14 ต.ค. 2022 เวลา 10:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Alive Drift (2022) - หนังแข่งดริฟต์รถจากญี่ปุ่นที่ระเบิดความมันส์ทะลุพิกัด
สวัสดีครับทุกท่าน ! ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากแพลนที่ผิดพลาด ทำให้จากที่ตั้งใจว่าจะไปดู Faces of Anne กลายเป็นได้เข้าไปดูเรื่อง Alive Drift (2022) แทน แถมยังเป็นรอบพากย์ไทยอีก
ก่อนเข้าไปชมก็มานั่งคิดว่า "หนังมันจะรอดไหมหนอ 😆" แต่พอดูจบปุ๊ปเดินออกจากโรง ก็อยากจะร้องออกมาว่า "สนุกแบบตะโกนนนนน 😂"
ด้วยความรู้สึกนี้เอง จึงอยากจะมาแนะนำหนัง เผื่อว่าท่านใดสนใจนะครับ
[ เรื่องย่อ ]
Alive Drift (2022) ได้รับการกำกับโดย Ten Shimoyama และมีการเชิญ Keiichi Tsuchiya เจ้าของฉายา "Drift King" หนึ่งในผู้ที่ทำให้เทคนิค Drift รถกลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลก เข้ามาเป็นดารารับเชิญ พร้อมกับควบคุมงานสร้าง
Alive Drift เล่าถึงเรื่องราวของทีม Alive ทีมดริฟท์รถที่กำลังจะยุบตัว เนื่องจากหานักขับรุ่นใหม่ไม่ได้ วันหนึ่งทีม Alive ได้พบกับ โคอิชิ โอบะ (Shô Aoyagi) หนุ่มเกมเมอร์ฝีมือฉกาจในเรื่องการดริฟท์รถอีสปอร์ต (Gran Turismo) ทีมงานได้ตัดสินใจร่วมงานกับโอบะ โดยมีเป้าหมายคือ เป็น "แชมป์อันดับหนึ่ง" ในการแข่งขันดริฟต์รถให้ได้
โอบะจึงต้องอาศัยประสบการณ์จากการขับในเกมส์มาใช้แข่งในสนามแข่งจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมากสำหรับเขา
[ ความรู้สึกหลังชม ]
- ความรู้สึกแรกหลังชม ต้องบอกว่า "ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้" มันเป็นความมันส์ / ความสนุกที่เรียบง่ายและพอดี ไม่ขาด ไม่ล้น ซึ่งไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ ในแต่ละปี ยิ่งพอเป็นหนังจากฟากเอเชียด้วยแล้ว ก็นับว่าน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าเทียบกับหนังที่ให้ความรู้สึกแบบเดียวกันในปีนี้ เรียกว่าหนังมีอารมณ์ที่ค่อนข้างคล้ายกับ Top Gun: Maverick (2022) ที่มาด้วยโปรดักชั่นและทีมงานระดับโลก ซึ่ง Alive Drift อาจไม่ได้มีกำลังเทียบเท่าในสเกลระดับนั้น ทว่าในเรื่องของความมันส์ ความอิ่มเอม ต้องขอชมว่าหนังทำได้น่าประทับใจ
- อันที่จริงเนื้อเรื่องของหนังดูเป็นสไตล์มังงะญี่ปุ่นขนานแท้ (เด็กอ่อนประสบการณ์ ฝึกฝนตัวเอง ตะลุยด่าน เพื่อสู้กับบอสใหญ่) เรียกว่าพล็อตเรื่องตรง ๆ ทื่อ ๆ ทว่าหนังก็รู้ตัวเองดีว่า "ตัวเองควรเดินไปในทิศทางไหน เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ชม" หนังเลยพยายามไม่เล่นท่ายาก แต่โฟกัสที่โครงเรื่องพื้นฐานแข็งแรง
และงัดเอาจุดเด่นของภาพยนตร์แนวกีฬามาใช้ นั่นคือ "การถ่ายทอดบรรยากาศและความดุดันในการแข่งขัน"
ยิ่งพอเป็นกีฬาดริฟต์รถด้วยแล้ว แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่คนขับรถส่วนใหญ่อาจฝันอยากลองทำ (แต่ทำไม่ได้ในชีวิตจริง 😂) ดังนั้นการถ่ายทอดประสบการณ์การดริฟต์ที่ได้อารมณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนดูอินไปกับเรื่องนี้
บรรยากาศการแข่งขันถูกถ่ายทอดอย่างจุใจ ผ่านมุมกล้อง การตัดต่อ ดนตรีประกอบ และซาวน์รถยนต์...
เมื่อทุกอย่างถูกอัดแน่นเข้าด้วยกัน "ประสบการณ์การชมภาพยนตร์ (Cinematic Experience)" ที่หนังมอบให้เลยโคตรคุ้มค่า เป็นกำไรกับผู้ชมอย่างยิ่ง
- องค์รวมหนังค่อนข้างดี พาร์ทต่าง ๆ ถูกใส่มาอย่างสมดุล ไม่ว่าจะแบ็คกราวน์ การฝึกฝน การแข่งขัน รวมถึงภาวะจิตใจ แรงทะเยอทะยาน ความฝันและเป้าหมายของพระเอก พาร์ทความรักก็ออกมาพอดี ไม่มากไม่น้อยจนแย่งความน่าสนใจจากโครงเรื่องหลัก ในส่วนดราม่าก็ไม่ฟูมฟายจนเยิ่นเย้อ
- จุดที่เป็นข้อเสีย พอมีบ้างในแง่ที่ว่า หนังพยายามเกลี่ยทุกอย่างให้บาลานซ์กัน ไม่ได้เพิ่มความลึกลงไปในเนื้อเรื่อง หลายอย่างยังไม่ได้ถูกสำรวจในเชิงลึก และหลายส่วนก็ถูกเล่าในลักษณะผิวเผิน (ส่วนนี้เป็นจุดที่ต่างกับ Top Gun: Maverick ที่ทำการบ้านตรงนี้มาได้ครบถ้วน)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหนังให้น้ำหนักกับบรรยากาศการแข่งขันเป็นหลัก ดังนั้นข้อเสียนี้จึงพอละวางไปได้และไม่ได้เป็นผลลบกับหนังจนเสียหาย
- อีกสิ่งที่น่าประทับใจ คือ "ความสมจริงในการถ่ายทำ" เนื่องจากผู้ควบคุมการสร้าง คือ Keiichi Tsuchiya "Drift King" ส่วนนี้ช่วยได้มาก เพราะแกเป็นนักกีฬาตัวจริง ดังนั้นแกจะรู้ว่าความสมจริงที่คนดูควรได้รับหน้าตาจะต้องเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ ในหนังมีการใช้กล้องและโดรนมากกว่า 20 ตัว รวมถึงรถแข่งจริงในการถ่ายทำ ส่วนฝั่งนักแข่งและสแตนอิน ก็เน้นใช้นักแข่งจริง ๆ ทั้งแชมป์ดริฟท์รถ รวมถึงเกมเมอร์ระดับ FIA Gran Turismo World Champion เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเรื่องราว
Keiichi Tsuchiya "Drift King"
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในซีนการแข่งขัน หนังจะดูออกมาโคตรเรียล สร้างความระทึกได้ในทุกซีนที่มีการแข่งดริฟต์รถ อาจจะมีเสียดายนิดนึง ตรงบางซีน กล้องติดรถดูไม่ชัดเท่าไร แต่เข้าใจว่า กล้องมันคงคุณภาพสูงสุดได้ประมาณนี้แหละ 😂
- จุดสุดท้ายที่น่าสนใจ คือ "ความ Local ในกีฬา Drifting ของญี่ปุ่น"
กีฬา Drifting เป็นกีฬาที่ค่อนข้างเฉพาะทางกว่ากีฬาแข่งรถแบบอื่น ๆ พอเราได้ชมหนังจากประเทศที่ทำให้กีฬานี้โด่งดัง มันเลยให้ฟีลลิ่งเหมือนกับเราได้ชมสิ่งที่เป็นออริจินัล ซึ่งตรงนี้ก็มีอิมแพ็คกับคนดู แถมยังได้เห็นเบื้องหน้า / เบื้องหลังในอาชีพนักกีฬา Drifting อีกด้วย
[ สรุป ]
Alive Drift (2022) เป็นหนังที่เจาะลึกกีฬา Drifting ได้อย่างน่าสนใจและแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ (อย่าง The Fast and the Furious: Tokyo Drift เน้นไปที่การแข่งใต้ดินมากกว่า)
โดยรวมถือว่าเป็นหนังที่สนุก / มันส์เกินคาด ฟีลลิ่งเหมือนดูกัปตันมาเวอร์ริคเวอร์ชั่นดริฟต์รถ ส่วนที่ดีที่สุดขอยกให้เป็นเรื่อง "Cinematic Experience และความสมจริงของภาพยนตร์" สิ่งนี้เป็นส่วนที่เหมือนจะไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะถ่ายทอดออกมากันได้ง่าย ๆ ซึ่ง Alive Drift ก็ทำออกมาได้โคตรน่าประทับใจ
ดังนั้นหากใครสนใจ ก็แนะนำให้รีบไปชมนะครับ เห็นกระแสไม่บูมเท่าไร คิดว่าไม่น่าจะอยู่ในโรงนาน... อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทุกท่านจะมันส์ติดใจแน่นอน !
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา