Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ทันโลกกับ Trader KP
•
ติดตาม
30 ก.ย. 2022 เวลา 12:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔎 [INVESTMENT] - ทำไมจึงมีกองทุนรวมตราสารหนี้ที่สร้างผลตอบแทนได้เกือบ 14% ในรอบ 1ปีที่ผ่านมา ?!? ในขณะที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นและราคาพันธบัตรปรับลง !
1
📝 บทความโดย T-Da
ในภาวะตลาดหุ้นขาลงแบบปัจจุบันนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นมักจะถูกใช้เป็นที่พักเงินสำหรับนักลงทุนเพราะมูลค่าหน่วยลงทุนจะไม่ค่อยผันผวนมาก นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะติดภาพว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นนั้นให้ผลตอบแทนในระดับต่ำมาก ไม่เกิน 1%ต่อปี ในขณะที่กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาวได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นถึงขั้นให้ผลตอบแทนติดลบ แต่ในช่วง 1ปีที่ผ่านมานี้กลับมีกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นบางกองทุนที่สร้างผลตอบแทนได้เกือบ 14% เป็นเพราะอะไร ?
หากเราคัดเอากองทุนรวมตราสารหนี้ที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปีนี้มาวิเคราะห์ดู จะพบว่ากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้สูงสุด 2 อันดับแรก อันได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ (SCBFST) และกองทุนเปิดทิสโก้ยูเอสตราสารหนี้ระยะสั้น (TUSFIX) ล้วนเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศระยะสั้น (อายุ 1-3เดือน) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะลงทุนในพันบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Bill) ระยะสั้นเหมือนกัน
1
นอกจากนี้ยังมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุนที่เหมือนกัน คือ ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน (หรือขึ้นกับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
1
เมื่อนำผลตอบแทนย้อนหลัง 1ปี ของกองทุน SCBFST (14.04%) และ TUSFIX (13.65%) มาเปรียบเทียบกับการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในรอบ 1ปีที่ผ่านมาที่อ่อนค่าไปเกือบ 13% แล้วจะพบว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนของทั้ง 2 กองทุนนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB แทบจะตลอด
หมายความว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่ (เกือบ 13%) นั้นมาจากกำไรในการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมาเทียบกับค่าเงินบาทนั่นเอง ในขณะที่ผลตอบแทนส่วนเกินจากนั้น (0.67%-1.06%) ต่างหากที่ได้มาจากตราสารหนี้ระยะสั้นที่กองทุนรวมนั้นลงทุนอยู่
3
แทบจะเรียกได้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศที่มีนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เกือบจะเหมือนกับการซื้อเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มาถือครองไว้เลยทีเดียว นั่นหมายความว่านักลงทุนจะได้กำไรหากเข้าลงทุนในช่วงที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และในทางตรงกันข้ามก็จะประสบภาวะขาดทุนได้หากเข้าลงทุนในช่วงที่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
1
การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (ล่าสุดขึ้น 0.75% มาอยู่ที่ 3.25% และคาดการณ์ว่าจะขึ้นอีก 0.75% ในเดือน ต.ค. นี้) เพื่อกดดันเงินเฟ้อให้กลับลงมา ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ (ล่าสุดขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ 1.00%) ด้วยความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ - ไทยกว้างถึง 2.25% ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มกว้างขึ้นอีกในอนาคต เพราะธนาคารกลางยังมีแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเร่งที่แตกต่างกัน
ปัจจัยเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายนี้ นอกจากจะทำให้เกิดเงินทุนไหลออกจากไทยเพื่อไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าแล้ว ยังทำให้การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนดูไม่น่าดึงดูดสำหรับกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงบางส่วนหรือขึ้นกับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนด้วย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนที่ขายได้ล่วงหน้าในอนาคตต่ำกว่าปัจจุบัน ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ลดลง
ยกตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันอยู่ที่ 38 บาท : 1 ดอลลาร์ฯ ในขณะที่คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็น 1.00%ต่อปี สำหรับเงินบาท : 4.00%ต่อปี สำหรับเงินดอลลาร์ ดังนั้นหากเราต้องการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับพันธบัตรที่จะครบอายุ 1ปีข้างหน้า จะไม่สามารถทำได้ที่อัตรา 38 บาท/ดอลลาร์ แต่จะได้ที่อัตรา 38บาท+ดอกเบี้ย1%ต่อปี : 1ดอลลาร์+ดอกเบี้ย4%ต่อปี นั่นคือ 38.38บาท : 1.04 ดอลลาร์ หรือคิดเป็น 36.9 บาท/ดอลลาร์ หมายถึงว่าผลตอบแทนจะหายไปทันที 1.1 บาท/ดอลลาร์
(เป็นตัวอย่างเพื่อความเข้าใจเท่านั้น อัตราที่แท้จริงในตลาดจะแตกต่างจากนี้)
จากข้อมูลข้างต้นนั้นสรุปได้ว่า การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศจะดูแต่ผลตอบแทนในอดีตอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องวิเคราะห์ให้เข้าใจว่าที่มาที่ไปของผลตอบแทนนั้นคืออะไร สำหรับกองทุนรวมมีนโยบายไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด นักลงทุนต้องคอยศึกษาดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนประกอบไปด้วย ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทนั้นไม่ได้มีเพียงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเรื่องดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความต้องการเงินบาทอีกด้วย
2
สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอายุยาวกว่า 3เดือน จะมีความผันผวนของผลตอบแทนที่มากกว่าจึงมักจะมีนโยบายในการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (อาจจะเต็มจำนวน หรือเป็นส่วนใหญ่) ทำให้ไม่ได้ผลประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ฯ ดังนั้นผลตอบแทนย้อนหลัง 1ปี ของกองทุนเหล่านี้และกองทุนรวมตราสารหนี้ไทย จึงอยู่ในระดับไม่เกิน 1% ซึ่งก็ยังตอบโจทย์ในการเป็นที่พักเงินในภาวะตลาดหุ้นขาลงได้
เช่น กองทุนเปิดเคเคพีตราสารหนี้พลัส (KKP Plus), กองทุนเปิดเอกตราสารหนี้คือกำไร (ONE-FAR) ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1ปี ที่ผ่านมาราว 0.48%-0.58%
ถ้าจะให้ตอบโจทย์การหาที่พักเงินในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในขาขึ้นด้วยนั้นก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) ตามคำแนะนำของคุณปู่ Warren Buffet เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยอ้างอิงเงินเฟ้อ (KTILF) ได้ แต่ต้องดูจังหวะการเข้าลงทุนด้วย (เพราะผลตอบแทนจะเริ่มปรับลงเมื่อ inflation expectation ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว)
ซึ่งเคยอธิบายรายละเอียดไว้ในบทความ "ทำความรู้จักกับพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) .... ทางเลือกในการลงทุนท่ามกลางเงินเฟ้อ ที่คุณปู่ Warren Buffet แนะนำ" ที่เคยเขียนไว้เมื่อเดือน พ.ค. 2022
https://www.finnomena.com/premiums/10bond-funds/
🔊 นักลงทุนท่านใดสนใจเข้ามาร่วมกลุ่ม LINE เพื่อศึกษาการลงทุนที่ดีไปกับทีม Trader KP
สามารถติดต่อได้ที่ LINE Official @traderkp (
https://lin.ee/a3S9iGv
) ได้เลยครับ การลงทุนที่ดีอยู่ห่างจากคุณเพียงไม่กี่คลิก 👍😊
1
หรือรับการแจ้งเตือนข่าวด่วนทาง LINE กับ Trader KP ได้ที่ -
https://bit.ly/3OPOvYV
#ทันโลกกับTraderKP #BlockditExclusive #TDa
การเงิน
หุ้น
การลงทุน
19 บันทึก
14
21
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
วิเคราะห์เศรษฐกิจ หุ้น กองทุน by T-da x KP
19
14
21
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย