20 ก.ค. 2022 เวลา 01:18 • ไลฟ์สไตล์
“อย่าหลงโลกเลย
ความสุขในโลกเป็นน้ำตาลเคลือบยาพิษ
ยาพิษนั้นจะฆ่าเรา ถึงวันหนึ่งมันฆ่าเราแน่นอน”
“ … ความสุข ความสุขของโลกๆ ก็มี แต่เป็นความสุขที่เจือทุกข์
ความสุขของสมาธิก็มี อย่างขณิกสมาธิใช่ไหม เราดูจิตๆ ก็ความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ
หรือประณีตขึ้นไป ความสุขในฌาน
ในรูปฌานก็มีความสุขเป็นลำดับไป
มันจะเห็นทีแรกวิตกวิจารที่ว่าดีก็ยังเป็นภาระ
ปีติที่ว่าดีก็เป็นภาระ
ความสุขก็ยังเป็นภาระ ไม่ใช่ของดี
เป็นอุเบกขาขึ้นมา ยังมีร่างกายอยู่ ก็มีภาระ
ทิ้งกายก็เข้าอรูป จิตใจก็มีความสุขมีความสงบด้วยสมาธิ
ตรงฌาน มันมีจุดที่พลิกผันนิดเดียว
ถ้าได้ฌานที่สองมาแล้ว จะได้ตัวผู้รู้
ถ้าได้ฌานที่ห้า หก เจ็ด แปด ซึ่งเป็นอรูปฌาน
ถอยออกจากฌานแล้วจะแยกขันธ์ได้อัตโนมัติเลย
แล้วการภาวนา การเจริญปัญญามันเริ่มตรงที่เรามีผู้รู้
แล้วสามารถแยกขันธ์ได้
แล้วก็จะเห็นธาตุเห็นขันธ์แต่ละอันๆ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ไป
เวลาเราเจริญปัญญา บางทีจิตมันเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรบางอย่าง ยังไม่เกิดอริยมรรคหรอก เราภาวนาไป แล้วมันเกิดเข้าใจอะไรมาบางอย่าง จิตมีความสุข
ฉะนั้นเวลาเจริญปัญญา ช่วงเจริญปัญญาบางทีทุกข์ เห็นแต่ทุกข์ๆๆๆๆ แล้วถึงจุดหนึ่งพอเกิดความรู้ถูก ความเข้าใจถูกบางอย่างขึ้น มันมีความสุขที่เกิดจากการเจริญปัญญาขึ้นมาอีก
แต่มันคนละแบบกับความสุขในฌาน
คนละแบบกับความสุขในขณิกสมาธิ
มันผุดขึ้น ไม่เหมือนกัน แต่ว่ามีความสุขไหม มี
แล้วความสุขตอนเดินปัญญา มันเป็นความอิ่มอกอิ่มใจ เป็นความอิ่มอกอิ่มใจ ไม่ใช่ความเคลิบเคลิ้ม เพลินๆ แบบความสุขของฌาน
แล้วเวลาที่เกิดอริยมรรค เกิดอริยผล บางคนจิตเข้าฌาน มีความสุขมันเด่น
เวลาเกิดมรรคผล จิตต้องเข้าฌานทุกคน ถ้าเราไม่เคยเข้าฌาน ไม่เป็นไร ภาวนาของเราไปเรื่อยๆ ตอนที่จะเกิดอริยมรรค อริยผล จิตเข้าฌานโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เจตนาเข้า เข้าเองเลย
ฉะนั้นเราดูๆ ของเราอยู่ รวมปุ๊บลงไปเลย มันเข้าเอง บางทีเข้าถึงอรูปเลยก็ได้ แล้วก็เกิดกระบวนการที่จิตตัดสินความรู้ จิตแหวกอาสวกิเลสที่ห่อหุ้มอยู่ออก จิตก็หลุดจากอาสวะ
จิตหลุดพ้นจากอาสวะด้วยกำลังของอริยมรรค
อริยมรรคก็ไปทำลายสังโยชน์
กิเลสในเบื้องลึกที่ซ่อนเร้นอยู่
ทำลายอาสวะบางส่วนไป ทำลายสังโยชน์บางส่วนไป
ตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผล
บางทีบางคนบางท่านจิตเป็นอุเบกขา
บางท่านมีความสุขประกอบด้วย
เพราะฉะนั้นตอนที่เกิดมรรคผล มีเวทนา 2 ชนิด
คือมีความสุข บางท่านมีความสุขเกิดขึ้น
บางท่านจิตเป็นอุเบกขา
ไม่เหมือนกัน เป็นลีลาเฉพาะตัว
แต่การล้างกิเลสนั้นเหมือนกัน
พอเราได้มรรคได้ผลแล้ว เราจะสัมผัสพระนิพพาน
ตอนที่บรรลุอริยมรรค อริยผล จิตมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว
ไม่ใช่มีขันธ์ 5 เป็นอารมณ์ ไม่ได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์
มีนิพพานเป็นอารมณ์
สัมผัสนิพพานครั้งแรก บางทีทรงจำไว้ไม่อยู่
สัมผัสครั้งที่สอง ที่สามอะไรนี่ ยังไม่ชำนาญ
4 ครั้งก็จะชำนาญ
แล้วเวลาต้องการความสงบสุข
ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทามี อนาคามี
อาจจะดูลงในขันธ์ ดูลงในกาย ดูลงในใจ
เห็นไตรลักษณ์แล้วก็วาง แล้วสัมผัสพระนิพพาน
หรือจะดูร่างกายหายใจอยู่ ดูแล้วก็วาง
วางกายวางจิตลงไป สัมผัสพระนิพพาน
หรือดูจิตเอา เห็นตัณหาทั้งหลาย
จิตวางตัณหา ละตัณหาลงไป จิตก็ถึงพระนิพพาน
อันนี้ต้องเคยถึงแล้ว
ถ้าไม่เคยถึงดูอย่างนี้ก็ไม่ถึงหรอก
ต้องเป็นอริยบุคคล
ถ้าเป็นพระอรหันต์ ต้องการสัมผัสพระนิพพานก็มนสิการถึง นึกถึง ไม่ต้องไปผ่านวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจะนึกถึงพระนิพพาน จะต้องผ่านวิปัสสนาอีกทีหนึ่ง มีความสุขๆ
เวลาจิตสัมผัสพระนิพพาน ไม่จำเป็นต้องเข้าฌาน อยู่ในโลกข้างนอกนี้ก็สัมผัสได้ ไม่มีการเข้า ไม่มีการออก ถ้ายังมีการเข้ามีการออก ยังไม่ใช่ของจริงหรอก
ฉะนั้นความสุขอะไรก็ไม่เหมือนความสุขของพระนิพพาน
เป็นความสุขที่พ้นจากความอยาก พ้นตัณหา
พ้นเครื่องเสียดแทงทั้งหลาย
เพราะไม่มีรูป ไม่มีนามอะไร วางไปแล้ว
รูปนามเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจ
จิตใจก็สงบสุข
ดูลงในกาย กายก็ว่าง
ดูโลกข้างนอก โลกข้างนอกก็ว่าง
ดูจิตก็ว่าง แต่จะไม่ไปหมายรู้จิต
หมายรู้จิตก็ทำงานขึ้นมา
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะว่างเสมอกันหมด
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อไว้ว่า เมื่อไรที่เธอเห็นจิตกับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกัน ก็จะเข้าถึงพระนิพพาน
จิตกับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่
อะไรคือธรรมชาติที่แวดล้อมจิตอยู่
กายกับโลกข้างนอก
ฉะนั้นจุดนั้น กายกับโลกข้างนอกก็ว่าง จิตก็ว่างเสมอกัน เป็นอันเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกเป็นสอง เป็นภาวะที่เป็นหนึ่ง ท่านถึงเรียกว่าจิตหนึ่ง เรียกว่าธรรมหนึ่ง เป็นธรรมอันเอก เป็นความสุข
ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ภาวนา เบื้องต้นก็อย่าหลงโลก บอกแล้วว่าความสุขในโลกเป็นน้ำตาลที่เคลือบยาพิษเอาไว้ แล้วยาพิษร้ายแรง คือทำให้เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่รอด
น้ำตาลหวานๆ คืออะไร
คือกามคุณอารมณ์ทั้งหลาย
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรที่น่าเพลิดเพลินทั้งหลาย
ความสุขจอมปลอมทั้งหลายเอาไว้หลอกคนโง่ให้หลงอยู่ แต่ผู้รู้ไม่ติดข้อง สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของมาร เป็นอาวุธของมารในการที่จะจับพวกเราเอาไว้ในอำนาจ คือกามนี่ล่ะ เครื่องมือของมาร จะจับเราเอาไว้
แล้วสัตว์โลกก็ถูกมารนี้ล่ะจับเอาไว้ ดิ้นรนแสวงหาความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทั้งหลาย ดิ้นแสวงหากันไป สุดท้ายทุกอย่างก็ว่างเปล่า
มีเงิน สุดท้ายเงินก็เป็นของคนอื่น
มีบ้านสุดท้ายบ้านก็เป็นของคนอื่น
มีลูกมีเมีย สุดท้ายก็เป็นของคนอื่น
ไม่ใช่ของเราอยู่ดี
กระทั่งร่างกายนี้ ของเราๆ
สุดท้ายก็ต้องถูกคนเอาไปเผาทิ้ง
มันว่างเปล่าไปหมด เรื่องของโลกหาสาระไม่ได้
1
เมื่อเรามีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ลงมือแสวงหาความสุขที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเป็นลำดับๆ ไป
ความสุขจากการฝึกจิตให้สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ความสุขของสมาธิ
ความสุขจากการที่จิตมันเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกอะไรพวกนี้
มีความสุขผุดขึ้นมา เป็นความสุขจากการเจริญปัญญา
ถ้าความสุขจากการสัมผัสพระนิพพาน อันนั้นเป็นบรมสุข เป็นความสุขที่ไม่มีเครื่องเสียดแทง ความสุขของสมาธิ ยังเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน
อย่างพรหมทั้งหลาย พรหมจำนวนมากเลย อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อรู้หรอก หลวงพ่ออ่านมา พรหมจำนวนมาก พอจะตายจากพรหมที่ว่ามีความสุข ส่วนมากไปอบาย ทำกรรมอะไรไว้ ลงมารับผล
ตอนเข้าฌานตาย รอดออกไป พอหมดกำลังของฌานมักจะลงอบาย ไม่ได้ดูถูกพรหม พรหมเขาก็ดีของเขาล่ะ แต่ว่ามันยังไม่พ้นทุกข์
ที่เทศน์ให้พวกเราฟังวันนี้เพื่อจะบอกพวกเราว่าอย่าหลงโลกเลย ความสุขในโลกเป็นน้ำตาลเคลือบยาพิษ ยาพิษนั้นจะฆ่าเรา ถึงวันหนึ่งมันฆ่าเราแน่นอน …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
10 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by :Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา