Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
11 ก.ค. 2022 เวลา 03:16 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้าเราคบคนชนิดไหน เราก็มีแนวโน้มจะเป็นคนชนิดนั้น”
“ … ภาวนานิดๆ หน่อยๆ บางทีสู้กิเลสไม่ไหว กิเลสเราสะสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน หนาๆ มาก
ปุถุชนแปลว่าคนหนา คนหยาบ ก็คือกิเลสมันเยอะนั่นเอง กว่าจะค่อยๆ ขุดออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
มันเริ่มตั้งแต่เราต้องรู้จักเลือกคบคน นี่เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญเลย ถ้าเราคบคนชนิดไหน เราก็มีแนวโน้มจะเป็นคนชนิดนั้น เราคบคนไม่ดีก็พาเราไม่ดีไปด้วย ก็ต้องรู้จักสังเกตให้ดี
อย่างจะชอบใครสักคนหนึ่ง ดูให้ดีๆ เวลาจีบกันใหม่ๆ ก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นอย่างไร ต้องสังเกตนานๆ ถึงจะรู้
จะหาแฟนก็หาที่มีศีลมีธรรมเสมอกับเรา สนใจรักษาศีลเหมือนๆ กัน สนใจเรียนรู้ปฏิบัติธรรมเหมือนๆ กันอะไรอย่างนี้ ชีวิตครอบครัวมันก็จะมีความสุข
ถ้ามีไปแล้วก็พยายามชักจูงกัน ไม่ใช่ให้เขาชักจูงเราไปในทางต่ำ เราก็พยายามจูงครอบครัวเราให้มันสูงขึ้นๆ ไป พามาฟังธรรมอะไรอย่างนี้ก็ดี
การได้เห็นสมณะก็เป็นมงคลชีวิต แต่มันก็ลำบากอีกในยุคนี้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นสมณะจริง หรือใครแต่งตัวเป็นสมณะเป็นพระอะไรอย่างนี้ ก็ต้องดูกันนานๆ อีกล่ะ ไม่ดูตามโซเชียล เชื่อมันไม่ได้หรอก ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอะไรกัน
ก็สังเกตเอา ดูใครศีลดีไหม ได้ปฏิบัติในร่องรอยของพระพุทธศาสนาหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ นอกรีตนอกรอยเยอะ พระทำเสน่ห์ พระทำอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่ เราก็ต้องเลือกต้องดู
คนไหนที่สอนธรรมะเราเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ สังเกตตั้งแต่เจ้าตัวที่สอนนั่นล่ะ ดูสะอาดหรือดูสกปรก ถ้าเราไม่มีอคติ เราภาวนาของเราเรื่อยๆ มันพอมองออกว่าใครเป็นอย่างไร มันมองเห็น
ยิ่งถ้าเราภาวนาได้เยอะๆ หน่อย มองปราดเราก็รู้แล้ว ใครพระจริงหรือใครพระปลอม ดูง่าย
เราเข้าไปหาพระ ไม่ใช่ไปหาโชคลาภ ไปหาความเฮง ไประบาย เครียดๆ อะไรมา ก็ไปนั่งระบายให้พระฟัง
เมื่อก่อนหลวงพ่อก็ไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ ก็มีโยมก็ชอบมาระบาย กินเหล้าเมามาแล้วก็มาด่าเมียให้พระฟังอะไรอย่างนี้ อารมณ์ไม่ดี อย่างนั้นเรียกว่าไปหาพระไม่เป็น ทำตัวไม่ถูก
เข้าวัดไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ เพื่อจะไปฟังธรรม ไม่ใช่เพื่อไประบายขยะ หรือเพื่อไปแย่งชิงเป็นลูกศิษย์เอก จะได้เด่นจะได้ดังอะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ฉลาดเลย
เราเข้าไปหาครูบาอาจารย์ เราไปหาธรรมะ
ไม่ได้ไปหาเรื่องอื่นหรอก
ใจพ้นกิเลสได้ ใจก็พ้นทุกข์
พอเรารู้วิธีปฏิบัติ เราก็ต้องเริ่มลงมือปฏิบัติจริงๆ
ฟังธรรมะอย่างเดียวไม่พ้นทุกข์หรอก
ฟังธรรมะอย่างเดียวก็ได้แต่จำไว้
อันนั้นรู้ด้วยการจำ กิเลสไม่กลัวหรอก
คนจำได้เยอะ จำธรรมะเยอะๆ กิเลสไม่กลัว
ดีไม่ดีเป็นลูกมือของกิเลสไม่รู้ตัวเลย
พอเราฟังธรรมแล้วรู้ว่าควรจะปฏิบัติอะไรแล้ว ก็ลงมือสู้กิเลส เผาผลาญกิเลสด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา สะสมไปเรื่อยๆ
พอเราทำสมควรแก่ธรรมะแล้ว ในที่สุดเราก็จะรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4
เรียนธรรมะแล้วมันจะไปรู้อริยสัจ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นหรอก
ไม่ใช่รู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน
ไม่มีสาระแก่นสารอะไร
ถ้ารู้อริยสัจ 4 จิตเราจะค่อยๆ หลุดออกจากโลกแล้ว
มันพ้นโลก ได้โสดาบันก็รู้อริยสัจส่วนหนึ่ง
ได้สกิทาคามีก็รู้เยอะขึ้นๆ ได้อนาคามีก็รู้เยอะ
จิตก็เริ่มหลุดออกจากโลกที่ชาวบ้านเขาติดอยู่ โลกซึ่งมีแต่เรื่องของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของสัมผัสทางกายอะไรนี่ เห็นความไม่มีสาระแก่นสาร จิตมันก็พ้นจากกามาวจร
จิตไปอยู่ในโลกที่ประณีตขึ้นไป โลกของฌาน โลกของสมาบัติอะไรพวกนี้ รูปฌาน อรูปฌานอะไรพวกนี้
ค่อยๆ ฝึกทุกวัน อาศัยการพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาของเราให้ดีขึ้นๆ
ในที่สุดจิตก็รู้แจ้งอริยสัจ จิตก็พ้นจากโลก
พ้นธรรมะประจำโลก โลกธรรม
คนในโลกพอจิตมันกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
เพราะลาภ เพราะยศ เพราะสรรเสริญ เพราะสุข
เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เพราะนินทา ทุกข์
ถ้าจิตเรายังกระเพื่อมหวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านี้
แสดงว่าเรายังอยู่กับโลก ยังติดโลกอยู่
ถ้าจิตเราพ้นจากโลกไปแล้ว
มันจะมีความสุข มีความสงบ มีความปลอดภัย
จิตของเราถ้ายังไม่แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ยังไม่เห็นพระนิพพาน ยังไม่สามารถพ้นจากทุกข์ได้ เส้นทางที่เราจะต้องเดินไป เส้นทางอันนี้
ลองไปดูในเรื่องมงคล มงคล 38 ประการ เดี๋ยวนี้เรามีแต่เรื่องวัตถุมงคล แต่มงคลที่เป็นธรรมะเราไม่ค่อยได้สนใจ ลองไปศึกษาดู ดู Google ดูอะไรก็ได้
ถ้าใจมันพ้นโลกแล้ว มันก็พ้นความเศร้าโศก
ยังอยู่กับโลกก็เศร้าโศก
พ้นโลกไป ใจก็อะโสกัง ไม่เศร้าโศก
วิระชัง ใจปราศจากกิเลส
เขมัง จิตเข้าถึงความปลอดภัย
พ้นจากอำนาจของมาร
นี่คือมงคลช่วงท้ายๆ มงคล 38 ประการ
1
สตาร์ตตรงจุดที่ว่าไม่คบคนพาล คบบัณฑิต
ฉะนั้นเราเริ่มลงมือปฏิบัติ ต้องรู้จักเลือกคบคน
ถ้าเราคบคนไม่ดี มงคลไม่มีหรอกที่จะเหลืออยู่
ก็อัปมงคลหมดล่ะ
เราคบคนที่ดี มีศีลมีธรรมอะไรอย่างนี้
มีกัลยาณมิตรเป็นกำลังใจ
พากันปฏิบัติอะไรอย่างนี้ เราก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ
เราปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้ทิ้งหน้าที่ของเรา การเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงลูก เลี้ยงเมียอะไร มันก็เป็นมงคลชีวิตสำหรับผู้ครองเรือน ทำมาหากินด้วยความบริสุทธิ์อะไรพวกนี้ ชีวิตมันก็จะค่อยดีขึ้นๆ
แล้วถึงขั้นที่เราจะพัฒนาจิตจริงๆ
เริ่มตั้งแต่เราได้เห็นสมณะที่แท้จริง ได้ฟังธรรม
ฟังธรรมตามกาล ไม่ใช่ฟังตลอดกาลทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเวลาปฏิบัติ ใช้ไม่ได้หรอก
พอเราได้ฟังธรรมแล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติธรรมแผดเผากิเลสด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ในที่สุดเราก็รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ จิตเราพ้นโลก
พอจิตเราพ้นโลกแล้ว จิตก็ไม่เศร้าโศก
คนที่เรารักมันจะตาย มันก็เรื่องธรรมดา
ภรรยาเราจะทิ้งก็เรื่องของโลก จิตไม่เศร้าโศก
จิตปราศจากธุลี ไม่มีละอองของกิเลส
จิตก็แจ่มใส สว่าง หมดจด ปลอดภัย
มารทำอะไรไม่ได้แล้ว
จิตของเรายังตกอยู่ใต้อำนาจมาร
เราอยากทำความดี มารก็มาชวนเราให้ขี้เกียจอะไรอย่างนี้
มารตัวสำคัญก็คือกิเลสมารของเรานั่นล่ะ ตัวอภิสังขารมาร ความปรุงแต่งของเราเองนั่นล่ะ ไม่ต้องโทษมารข้างนอก มารส่วนใหญ่ก็มารภายในใจเรานี้
มารอีกตัวคือกายของเรา ขันธมาร ภาวนากำลังดีๆ เลย เป็นมะเร็งตายไปเสียแล้ว อันนี้เป็นพวกมาร เรียกขันธมาร มัจจุมารคือความตาย
เทวปุตตมาร คือจิตใจที่ไม่ดี พวกข้างนอก จิตมันไม่ดีรบกวนเรา กลั่นแกล้งเรา
มารก็มีภายในภายนอก ถ้าเราภาวนาจนจิตเราบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว มารทำอะไรไม่ได้ ขันธมารมันจะแตก มันจะดับ
ร่างกายนี้จะตายแล้ว จิตใจก็ไม่เศร้าโศกๆ
ไม่มีธุลีของกิเลส
ละอองของโทสะอะไรสักนิดหนึ่งมันก็ไม่มี
กิเลสมารมันก็ตายไป ไม่สามารถครอบงำบงการจิตได้
จิตก็ไม่หลงปรุงแต่ง
ไม่หลงคิดนึกไปตามอำนาจกิเลส ก็พ้นจากสังขารมาร
แล้วมัจจุมารคือความตาย ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว
อย่างถ้าเราภาวนา เรายังไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ
ความตายเป็นความสูญเสียที่เราเสียดายมาก
ร่างกายนี้เป็นของที่เรารักจะต้องตายไป
ครอบครัวเราเป็นของที่เรารัก เราจะต้องพลัดพราก
ทรัพย์สมบัติอุตส่าห์หามา
เราจะต้องทอดทิ้งไว้ให้เป็นของคนอื่นอะไรอย่างนี้
มันมีแต่ความสูญเสีย
แต่ถ้าเราภาวนาดีจริงๆ อย่างพระอรหันต์ท่านคิดถึงความตาย ท่านไม่เศร้าโศก ท่านรู้สึกว่ากำลังจะได้รับรางวัลแล้ว แจ็คพอต รางวัลพิเศษ
ตอนที่บรรลุพระอรหันต์จิตมันพ้นทุกข์ไปแล้ว พ้นกิเลสไปแล้ว แต่มันเหลือขันธ์ที่เป็นภาระที่ต้องดูแลรักษาอยู่ ความตายก็คือขันธ์มันจะแตก ขันธ์มันจะดับ
ขันธ์มันคือตัวทุกข์ ตัวทุกข์จะแตก ตัวทุกข์จะดับไม่ใช่เรื่องเศร้าโศก เป็นเรื่องที่ร่าเริง จิตใจร่าเริงผ่องใส
ฉะนั้นอย่างเวลาพระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพาน วันนั้นรัศมีท่านจะผ่องใสมาก หน้าตาท่านจะสดใสมาก ไม่ได้เศร้าหมอง อันนั้นเพราะจิตท่านพ้นไปก่อนแล้ว มารคือความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว
พวกเราไปดูเรื่องมงคล 38 ประการแล้วพยายามทำไป เลือกคบคนดี ไม่คบคนพาล คบคนดี ค่อยๆ สังเกตเอา ตัวไหนที่ยังบกพร่องอยู่ก็ค่อยๆ ปรับไป
มีหน้าที่ในโลก ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อย่างหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงครอบครัวอะไร ทำหน้าที่ให้ดี แล้วศึกษาปฏิบัติแล้วใจก็จะค่อยๆ พ้นกิเลส ใจพ้นกิเลสได้ ใจก็พ้นทุกข์
เพราะตัวที่ทำให้เราจิตใจมันมีความทุกข์ก็คือตัวกิเลส เป็นศัตรูของเราไม่ใช่คนอื่น ศัตรูของเราจริงๆ ก็คือกิเลสในใจเรานี่เอง ล้างผลาญเราตลอดเวลา … “
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
3 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.dhamma.com/blessings/
เยี่ยมชม
dhamma.com
มงคลชีวิต
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่มีแต่ธรรมะระดับพ้นโลก ธรรมะที่จะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขท่านก็สอนเอาไว้ ธรรมะดีทั้งทางโลก ดีทั้งทางธรรม
Photo by : Unsplash
5 บันทึก
6
2
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อ่านธรรม : อ่านใจ
5
6
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย