19 ก.ค. 2022 เวลา 14:18 • ปรัชญา
“ถ้าตามใจก็คือหย่อนไป
ถ้าพยายามไปดับกิเลส ไปละกิเลส อันนี้ตึงไป”
“ … มีสติอ่านจิตอ่านใจตัวเองเนืองๆ ไว้
จิตก็จะเดินเข้าไปสู่ทางสายกลาง
เราคอยมีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเองเรื่อยๆ ไป
จิตโลภขึ้นมาก็รู้ จิตไม่โลภก็รู้
จิตโกรธก็รู้ จิตไม่โกรธก็รู้
จิตหลงก็รู้ จิตรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ก็รู้
จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตหดหู่อยู่ก็รู้
รู้มันไปเนืองๆ แล้วองค์มรรคจะเจริญขึ้นมาทั้งหมดเลย
แค่รู้ทันจิตตัวเองเท่านั้น องค์มรรคทั้งหมดก็จะเจริญได้
เมื่อเจริญเต็มที่ เรียกว่าเราเดินอยู่ในทางสายกลางแล้ว
ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
อย่างอกุศลเกิดในใจเรา ห้ามมันไม่ได้
แต่มันผลักดันให้เราคิดชั่วเรารู้ทัน
เราก็ไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว
กุศลเราก็เจริญ อกุศลมันก็ลดลงๆ
ไม่ตึง ไม่ตึงเกินไป
ตึงเกินไปเป็นอย่างไร
จะมาบอกจิตว่าห้ามคิดชั่ว ห้ามมีกิเลส อันนี้ตึงเกินไป
เพราะไม่มีใครทำได้ จิตมันเป็นอนัตตา
จิตมันจะปรุงกิเลส ใครจะไปห้ามได้
แต่เมื่อจิตมันปรุงกิเลสแล้ว ก็ใช้หลักที่พระพุทธเจ้าสอน
จิตมีกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ มีสติรู้ทัน
นี่คือทางสายกลาง
ถ้าบอกว่าห้ามจิตมีกิเลส อันนี้ตึงเกินไป
เป็นไปไม่ได้เลยเครียดจัดเลย
อย่างบางคนหนุ่มๆ บางคนตั้งใจจะไม่เสพกาม
บางคนเคร่งครัดมากจะไม่มาสเตอร์เบท
ไม่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แล้วก็เครียดมากเลย
ร่างกายมันมีฮอร์โมนเพศมันผลักดัน
แล้วใช้วิธีกดข่มเอาไว้ จะเป็นคนที่เครียด
อันนี้มันตึงเกินไป
ถ้าหย่อนไปก็คือเกิดราคะขึ้นมาก็สนองเลย
จะผิดลูกผิดเมียใครก็ไม่สนใจ นี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ฉะนั้นอย่างกิเลสเกิดขึ้นในใจเรา
เราต้องไม่ตึงไปแล้วก็ไม่หย่อนไป
หย่อนไปคือตามใจกิเลส
ตึงไปก็คือพยายามละกิเลส
กิเลสนั้นไม่ต้องละ
กิเลสอยู่ในสังขารขันธ์อยู่ในกองทุกข์
หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ไม่ใช่การละ
ฉะนั้นจิตมีราคะขึ้นมา ท่านถึงบอกว่า
จิตมีราคะให้รู้ว่ามีราคะ
ท่านไม่ได้สอนว่าจิตมีราคะให้ละเสีย
ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น
ถ้าให้ละเสียตึงไป เครียด แต่ท่านให้รู้
แล้วก็ไม่ได้ให้ตามใจ
ถ้าตามใจก็คือหย่อนไป
ถ้าพยายามไปดับกิเลส ไปละกิเลส อันนี้ตึงไป
ถ้ากิเลสเกิดรู้ว่ากิเลสเกิด
เห็นว่ากิเลสกับจิตมันก็คนละอันกัน
เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต
อยู่ชั่วคราวแล้วมันก็ดับไป
กิเลสเองก็เกิดดับๆ ได้ นี่ทางสายกลาง
ตรงที่เราเห็นกิเลสเกิดขึ้นแล้วมันดับปั๊บไป จิตมีสมาธิ
แล้วเราก็เห็นไปเนืองๆ เห็นบ่อยๆ
กิเลสเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ต่อไปปัญญามันก็เกิด มันจะรู้ว่าสภาวะทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อเกิดได้มันก็ดับได้ ไม่ต้องไปดับมันหรอก
มันดับของมันเอง เมื่อเหตุของมันหมดมันก็ดับ
เหตุอะไรที่ทำให้จิตเรามีราคะรุนแรง
กามวิตก การที่เราไปคิดในเรื่องกาม ราคะมันจะแรงขึ้นมา
พอเราฉลาดเราว่องไว
จิตเราจะไปคิดตามกาม เรารู้ทัน นี่มีกามวิตกแล้ว
สติรู้ทันปุ๊บ ไม่มีกามวิตก กามราคะก็งอกงามไม่ได้
นี่ทางสายกลาง มันเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล
กิเลสมันเป็นอนัตตา ละมันไม่ได้
เพราะฉะนั้นกิเลสเกิดท่านถึงไม่ได้บอกให้ละ
แต่ท่านให้เห็น ให้รู้มัน
ราคะเกิดรู้ว่ามีราคะ โทสะเกิดรู้ว่ามีโทสะ
โมหะเกิดรู้ว่ามีโมหะ รู้ไปเรื่อยๆ
ถ้าพยายามละ ตึงไป ถ้าตามใจมัน นี่หย่อนไป
ถ้าตามใจมันก็จะไปอบาย
ถ้าไปต้านมัน ไปต่อต้านมันก็ไม่ทำชั่วอะไร ไปสุคติได้
แต่ไม่ได้ไปมรรคผลนิพพาน
ไม่ถึง ไม่เกิดมรรคผล เพราะไม่ใช่ทางสายกลาง
ฉะนั้นเราฟังที่หลวงพ่อเทศน์วันนี้ ฟังให้ดีๆ
เรามีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเองไป
อกุศลอะไรเกิดให้รู้ไม่ใช่ให้ละ รู้เรื่อยๆ ไป
เรารู้เรื่อยๆ ไปอกุศลก็จะค่อยๆ หมดกำลัง
กุศลก็ค่อยๆ เจริญขึ้น
2
เราสั่งกุศลให้เจริญไม่ได้
เพราะกุศลเองก็ตกอยู่ใต้คำว่าอนัตตาเหมือนกัน
แต่การที่เราทำเหตุคือเรามีสติบ่อยๆ
กุศลมันเจริญขึ้นเอง อกุศลมันก็เสื่อมไปเอง
เพราะฉะนั้นเรามีสติอ่านจิตอ่านใจตัวเองเนืองๆ ไว้
จิตมันก็จะเดินเข้าไปสู่ทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน
พอจิตเดินอยู่ในทางสายกลาง
ในที่สุดองค์มรรคมันก็เต็มขึ้นมา
อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น
ที่เราเจริญมรรคนี่ไม่ใช่อริยมรรคหรอก
เขาเรียกว่าบุพพภาคมรรค
มันเป็นเบื้องต้นที่จะให้เกิดอริยมรรค
เวลาที่อริยมรรคเกิดนั้น เกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง
แวบเดียวเท่านั้น
ฉะนั้นบางท่านเกิดมรรคเกิดผล ไม่รู้เลย ไม่ทันมัน
เหมือนฟ้าแลบ เร็วกว่าฟ้าแลบอีก
แป๊บ กิเลสมันขาดสะบั้นไปแล้ว
บางท่านจิตท่านชำนาญในสมาธิ ตอนที่เกิดอริยมรรคท่านเห็นกระบวนการที่เกิดอริยมรรค อริยผล ทั้งหมดนี้ 7 ขณะ
แต่ถ้าจิตไม่ทรงฌานจริงจะไม่เห็นจริงหรอก
กิเลสมันขาดไปเลยไม่รู้หรอก
แล้วมันจะค่อยมาสังเกตที่หลัง
เขาเรียกมีปัจจเวกขณญาณ
มาตามรู้ทีหลังว่า อกุศลตัวนี้ขาดไปแล้ว ขาดเด็ดขาดไปแล้ว
ยังเหลือกิเลสตัวไหน เหลืออกุศลตัวไหน จะมารู้ทีหลัง
หลังจากเกิดกระบวนการของอริยมรรคอริยผลไปแล้ว
สรุปก็คืออ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ
อ่านใจไป จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้
จิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้
จิตหลงก็รู้ จิตรู้ตัวอยู่ก็รู้
จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตซึมเซาหดหู่ก็รู้
หัดรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ไป
แล้วมรรคทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นมา …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา