4 ต.ค. 2022 เวลา 06:25 • สุขภาพ
Burnout หรือสภาวะหมดไฟ
สรุปมันคืออะไร แล้วทำไมมีแต่คนเบิร์นเอ้าท์
หลายๆคนมีความเข้าใจว่า สภาวะหมดไฟเป็นอาการที่ไม่มีอยู่จริง หรือ เป็นอาการที่สังคมสมัยใหม่อุปโลกน์ขึ้นมา หลายคนคิดว่าการเบิร์นเอ้าท์คือขั้นกว่าของความขี้เกียจ ซึ่งเราจะสรุปตรงนี้ว่า…
สภาวะหมดไฟ หรือ Burnout คือการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่มีผลต่อการทำงานของสมองจริง และสามารถทำให้เกิดอาการทางร่างกายได้จริง
หมอนักเชียน
สภาวะหมดไฟ คือการที่จิตใจเราเหนื่อยล้าเนื่องจากความเครียดเรื้อรัง สภาวะนี้มาได้หลายรูปแบบ โดยหลักๆคือ เมื่อจิตใจเราอ่อนล้า เราจะรู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าพลังงานต่ำ สมองตัน มึนงง ความคิด ความอ่านก็จะออกมาในเชิงลบ ความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการเรียนรู้ ก็จะต่ำลดไปด้วย และที่น่ากังวลที่สุด มุมมองต่อตัวเองก็จะเปลี่ยนไปในเชิงลบ ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่าและไม่มีตัวตน
อ้างอิงจากงานวิจัยจาก Current Biology ในปี 2016 ความเหนื่อยล้าทางจิตใจยังคงเป็นอะไรที่ หลายคนยังถกเถียงกันอยู่ว่า มันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับความเหนื่อยล้าทางจิตใจคือ
การที่เราเผชิญกับความเครียด เป็นเวลานาน จะทำให้สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ที่ชื่อว่า กลูตาเมท (glutamate) รวมตัวสะสมกันอยู่ในพื้นที่นอกเซลล์ประสาท ซึ่งนำไปสู่ระดับของกลูตาเมทในสมองสูงกว่าปกติ การเปลี่ยนแปลงนี้แหละที่ส่งผมต่อ ความคิด ความอ่านและ การตัดสินใจของเรา
การที่เรารู้สึกเหนื่อยล้ามันคือสัญญาณจากสมองที่บอกให้เรา พักก่อน ไปพักก่อนเถอะ ไม่ไหวแล้ว
ซึ่งนอกจากอาการทางด้ายอารมณ์และมุมมองที่เปลี่ยนไปแล้ว สภาวะหมดไฟยังสามารถนำไปสู่อาการทางร่างกายได้อีกด้วย! อาการที่พบบ่อย มักจะเป็นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (ไม่นับ office syndrome หรือโรคจากการทำงานนะคะ) อาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ปวดท้อง ไม่สบายท้อง หรือ ปวดหัว
ทำไมช่วงนี้มีแต่คนเบิร์นเอ้าท์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การที่สมองเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของเรา ซึ่งความเครียดนี้ นอกจากจะมาจากการทำงาน หรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานแล้ว เรื่องอื่นๆ รอบตัวก็ทำให้เกิดความเครียดได้
ต้องยอมรับกันตามตรงว่า ช่วง 2-3 ปีมานี้เป็นช่วงเวลาที่หลายๆคนมีเรื่องให้คิดเยอะกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะยุคนี้ที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส เรื่องโรคโควิด เรื่องประชาธิปไตย เรื่องคุณภาพชีวิตที่ไม่ไหว ข่าวสะเทือนใจ หรือดราม่ารายวัน สิ่งเหล่านี้มีผลต่อความคิดและจิตใจเราไม่มากก็น้อย
ประกอบกับว่าตอนนี้เราสามารถเสพสื่อจากต่างประเทศได้ง่าย ไม่ว่าจะผ่าน tiktok หรืออื่นๆใดๆ ซึ่งเมื่อเราเห็นถึงความแนวคิดและความคุณภาพชีวิตที่แตกต่างของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเมื่อเราเปรียบเทียบสิ่งที่เรามี กับสิ่งที่เราได้เห็น เราก็ย่อมเกิดความไม่พอใจและความเครียดเป็นธรรมดา
แล้วเราทำอะไรได้บ้างไม่ให้หมดไฟ หรือ ให้กลับมามีไฟ
(โน้ตจากนักเขียน: ความเครียดบ่อยครั้ง เกิดจากเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราโฟกัสในส่วนที่เราควบคุมได้ข้างล้างนี้นะคะ)
  • การพักผ่อน มีผลต่อจิตใจเรามาก การได้นอนหลับเต็มอิ่มทำให้สมองได้พักผ่อนและรีเซ็ท (ตามลิ้งข้างนี้เลย) หรือแม้แต่การพักระหว่างเวลางาน ไม่ต้องนานแต่บ่อยก็สามารถช่วยได้
  • ลดการเสพสื่อ หรือข่าวสารที่อาจจะเพิ่มความเครียด — ชีวิตเรามีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว เรื่องอะไรที่ไม่สำคัญ ก็ใส่ใจให้น้อยลง
  • ใช้เวลากับคนที่ทำให้เราใจชื้น – อย่าลืมว่าแค่คุยกันสั้นๆก็ช่วยเติมพลังใจไห้เราได้
  • เรียนรู้ทักษะการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างขอบเขตในการทำงานให้ตัวเอง – สุขภาพจิตของเราควรจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะโอนอ่อนผ่อนปรน ถ้ามีอะไรที่เราลำบากใจ เราควรเรียนรู้ที่จะสื่อมันออกมา
สุดท้ายนี้
อยากจะย้ำกับผู้อ่านอีกทีว่า สุขภาพจิตเป้นเรื่องสำคัญ จิตใจเราก็เหมือนร่างกาย การจะสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ต้องอาศัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จิตใจเราก็ต้องการการดูแลอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน ฉะนั้นอย่าลืมหาเวลาเช็คตัวเองและเติมพลังใจกันนะคะ
อ้างอิง:
โฆษณา