1 ส.ค. 2022 เวลา 02:37 • ไลฟ์สไตล์
“โลกนี้มีแต่ทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรหรอก
เผลอไปยึดไปถือเข้านิดเดียวก็ทุกข์แล้ว”
“ … อยู่กับโลกเหมือนอยู่ท่ามกลางฝูงงู
พอเราภาวนาไปเรื่อยๆ จิตเราก็หลงโลกน้อยลง
เมื่อจิตหลงโลกน้อยลง มาชวนให้เราไปยุ่งกับโลก
จิตมันไม่อยากไปยุ่ง
อย่างพระมาอยู่กับหลวงพ่อ อยู่กันนานๆ บางทีมีธุระต้องกลับบ้าน ญาติทางบ้านตาย หรือผู้ใหญ่ตายอะไรอย่างนี้ ต้องไป ไม่ไปก็น่าเกลียด
ไปที่บ้าน นึกว่ากลับบ้านแล้วจะมีความสุขเหมือนที่เคยมี ไปถึงบ้านเท่านั้น อยากกลับวัดทันทีเลย
เห็นโลกนี้มีแต่ความวุ่นวาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา
มันจะรู้สึกอย่างนี้เลย ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเราแล้ว
ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับเรา
อย่างตอนหลวงพ่อเป็นฆราวาส หลวงพ่อไม่ชอบไปศูนย์การค้า ยิ่งศูนย์การค้าที่วัยรุ่นเยอะ ไปแล้วเวียนหัว มันรู้สึกแปลกแยก ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเรา
ที่สำหรับเราก็คือที่สงบที่สงัด อยู่ลำพังดีที่สุด สบายที่สุด พอใจมันคุ้นเคยกับความสงบ ใจมันจะคลายออกจากโลก มันจะเห็นว่าโลกไม่ได้ของดีของวิเศษเลย
โลกมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์
หาสาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้
อย่างเราเห็นเพื่อนฝูงเรานั่งกินเหล้าเฮฮา เมื่อก่อนเราก็กินเหล้าเฮฮาเหมือนเขาล่ะ พอเรามาปฏิบัตินานเข้าๆ เราไปเห็น เห็นเขากินเหล้ากัน เรารู้สึกไม่ได้มีสาระอะไรสักนิดเลย
บางทีเห็นเหมือนซากศพกินเหล้าอยู่ ใจมันรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่นานก็ตายแล้วล่ะ ก็ยังหลง ไม่รู้จักว่าตัวเองจะต้องตาย เมื่อไรยังไม่รู้เลย
บางคนก็ตายเร็ว บางคนก็ตายช้า มันหลงโลกอยู่อย่างนั้น เพราะมันไม่เคยรู้เลยว่ามันจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ไม่แน่ นึกว่าจะอยู่นาน อาจจะไม่นานก็ได้
พอเราภาวนาเราจะเห็นโลกนี้น่าเบื่อ
โลกนี้น่ารังเกียจ โลกนี้สกปรก
ใจมันคลายออกจากโลก มันจะยิ่งมีความเด็ดเดี่ยว
มีความมุ่งมั่นในการภาวนามากขึ้น
แล้วเวลาเราต้องสัมผัสกับโลก
สติ สมาธิ มันจะทำงานจี๋ขึ้นมาเลย
เพราะมันเหมือนเราเดินเข้าไปในฝูงงูพิษ
ถ้าเราภาวนาถึงจุดหนึ่งเราจะรู้
โลกนี้เหมือนงูพิษจริงๆ เลย
รูปก็เป็นงูพิษ เสียงก็เป็นงูพิษ
มันทำให้จิตเราเสียหายได้ทั้งหมด
พอเราภาวนา พอจะอยู่กับโลก เหมือนอยู่ในหมู่งูพิษล้อมตัวเราไว้ทั้งหมดเลย มันจะโดนฉกกัดเมื่อไรก็ได้ จิตมันจะ Alert มีสติ มีสมาธิ คอยระมัดระวังอยู่
อินทรียสังวรเกิดขึ้น ศีลอัตโนมัติของเราเกิดขึ้น
จิตเราก็ตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา มันจะสำรวม มันจะระวัง
พอฝึกมันจะเห็นผล อยู่กับโลกไม่ได้ โลกร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเลย มันไร้สาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่กับมันก็อยู่กับมัน แต่อยู่กับมันเหมือนอยู่ท่ามกลางฝูงงู
โลกนี้มีแต่ทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรหรอก
เผลอไปยึดไปถือเข้านิดเดียวก็ทุกข์แล้ว
นี่ใจก็จะยิ่งน้อมๆๆ มาหาการปฏิบัติมากขึ้นๆ
ช่วงแรกๆ ต้องฝืนใจ ต้องน้อมใจ
ต้องชักชวนให้จิตใจปฏิบัติ
แต่เมื่อเราปฏิบัติไปถึงช่วงหนึ่ง ไม่ต้องชักชวนแล้ว
จิตใจมันเอือมระอาต่อโลกข้างนอก
มันอยากปฏิบัติของมันเอง
ตรงนี้อัตราเร่งของความก้าวหน้าในการปฏิบัติมันก็จะมากขึ้นๆ ยิ่งภาวนายิ่งไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็ว อันนี้ไม่ว่าพระหรือโยมก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจเถอะ
ตอนหลวงพ่อเป็นโยมก็ไปกราบครูบาอาจารย์ ส่งการบ้านท่าน ส่งการบ้านเสร็จออกมาจากครูบาอาจารย์
พระที่ท่านอยู่ท่านได้ยิน มาถาม โยมทำได้อย่างไร ทำได้เร็วเหลือเกิน ที่โยมทำปีหนึ่ง พระทำ 10 ปี 20 ปี บางทีไม่ได้อย่างที่โยมทำ
หลวงพ่อก็บอกท่านซื่อๆ ผมทำทั้งวัน
เพราะเราเห็นแล้วโลกนี้เหมือนงูพิษจริงๆ
อยู่กับมัน จำเป็นต้องอยู่ก็ต้องอยู่ไป
แต่อยู่ด้วยความไม่ประมาท
มีสติคุ้มครองจิตใจของเราอยู่เสมอ
จิตใจมันก็จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดรวดเร็วเลย
ที่พวกเราภาวนาแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะอะไร
เพราะชอบยุ่งกับโลกข้างนอก วุ่นวายโดยที่ไม่จำเป็น
ถ้าจำเป็นมันก็จำเป็นล่ะ
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ายุ่ง
ไม่เจอ ไม่ได้คบคนที่ดีกว่าหรือเสมอกับเรา
อยู่ตัวคนเดียวดีที่สุด
อันนี้หลวงพ่อไม่ได้พูดเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้
เราจะอยู่ลำพัง มีกรรมฐานของเราเป็นเพื่อนคู่ชีวิต
อย่างหลวงพ่อตั้งแต่เป็นโยม
หลวงพ่อมีลมหายใจเป็นเพื่อน ไม่เคยเหงา
ตอนวัยรุ่นเหงาเหมือนกัน ยังภาวนาไม่ค่อยเป็น
พอภาวนาเป็น ไม่มีคำว่าเหงา ไม่มีคำว่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลย
มันอยู่อย่างมีความสุข มีความสงบ
ในที่ต่างๆ เหมือนกันไปหมด ใจมันสงบ มันมีความสุข
ความสุขอะไรก็ไม่เสมอเท่าความสงบ
ความสงบก็มีหลายระดับ
สงบด้วยสติ สงบด้วยสมาธิ สงบด้วยปัญญา
สงบด้วยมรรคด้วยผล
สงบของพระนิพพาน
สูงสุดคือสงบด้วยพระนิพพาน
อันนี้ยังไม่เล่า เพราะว่าหมดเวลาแล้ว
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้
ให้พวกเรารู้จักหาความสุขความสงบให้กับชีวิตบ้าง
อย่าดิ้นเร่าๆ เหมือนหมาถูกน้ำร้อนตลอดเวลา
หรือเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า
เด็กยุคนี้ไม่รู้จักไส้เดือนโดนขี้เถ้าแล้ว หาไส้เดือนยังไม่ค่อยเห็นเลย ขี้เถ้านี่ไม่มีแล้ว แต่ละบ้านใช้เตาแก๊ส
สมัยโบราณใช้เตาฟืนเตาถ่าน มีขี้เถ้า ถ้าไส้เดือนมาถูก โอ มันเจ็บปวดทรมาน ดิ้นเร่าๆ เลย
ใจเรานี้ก็เหมือนกัน
โดนกิเลสแผดเผาดิ้นเร่าๆ เร่าๆ เลย
บอกเหมือนหมาถูกน้ำร้อนยังพอเห็นภาพ
ถ้ายุคนี้เหมือนหมาถูกรถชน เอ๋งๆๆ ไป ได้สบายเลย
ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้มันได้ลิ้มรสชาติของความสุขความสงบจากการปฏิบัติบ้าง
พอได้ลิ้มรสครั้งหนึ่งแล้ว ใจมันจะขยันภาวนา
มันจะเริ่มคลายออกจากโลก
เพราะมันรู้แล้วว่าเส้นทางของพระพุทธเจ้าเป็นเส้นทางของความสงบ
เป็นเส้นทางของบรมสุข …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา