เคยรู้จักอีกหลายประเทศ...
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มอบจระเข้สตัฟฟ์ตัวใหญ่ เก้าอี้ไม้ดำหลายแบบหลายตัวจากประเทศกานา มีเบาะที่นั่งและพนักพิงหลังทำด้วยหนังงูล้วน ๆ ประธานาธิบดี เอยา เดมา แห่งประเทศโตโก ส่งโต๊ะไม้แกะสลักไว้นั่งเล่นมา 2 ชุดใหญ่ ของมูบารัคแห่งอียิปต์เป็นเหยือกทองเหลือง สลักเสลาละเอียดงดงาม ยังมีเชิงเทียนทำด้วยงาช้างจากเอธิโอเปีย อานหนังสำหรับวางบนหลังอูฐจากแอลจีเรียและของขวัญจาก กัดดาฟี คนดังแห่งลิเบีย เป็นแจกันเงินใบใหญ่มาก...
ความที่มีห้องให้ชมมากมาย เพื่อประหยัดไฟ เขาจึงตั้งระบบไฟปิดอัตโนมัติไว้ทุกห้อง โดยซ่อนปุ่มเหยียบให้ไฟปิด – เปิดเอาไว้ที่ใกล้ประตู ก่อนออกจากห้อง ไกด์จะเหยียบปุ่มนี้ แล้วอีกภายใน 1 นาที ไฟก็จะดับอัตโนมัติ ตอนหนี่ง ขณะยืนดูเพลินๆ อยู่ ก็มีคนเผลอไปเหยียบปุ่มนี้เข้า ไฟในห้องก็ดับมืดหมด จนเราตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ของที่นายติดใจ เห็นสวยมั่ง แปลกมั่ง เลยมัวยืนดูจนไฟดับอัตโนมัติ ต้องวิ่งตามพรรคพวกออกไปแทบไม่ทันนั้นมีหลายชิ้น ตัวอย่างเช่น ภาพวิวสีสดทำจากปีกผีเสื้อจริงๆ นับแสนตัว เป็นของขวัญจากประเทศแซมเบีย ถาดเปลือกหอยมุกสีเขียวหยก พื้นกลางของถาดตกแต่งด้วยหอยหายาก เป็นรูปช่อดอกไม้หลายสี ถาดนี้เดินทางมาจากสาธารณรัฐซีเชลส์ (Seyshelles)
ขึ้นไปอีกชั้นหนี่ง มีของแปลกจากประเทศรวันดา (Rwanda - อยู่ในแอฟริกากลาง) คือเปลถักสำหรับเด็กอ่อน มีป้ายคำหวานติดหน้าเปล แปลได้ใจความว่า “การเกิดของสหาย คิม อิล ซุง แสงสูรย์แห่งมนุษยชาติ”
เด่นที่สุดในบรรดางาช้างอภินันทนาการ คืองาช้างคู่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่งมาจากจักรพรรดิ์โบกัสซ่าแห่งแอฟริกากลาง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1977 งาแต่ละข้างยาว 2.5 เมตร หนักถึง 55 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังมีของกระจุกกระจิกอีกมากมาย เช่น กระเป๋าเอกสารทำด้วยหนังจระเข้จากฟิเดล คาสโตรแห่งคิวบา หมากรุกชุดสวย และเครื่องเล่นดนตรีบันโจ (Banjo)จากเม็กซิโก ผ้าไหมผืนงามจากกานา ภาพเขียนสีรูปใบเมเปิ้ลจากแคนาดา นกเขาคู่เป็นกระเบื้องเคลือบจากอิตาลี และของสหรัฐอเมริกานั้น คือ หนังสือแผนที่ Atlas 1 ชุดใหญ่
ฟองน้ำสังเกตได้อย่างหนึ่งคือ ไกด์หญิงล้วนของพิพิธภัณฑ์นี้ขยันกันทุกคน พอว่างจากงาน พวกเธอเป็นต้องเดินกางตำรา ท่องข้อความที่จะต้องพากย์ให้แขกชาวเกาหลีด้วยกันฟัง โดยไม่ดูดายอยู่เฉยๆ เธอเหล่านี้จะเดินท่องบทอยู่ตามระเบียงด้านในที่ติดบันได คงเป็นเพราะของที่โชว์มีมากชิ้น และเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา ของแต่ละชิ้น ก็คงมีประวัติลึกซึ้งยืดยาว ที่พวกเธอจะต้องท้าวความให้เห็นกระจ่างถึงสัมพันธภาพกับประเทศผู้มอบให้กระมัง
สำหรับพวกเรานั้น เดินชมกันเองอย่างค่อนข้างเร็วเพราะเรามีเวลาจำกัด ช่วงหลังๆ จึงไม่ได้ใช้บริการไกด์แล้ว
เรามานั่งอย่างหมดแรงข้าวต้มกันที่ห้องโถงชั้นล่าง ใกล้ประตูออก ระหว่างรอล่ามแปลข้อความที่เราเขียนไว้ในสมุดเยี่ยม จากนั้นก็เดินต่อไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึกของ คิม จอง อิล ซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่ง
 
ก่อนออกพ้นจากอาคารหลังใหญ่นี้ หลายคนอยากถ่ายรูปกับประตูทองแดงหนัก 16 ตัน เป็นที่ระลึก แต่ทหาร 2 หน่อนั่นโบกมือห้ามถ่าย เมื่อเห็นเราทำหน้าเสียดายกัน ตุ้ยนุ้ยจึงเข้าไปเจรจาต่อรองให้ ผลคือ ทหารว่าอยากถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ เฉพาะประตูเท่านั้น แต่ห้ามถ่ายติดทหารนะ!
พิพิธภัณฑ์มิตรภาพ ตึกของที่ระลึกของ คิม จอง อิล
ขอบคุณภาพจาก ttnotes.com
ตึก คิม จอง อิล เล็กกว่า มีเพียง 9 ห้องใหญ่ เก็บของขวัญ 6,302 ชิ้น จาก 124 ประเทศ รวมทั้งจากไทยด้วย ชิ้นหนึ่งคือ ภาพถ่ายนกยูงขาว 4 ตัว ส่งมาจากเมืองไทยเมื่อ 26 มีนาคม 1981 แต่ไม่ได้มีป้ายบอกว่าจากใคร
ในห้องโถงใหญ่ ติดรูป คิม จอง อิล กำลังยืนชี้ข้อความในหนังสือเล่มหนึ่งให้ประธานาธิบดีดู ที่ผนัง 3 ด้าน มีภาพ คิม จอง อิล กับข้อความที่กล่าวชื่นชมท่าน ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ในหลายประเทศ ใส่กรอบเรียงรายไว้ ในห้องของที่ระลึก ที่นายติดใจมากกว่าเพื่อนคือ ของขวัญจากประเทศโคลัมเบีย เป็นนกยูงเจียระไนสวยสง่า และประณีตบอบบาง กำลังกางปีกแผ่เห็นประกายวับอยู่ในแสงสปอตไลท์
1
ก่อนเดินกลับไปขึ้นรถ เราแวะที่จุดสุดท้าย ชมของขวัญชิ้นโตที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง เป็นของขวัญจากคนใหญ่คนโตของ 2 ประเทศ ส่งมาเพื่อแสดงความยินดีในการที่เกาหลีเหนือได้รับอิสรภาพ หลังสิ้นสุด “สงครามอเมริกัน” กับเกาหลีใต้ ซึ่งก็คือรถไฟ 2 ขบวนที่จอดอยู่บนราง เขาทำเป็นสถานีเปิดโล่ง เป็นกระจกเสีย 2 ด้าน หลังคาทำชายคากว้างกันฝนและหิมะ
ขบวนรถไฟ “มอสโคว์ – เปียงยาง” นำมามอบโดยสตาลิน เมื่อเดือนสิงหาคม 1945
มี 1 โบกี้ ส่วนขบวน “ปักกิ่ง – เปียงยาง” จาก เหมา เจ๋อ ตุง นั้น แล่นมาสู่จุดหมายปลายทาง ณ สถานีพิเศษแห่งนี้ทีหลัง คือเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1953 มีความยาวเป็น 2 เท่าของรถไฟรัสเซีย คือมี 2 โบกี้
ในรถขากลับไปโรงแรมเมียวญังซัน นายบ่นว่า ตาปลาคู่เวรคู่กรรมที่เท้านายเริ่มทำพิษเอาแล้ว นายจึงชักงอแงจะไม่ยอมไปปีนเขาบ่ายนี้เสียแล้ว แต่เมื่อนายเปรยข้อความอันหลังขึ้นมาดังๆ ตุ้ยนุ้ยก็หันขวับมาทันที บอกว่าไม่ได้ต้องไปด้วยกัน (เพราะเขาแยกร่างมาคุมนายอยู่ที่โรงแรมไม่ได้แน่) พลางชักแม่น้ำทั้ง 5 มาหลอกล่อเชียร์ให้นายมีเรี่ยวแรงว่า อันเกาหลีเรานี้มีชื่อด้านการท่องเที่ยวก็ตรงที่มีเขาสวย ถ้าไม่ลองปีนดูเองแล้วจะรู้ว่าสวยได้ยังไง...
ถึงอย่างไรนายก็ต้องยอมเขาอยู่ดีนั่นแหละ เพียงแต่ ‘ลองขอดู’ เผื่อฟลุก และขอบ่นแก้หิวหน่อยเดียวเอง!
 
กลับมาถึงโรงแรมเมื่อบ่ายโมง ทานกลางวันแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปแต่งตัวทะมัดทะแมงเพื่อการปีนเขาต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป.......

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา