3 ต.ค. 2022 เวลา 08:12 • ไลฟ์สไตล์
“อย่าดูถูกสมาธิ แต่ก็อย่าติดสมาธิ
อย่าดูถูกศีล แต่อย่าไปติดอยู่ที่ศีล
อย่าดูถูกทาน อย่าไปติดอยู่ที่ทาน
แล้วก็อย่าไปหลงใหลกับปัญญา”
“ … อุบายเพื่อปลุกเร้าให้เราก้าวไปข้างหน้า
เมื่อก่อนหลวงพ่อหัดภาวนาใหม่ๆ หลวงพ่อนึกปรามาสครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง คือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ นึกปรามาสท่าน
พอภาวนาเข้าใจแล้ว โอ้ ต้องกราบท่านเลย ครูบาอาจารย์ท่านก็เตือน ครูบาอาจารย์ท่านมีฤทธิ์เยอะ
อย่างหลวงปู่สิม ท่านเคยเตือน เราไม่ได้พูดกับท่านเรื่องหลวงพ่อฤๅษีเลย อยู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาเองเลย อย่าไปดูถูกหลวงพ่อฤๅษีนะ ท่านว่าอย่างนี้
เราก็เฉลียวใจ เอ๊ะ ทำไมท่านสอนนิพพานมีพระพุทธเจ้ามานั่งเข้าแถว มันก็มีรูปธรรม มีนามธรรม แต่เดิมท่านสอนสติปัฏฐาน ยุคแรกๆ แล้วท่านพบว่าคนส่วนใหญ่มันรับไม่ได้
คนส่วนใหญ่มันยังติดในวัตถุ ในรูปธรรมในนามธรรมอยู่ ท่านก็เอาสิ่งเหล่านี้มาหลอกมาล่อ
อย่างสอนเรื่องให้เราเห็นนรก เห็นสวรรค์
ตรงนี้ถ้าเราเห็น ศีลเราจะดีขึ้น นี่เป็นเรื่องอุบายทั้งนั้น
หรือนิพพานมันเป็นโลก
พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ๆ อะไรอย่างนี้
ที่จริงนิพพานก็คือสันติ ความสงบ
นิพพานมีสันติลักษณะ
พระพุทธเจ้าก็บอก ในนิพพานไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม
ไม่มีอากาศ ไม่มีวิญญาณ
ไม่มีอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน
ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
ถ้ามันไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็มีรูปไม่ได้
รูปนี้มันก็อาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดขึ้นมา ก็ไม่ได้มีรูป
หรือรูปนิมิต ไม่ได้อาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม
แต่อาศัยสมาธิสร้างรูปนิมิตขึ้นมา
มันก็เป็นของไม่เที่ยงอยู่ดี
เพราะมันมีเหตุเกิด เหตุของรูปนิมิตก็คือการทำสมาธิ
ก็สร้างรูปนิมิตขึ้นมา
สิ่งใดเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ
ที่พระอัสสชิท่านสอน
“ธรรมใดเกิดจากเหตุ
พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น
และแสดงความดับไปแห่งธรรมนั้น
พระตถาคตเจ้ามีปกติกล่าวอย่างนี้ สอนอย่างนี้ “
เพราะฉะนั้นถ้ายังมีรูปอยู่ พระพุทธเจ้าบอกมันไม่มี
แต่ว่าคนซึ่งมันติดรูป อยู่ๆ ไปสอนถึงนิพพานตัวจริง
ไม่มีใครเอาหรอก มันไม่สนุก มันรู้สึกอย่างนั้น
มันติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์
มันเคยติด ติดในรูปธรรม ติดในนามธรรม
อยู่ๆ จะไปสอนให้วางรูปวางนาม มันไม่เอา
ก็ต้องหลอกไว้ก่อน
คล้ายๆ ครูบาอาจารย์ทำวัตถุมงคล หลอกพวกเราให้ถือศีล แจกวัตถุมงคลแล้วก็บอกต้องรักษาศีล ถ้าไม่รักษาศีลแล้วมันเสื่อม
มันจะเสื่อมได้อย่างไร รูปพระพุทธเจ้า เรานึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ต้องมีรูปเลย เราก็ยังมีคุณงามความดีเกิดขึ้นในใจเราได้ มันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
แต่ท่านก็หลอกล่อ มันเป็นอุบายของท่าน
ให้คนติดวัตถุไว้ก่อนๆ
แล้วพอมีสติมีปัญญามากขึ้นก็วาง
อย่างหลวงปู่ดู่ บอกให้ติดวัตถุมงคลไปก่อน
ดีกว่าติดสิ่งอัปมงคล อุบายของท่าน
ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ก็มีอุบาย
ถ้าสอนตรงไปตรงมาบางทีรับไม่ไหว
อย่างหลวงพ่อสอน หลวงพ่อไม่เกรงใจ
หลวงพ่อสอนตรงไปตรงมา
รับได้ก็ได้ รับไม่ได้ก็ช่าง กรรมของสัตว์
ใครจะไปอุ้มใครไปนิพพานได้ ก็ต้องไปด้วยตัวเอง
สอนอย่างตรงไปตรงมาให้ นิพพานไม่ใช่โลกๆ หนึ่ง
นิพพานไม่มีรูปธรรม นิพพานไม่มีนามธรรม
นิพพานก็คือนิพพาน
นิพพานมีลักษณะอย่างไร
นิพพานมีลักษณะสงบ สันติ สงบเพราะอะไร
สงบเพราะไม่มีกิเลส สงบเพราะไม่มีตัณหา
สงบเพราะไม่มีความดิ้นรนปรุงแต่ง
เมื่อไม่มีความดิ้นรนปรุงแต่ง
มันจะมีรูปมีนามขึ้นมาได้อย่างไร
นามรูปมันเกิดจากความปรุงแต่ง
เพราะฉะนั้นไม่มีความปรุงแต่งก็ไม่มีรูป ไม่มีนาม
แล้วมันมีความสุขอย่างไร
ก็มันไม่ถูกเสียดแทงอีกต่อไป
มันเป็นสันติสุขจริงๆ ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง
ไม่มีอะไรมาเสียดแทง
พระพุทธเจ้าท่านบอกตรงไปตรงมาที่สุดเลย
แล้วพวกเรารับไม่ค่อยได้
ท่านบอก “นิพพานไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม
ไม่มีอากาศ ไม่มีช่องว่าง ไม่มีวิญญาณ
ไม่มีความไม่มีอะไรเลย
ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน”
ฟังแล้วไม่น่าอยู่เลย กลางวันก็ไม่มี กลางคืนก็ไม่มี
มันอยู่ใน Twilight Zone หรืออย่างไร
มันคิดแต่จะอยู่
มันไม่เคยรู้จักสิ่งซึ่งเหนือรูปธรรมนามธรรมขึ้นไป
พอฟังแล้วมันรับไม่ได้
ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆ ก็เลยหลอกๆ เอา
สร้างอะไรที่ปลุกเร้าให้ก้าวไปข้างหน้า
อย่างทำวัตถุมงคลมาเพื่อให้เรารักษาศีล
เพื่อให้เรานั่งสมาธิ แล้วก็สอนโน่นสอนนี่
เห็นนรก เห็นสวรรค์ เพื่อเราจะได้ไม่ได้ทำผิดศีล
เป็นอุบายมากมาย
วิธีลัดสั้นที่สุดก็คือเรียนรู้เข้ามาที่จิต
ถ้าเรามัวแต่ติดอุบาย เราก็ไปไหนไม่ได้หรอก
แหวกอุบายไม่ออก
ถ้าแหวกออกก็จะเข้าใจร้อง
โอ๊ย สติปัญญาครูบาอาจารย์ไม่ธรรมดา
สอนคนโง่ๆ อย่างเราให้ก้าวหน้าขึ้นมาได้
ด้วยอุบายวิธีของท่านมากมาย สอน
แต่พอเราเข้าใจแล้ว มันมีวิธีที่ลัดสั้นที่สุดเลย
ไม่เห็นจะต้องอ้อมค้อมมาไกลแสนไกล
ลัดสั้นเลยก็คือเรียนรู้เข้ามาที่จิตเลย
กุศลเกิดที่จิต อกุศลเกิดที่จิต มรรคผลเกิดที่จิต
ไม่ได้ที่อื่นหรอก
มรรคผลไม่ได้เกิดที่ดิน น้ำ ไฟ ลม
กุศลไม่ได้เกิดที่ดิน น้ำ ไฟ ลม
อกุศลก็ไม่ได้เกิดที่ดิน น้ำ ไฟ ลม
มันเกิดที่จิตนี้ล่ะ
ฉะนั้นถ้าเราภาวนา สุดท้ายมันจะตัดตรงเข้ามาที่จิต
ครูบาอาจารย์หลายองค์ ตอนหนุ่มๆ เวลาท่านสอน
ไปฟังธรรมะที่เขาบันทึกไว้
สมัยท่านหนุ่มๆ ถ้าสายวัดป่า ท่านจะสอนพุทโธพิจารณากายกัน พอสอนพุทโธไป พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธกันทีหนึ่งหลายๆ ปีเลย จนจิตสงบ
พอจิตสงบแล้วก็ไม่ยอมทำอะไร นอนอยู่ใต้ต้นไม้ในโอเอซิสก็ไม่ไปไหนแล้ว ท่านก็ไล่ให้ออกมาเจริญปัญญา
ออกมาพิจารณา พิจารณาอะไร
ให้พิจารณาจิต มันไม่มีอะไรให้พิจารณา
จิตที่ทรงสมาธิมันว่างสว่าง สบาย สงบอยู่อย่างนั้นเป็นปีก็ได้
เพราะฉะนั้นท่านเลยให้พิจารณาร่างกาย ท่านฉลาด
พอทำสมาธิเสร็จแล้วก็มาพิจารณากาย
พอพิจารณากายทีแรกก็ใช้การคิดพิจารณาไป
ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาหรอก
พิจารณาไปช่วงหนึ่งพอจิตเริ่มฟุ้งซ่าน
กลับมาทำสมาธิ
แล้วต่อไปจิตมันเห็นไตรลักษณ์ของร่างกายได้เอง
แล้วต่อไปก็จิตมันก็เห็นไตรลักษณ์ของจิตได้เอง
ท่านเดินมาอย่างนี้
ฉะนั้นตอนสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านจะสอนเหมือนกันหมด เข้าวัดไหนก็มีแต่พุทโธพิจารณากาย
ตอนหลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ดูลย์ปี พ.ศ.2525 เราเข้าใจจิตแล้ว เข้าใจจิตว่าจิตไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไรของเราหรอก หลวงปู่ก็บอกว่าหลวงพ่อพึ่งตัวเองได้แล้ว
เราก็ออกไปดู ไปสำนักโน้นสำนักนี้ สำนักครูบาอาจารย์บ้าง นอกสายวัดป่าบ้าง ไปหมดล่ะ สำนักอะไรที่ดังๆ ไปดูๆ
ดูไปๆ มีแต่กายทั้งนั้นเลย
อย่างพุทโธแล้วก็มาพิจารณากายนี่วัดป่าทั้งหมดเลย
สายโกเอนก้าท่านก็ทำอานาปานสติ แล้วก็มาพิจารณากาย
สายหลวงพ่อพุทธทาส อานาปานสติ 16 ขั้นมันก็กาย
สายหลวงพ่อเทียนทำจังหวะขยับมือมันก็กาย
สายพองยุบ ท้องพอง ท้องยุบ ยกเท้า ย่างเท้า มันก็กายอีก
หันไปทางไหนมีแต่กายๆๆ ทั้งนั้นเลย
หลวงพ่อก็กลับมาหาหลวงปู่ดูลย์ บอกว่า
“หลวงปู่ครับ ผมไปที่ไหน ครูบาอาจารย์แต่ละที่ๆ ท่านก็สอนแต่เรื่องกายทั้งนั้น ผมจะต้องย้อนกลับไปดูกายใหม่ไหม”
หลวงปู่ดูลย์ท่านมองหลวงพ่อแบบสายตาท่านสังเวช เราเห็นแล้วเรารู้เลย ท่านมองแบบสลดใจ สังเวช สงสาร ทำไมมันโง่ได้ที่ขนาดนี้
ท่านก็สอนให้บอกว่า “เขาดูกายเพื่อให้เห็นจิต เมื่อเข้าถึงจิตแล้ว เอาอะไรกับกาย กายเป็นของทิ้ง” ท่านสอนอย่างนี้
พอหลวงปู่บอกอย่างนี้ หลวงพ่อก็ อือ ฉะนั้นเราไม่ต้องพิจารณากายใหม่แล้ว
คราวนี้เวลาเข้าไปหาครูบาอาจารย์ พยายามเข้าไปถึงตัวท่านเลย แต่ละองค์ๆ ที่ท่านสอนทั่วๆ ไป สอนพุทโธพิจารณากาย หลวงพ่อพอเข้าถึงตัวท่าน ท่านไม่สอนอย่างนั้นเลย สอนหลวงพ่อเข้ามาดูที่จิตทั้งนั้นเลย
เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปดูตรงนั้นแล้ว
มันตัดเข้ามาที่จิตได้แล้ว
ที่เขาดูกายเพื่อให้เห็นจิต ดูจิตเพื่อให้เห็นธรรม
เมื่อกี้บอกแล้วธรรมะมันแสดงอยู่ที่จิต
โลกียธรรมทั้งหลาย
ก็คือกุศลธรรมเกิดที่จิต อกุศลธรรมเกิดที่จิต
โลกุตตรธรรมคือมรรคผลก็เกิดที่จิต
เพราะฉะนั้นถ้าเราตัดตรงเข้ามาที่จิตแล้ว
มันก็จบตรงนั้น มันไม่มีอะไรต่อแล้ว
ถ้าไม่ยึดจิตก็ไม่ยึดรูปธรรมนามธรรม
เพราะรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
อาศัยจิตสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น
ที่ในพระสูตรจะสอน “วิญญาณะ ปัจจะยา นามะรูปัง วิญญาณคือตัวจิต เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป”
นี้เราเข้าใจลงมาถึงตัวจิต วางตัวจิต
มันก็ไม่มีนามรูปขึ้นมาให้ยึด ให้ถือ ให้ต้องดูแลอะไรต่อ
ถ้ายังมาไม่ได้ก็ต้องไต่เต้ามาตามลำดับ
ทำสมถะขึ้นมา ดูจิตไม่ได้ดูกายไป หลวงปู่สุวัจน์ท่านก็เคยเล่า หลวงพ่อเคยไปเรียนกับท่าน ท่านเล่าสมัยที่ท่านไปเรียนกับหลวงปู่มั่น
ท่านบอกหลวงปู่มั่นสอนท่านว่า “ถ้าดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ ก็ให้ทำสมถะ”
ทำสมถะเพื่อให้มีกำลังกลับมาดูจิต กลับมาดูกาย ให้มีกำลัง
ฉะนั้นสมถะทำไปเพื่อให้เกิดกำลังที่จะมาเดินปัญญา
นี่คือที่เราต้องเข้าใจ
ไม่ทำได้ไหม ไม่ได้
ถ้าเราทิ้งสมาธิจิตจะไม่มีกำลัง
เพราะฉะนั้นจิตจะต้องมีกำลัง
ฉะนั้นอย่าดูถูกสมาธิ แต่ก็อย่าติดสมาธิ
อย่าดูถูกศีล แต่อย่าไปติดอยู่ที่ศีล
อย่าดูถูกทาน อย่าไปติดอยู่ที่ทาน
แล้วก็อย่าไปหลงใหลกับปัญญา
ปัญญาไม่ค่อยเห็นใครดูถูก
พวกเจริญปัญญา โอ๊ย จะอิ่มอกอิ่มใจ
เวลาเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรสักอย่าง
จิตใจจะมีความสุขขึ้นมา
ก็เลยติดในรสของความสุขจากการเจริญปัญญา
ก็ไปไหนไม่รอดหรอก มันยินดีในปัญญา
ฉะนั้นเราภาวนา ค่อยเรียนรู้ลงที่กาย เรียนรู้ลงที่จิตใจของเรา ซ้ำแล้วซ้ำอีกไป เรียนรู้จนเห็นกายนี้ก็อยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตใจก็อยู่ใต้ไตรลักษณ์
เพราะฉะนั้นกายมันจะทุกข์ขึ้นมา เป็นเรื่องธรรมดา
ความสุขมันไม่เที่ยงเดี๋ยวมันก็ทุกข์
ทุกข์มันก็ไม่เที่ยง ไม่ต้องไปเกลียดมันหรอก
ไล่มันก็ไม่ไป มันเป็นอนัตตา
เราเฝ้ารู้เฝ้าดู ดูกาย ดูเวทนา ดูจิตใจของเราไป
ก็เห็นแต่ไตรลักษณ์ เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงจุดหนึ่งเราก็หมดความยินดียินร้าย
ไม่ยินดีในความสุข ไม่ยินร้ายในความทุกข์
ไม่ยินดีกระทั่งในกุศล ไม่ยินร้ายกระทั่งอกุศล
ใจเข้าถึงความเป็นกลาง
สติปัฏฐานเบื้องต้นต้องมีวิหารธรรม มีความเพียรแผดเผากิเลส
มีความรู้สึกตัว มีสติ แล้วก็เจริญปัญญาไปเรื่อย
การที่เราเจริญปัญญาสติปัฏฐาน
เจริญสติปัฏฐานหลวงพ่อพูดอยู่เรื่อยๆ
เราต้องมีวิหารธรรม ใช้กาย หรือเวทนา
หรือจิตของเราเป็นวิหารธรรมไป
แล้วก็มีสติระลึกรู้อยู่ที่วิหารธรรมนั้น
ถ้าจิตหนีไปจากวิหารธรรมนั้น รู้ทัน
จิตไปจดจ้องอยู่กับวิหารธรรม รู้ทัน
เผลอไปก็รู้ ไปเพ่งอยู่ก็รู้
แล้วสิ่งที่เราจะได้ขึ้นมา จากการที่เราทำสติปัฏฐาน
ในเบื้องต้นก็คือเราจะได้สติและสมาธิที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานเบื้องต้นได้สติ ได้สมาธิที่ถูกต้อง
เราทำต่อไปอีก
เรามีจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนรู้คนเห็นแล้ว
มีสติระลึกรู้ในรูปธรรมทั้งหลาย ก็เห็นแต่ไตรลักษณ์
มีสติระลึกรู้นามธรรมทั้งหลาย ก็เห็นแต่ไตรลักษณ์
มีสติระลึกรู้จิตทั้งหลาย ก็เห็นไตรลักษณ์
ทำไมจิตทั้งหลายด้วย จิตไม่ได้มีดวงเดียว
จิตเกิดดับตลอดเวลา
เดี๋ยวเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่ตา เกิดที่หูแล้วดับที่หู
เกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น
เกิดที่กายดับที่กาย เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ
จิตมันจะเกิดดับอยู่อย่างนี้ เราเลือกอะไรไม่ได้
ฉะนั้นสั่งไม่ได้ว่าจงเกิดจิตที่ตา อย่าเกิดจิตที่หู สั่งไม่ได้
หรือจงรู้แต่จิตที่ใจ สั่งไม่ได้ มันเป็นอนัตตา
พอเราเรียนรู้ความจริงของกาย ของเวทนา ของจิตใจไปเรื่อย ของสังขาร ของจิตใจ ซ้ำๆๆๆ เราจะเห็นเลย ทุกอย่างมันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา เสมอกันหมด
ความสุขก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เสมอกับความทุกข์
เพราะความทุกข์ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกัน
กุศลก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เสมอกับอกุศล
เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเสมอกันไปหมดด้วยความเป็นไตรลักษณ์ ตรงนี้จิตใจมันจะราบเรียบ
ครูบาอาจารย์ยุคก่อนท่านบอก มันราบเหมือนหน้ากลอง ยุคของเราไม่รู้จักกลองแล้ว ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร ต้องบอกมันราบเรียบเหมือนหน้าจอไอแพด
หน้ากลองไม่รู้จักแล้ว ราบเรียบเหมือนหน้าจอมือถือ เรียบ ลื่นๆ เรียบๆ นี่จิตที่มันไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ฉะนั้นถ้าไปดูในสติปัฏฐาน ท่านสอนไว้
เบื้องต้นมีวิหารธรรม มีความเพียรแผดเผากิเลส
มีความรู้สึกตัว มีสติ แล้วก็เจริญปัญญาไปเรื่อย
สุดท้ายก็จะมาถึงประโยคเด็ด
“ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้ วิเนยยะ โลเกอภิชฌา โทมนัสสัง”
“ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้”
โลกก็บอกแล้วก็คือรูปธรรมนามธรรมนั่นล่ะ ก็คือตัวขันธ์ 5
จิตมันหมดความยินดียินร้ายในรูปธรรม ในนามธรรม
หมดความยินดียินร้ายในขันธ์ 5
เมื่อมันไม่ยินดี มันไม่ยินร้าย
มันก็ราบเรียบ เสมอกันไปหมด
จิตก็ไม่กระเพื่อม ไม่เหมือนน้ำทะเลกระเพื่อมทั้งวัน
แต่นี่มันเหมือนหน้าจอแท็บเล็ต หน้าจอมือถือเรา
เลี่ยนๆ อย่างนี้ มันก็ราบ ไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
ฉะนั้นภาวนา สุดท้ายจิตจะหมดความยินดียินร้ายในรูปนาม
เมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้ายแล้ว มันก็ไม่เข้าไปแทรกแซง
ถ้ามันยินดียินร้าย มันก็จะแทรกแซงในรูปธรรมในนามธรรม
ความทุกข์เกิดขึ้นมาก็หาทางละ
ความสุขเกิดขึ้นมาก็หาทางรักษา
นี่แทรกแซง
กุศลเกิดขึ้นก็หาทางรักษาไว้
อกุศลเกิดขึ้นก็หาทางละ มันจะแทรกแซง
แต่ถ้ามันเห็นทุกอย่างเท่าเทียมกัน
มันก็ไม่เข้าไปแทรกแซงแล้ว
ไม่มีความอยาก ไม่มีการแทรกแซง
ก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจอีกต่อไป
จิตใจเข้าถึงความสงบ
เหมือนความสงบที่ราบเรียบเสมอกันไปหมด
ค่อยๆ ฝึก วันหนึ่งก็จะเห็นอย่างนี้
เจริญสติปัฏฐานไป แล้วก็จะเห็นอย่างที่หลวงพ่อบอก
เห็นมาเป็นลำดับๆ
แต่ต้องรู้อย่างหนึ่ง ต้องลงมือปฏิบัติ
ธรรมะรู้ไม่ได้ด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน
ธรรมะรู้ไม่ได้ด้วยการคิด
ธรรมะรู้ไม่ได้ด้วยการนั่งเพ่งนั่งจ้องให้นิ่งๆ
รู้ได้ด้วยการเห็นกายอย่างที่กายเป็น
เห็นใจอย่างที่ใจเป็น
เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป
แล้วจะเข้าใจ เข้าใจก็วาง
พอวางแล้วมันก็หมดภาระ
อย่างถ้าเรายึดในกายอยู่มันก็จะเห็นแต่ภาระ
ถ้าเรายึดจิตอยู่เราก็จะเห็นแต่ภาระ มีภาระเยอะ
ร่างกายเราก็มีภาระ ต้องบำรุงรักษาเลี้ยงดูอะไรมากมาย
แต่มันมีขึ้นมาแล้วก็ต้องดูแลรักษามันไป เพื่ออะไร
เพื่อเอาร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรม
แล้วก็เพื่อเอาร่างกายนี้ไว้ทำประโยชน์
สงเคราะห์ผู้อื่น สงเคราะห์สัตว์อื่นไป
อย่างครูบาอาจารย์แก่เฒ่า อุตส่าห์สอนอุตส่าห์อะไร ท่านไม่ได้ผลประโยชน์อะไรของท่านอีกต่อไปแล้ว แต่ท่านทำไปเพื่อสงเคราะห์โลก
อาศัยร่างกายส่วนที่ยังเหลืออยู่ ช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้ ทำประโยชน์ให้คนซึ่งตามมาทีหลัง เขาตั้งใจกันแค่นั้นเอง ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเข้าตัวเองหรอก
มีแต่เรื่องเหนื่อย ใช้ขันธ์ทำงานทั้งวัน
ไม่ใช่สนุก เหน็ดเหนื่อย
หรือจิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเราภาวนาแล้วเห็น
จิตใจมีแต่ภาระ เดี๋ยวก็กระเพื่อมขึ้น เดี๋ยวก็กระเพื่อมลง
เดี๋ยวกระทบอารมณ์ดี เดี๋ยวกระทบอารมณ์ร้าย
แกว่งไปแกว่งมา
เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง
เดี๋ยวก็ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์
แกว่งตลอดเวลาเลย เป็นภาระ
เฝ้ารู้เฝ้าดู เราจะเห็นมันกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา
จิตเราเป็นคนรู้คนดู
เราจะเห็นทุกครั้งที่มีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กระทบมันจะกระเทือนเข้ามาที่นี่
กระเทือนเข้ามา จะสะเทือน ไหวสะเทือนขึ้นกลางอกนี้ล่ะ
ภาวนาดูไปเรื่อยมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย
กระทบแล้วก็กระเทือน กระเทือนแล้วนั่นล่ะทุกข์
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป ไม่เห็นมีอย่างอื่น มีแต่ทุกข์
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
เฝ้ารู้ไปเรื่อย จะเห็นมีแต่ทุกข์จริงๆ
ถึงจุดหนึ่งจิตมันก็ปล่อยวางจิต มันสลัดทุกข์ทิ้ง
มันสลัดขันธ์ทิ้งไป จิตมันเป็นอิสระขึ้นมา ก็ว่าง
หลวงพ่อเทศน์มาเยอะแล้ว ขอย้ำ
ต้องเอาไปทำ ถ้าไม่ทำจะไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกหรอก
เพราะหลวงพ่อก็ฟังจากครูบาอาจารย์มา
ฟังไม่มากด้วย แต่หลวงพ่อทำมาก ปฏิบัติเอา
แล้วสังเกตเอา ผิดก็รู้ ถูกก็รู้ นานๆ ก็ไปให้ครูบาอาจารย์เช็คทีหนึ่งว่าโอเคไหม ส่วนใหญ่ก็คือช่วยตัวเอง ดูตัวเอง สังเกตตัวเองไป
ที่พัฒนาขึ้นมาได้ก็เพราะได้ยินได้ฟังธรรมะที่ดี
หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎก ไม่ใช่ไม่อ่าน
อ่านตั้งหลายรอบพระไตรปิฎก
เดี๋ยวคนจะบอกหลวงพ่อไม่รู้ปริยัติ ไม่ใช่นะ เข้าใจผิดแล้ว
บางคนบอกว่าหลวงพ่อไม่ทำสมาธิ เข้าใจผิดแล้ว
เราทำมาตั้งแต่ 7 ขวบแล้ว
แต่เราเรียนไปเรื่อยมันเข้าใจ
เรียนให้เข้าใจไม่ใช่เข้าสมอง
ไม่ใช่เข้าหูซ้ายออกหูขวา
เพราะฉะนั้นฟังที่หลวงพ่อเทศน์แล้ว ไปดูของจริง
ถ้าไม่ไปดูของจริง ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
ทุกวันนี้ธรรมะเต็มอินเทอร์เน็ตเลย
ครูบาอาจารย์สอนอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย
แต่ละองค์มีมากมาย ถูกบ้างผิดบ้าง อะไรก็มีสารพัด
แล้วแต่เวรแต่กรรม ก็ภาวนาเอา
ถ้าไม่ภาวนามันก็โง่ไปเรื่อยๆ มันไม่เข้าใจหรอก …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กันยายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา