8 พ.ย. 2022 เวลา 06:35 • ศิลปะ & ออกแบบ
Sistine Chapel Ceiling
งานที่ไม่น่าเป็นไปได้ของ Michelangelo
#BenNote จาก #Journey_with_Arts #EP3
#Round_Finger คุยกับ อ.ภากร มังกรพันธุ์
เปิดมาด้วยคำถามที่ว่าทำไมอาจารย์เลือกภาพบนเพดานโบสถ์ Sistine Chapel มาคุยกัน เมื่อเราจะพูดถึงงานของ Michelangelo
อาจารย์ภากรบอกว่าเพราะงานชิ้นนี้มหัศจรรย์มาก เป็นงาน Fresco ที่อยู่บนเพดานที่ใหญ่ที่สุด!!! เป็นงานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ มัน Incredible ขนาดที่ว่า...ต่อให้ตลอดชีวิตของ Michelangelo สร้างสรรค์งานแค่ภาพนี้ภาพเดียว ไม่ได้ทำงานชิ้นอื่นอีกเลย ก็จะยังถือว่า Michelangelo โคตร Genius เพราะมันทั้งยาก ทั้งสื่อความหมายที่มาจากการค้นคว้าลึกซึ้ง คือมันเต็มไปด้วยความอัจฉริยะของ Michelangelo โดยแท้จริง
1.
จุดเริมต้นของงานที่ยิ่งใหญ่ชิ้นนี้
งานชิ้นนี้เป็นงานในยุค Renaissance ยุคเดียวกับ Davinci นั่นเอง >> สมัยนั้น Italy ยังไม่รวมกันเป็นประเทศเนาะ ยังมีการแข่งขัน การรบพุ่งทำสงครามระหว่างแคว้นอะไรกันอยู่ ที่นี้ Renaissance เนี่ยมันมีจุดเริ่มต้นที่ Florence ทำให้ Florence รุ่งเรืองมาก
Pope Sixtus IV แห่ง Rome เห็นว่าไม่ได้การละ โรมจำจะต้อง Rebuild โรมบ้าง ไม่งั้นมันเสียหน้าเว้ย ... Pope ก็เลยลงมือดำเนินการหลายอย่าง เช่น เอาศิลปะวิทยาการกลับมา ทำให้ถนนหนทางสะอาด (อ่อ ... แน่นอนว่าไม่ได้ทำ Big Cleaning เฉยๆ ยุคนั้นมีคนจรจัดเยอะ ทำให้ถนนไม่สวย Pope สั่ง “เก็บ” เรียบ ... คนหายไปเลย หายไปในอากาศ ... แห่ะ) สร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมา รวมทั้ง Sistine Chapel ด้วย
1
Sistine Chapel มีกำแพงหนามาก เพราะตั้งอยู่ใน Vatican และอยู่ในช่วงสงคราม (ช่วงนั้น Pope ออกรบด้วยนะ มันเป็นเรื่องของอำนาจ ผลประโยชน์ การเมืองน่ะนะ) และน่าจะเป็นเพราะเรื่องวิศวกรรมด้วย (อาคารกว้าง – ใหญ่ – สูง หลังคาโค้ง และไม่มีเสาช่วยรับน้ำหนักเลย ต้องถ่ายน้ำหนักจากหลังคาลงมาที่กำแพงค่ะ กำแพงเลยต้องหนาพิเศษ) การก่อสร้างดำเนินไปเรื่อยๆ ระหว่างการสู้รบของ Rome (Vatican) กับ Florence
จนในที่สุดมีการทำสนธิสัญญาสงบศึกกันระหว่าง Pope Sixtus IV แห่ง Rome และ Lorenzo the Magnificent แห่ง Florence ในปี 1480 (Michelangelo เกิด 1475) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Sistine Chapel ก่อสร้างเสร็จพอดี และต้องตกแต่งภายใน Lorenzo ซึ่งฟูมฟักศิลปินไว้เยอะ มี Arts Academy ก็ส่งสุดยอดฝีมือมาช่วยทำ Fresco เช่น Botticelli, Perugino, Rosselli และ คนสำคัญ Ghirlandaio สุดยอดฝีมือ Fresco ซึ่งเป็นอาจารย์ของ Michelangelo
2
พี่โล่มาช่วยทำงาน Fresco ที่เพดานโบสถ์ Santa Maria Novella ตั้งแต่เด็ก (ชิ้นงานที่ Santa Maria ขนาด 6,000 ตร.ฟุต (ที่ Sistine Chapel ใหญ่กว่า 2 เท่า)) ระหว่างฝึกฝีมือกับ Ghirlandaio ตัว Michelangelo คงได้ยินชื่อเสียงความเจ๋งความยิ่งใหญ่ของงานที่ Sistine Chapel มาตลอดเวลา (ประมาณว่านี่นายอยู่กับทีมที่สุดยอดมากเลยนะ ทีมนี้ได้ไปทำงานใหญ่เบอร์นั้นเลยนะเว้ยแก ... อะไรแบบนี้ ละมั้งนะ 555)
แต่ถึงแม้ว่าระหว่างที่เป็นศิษย์ของสุดยอดฝีมือเฟรสโก Michelangelo จะทำได้ดีมาก เก่งมาก จนพ่อของฮีไปบอก Ghirlandaio ว่าควรจ่ายค่าตัว Michelangelo เป็น Artist นะไม่ใช่ Trainee (แหม่ ... พ่อก็กล้าเนาะ แต่งานพี่เค้าคงเริ่ดจริงๆ นั่นแหละ ... นั่นคือตอนที่ Michelangelo อายุ 12-13 ปีเองนะ)
อ่ะ... แต่ถึงจะมีพรสวรรค์ทางด้าน painting แค่ไหน ... Michelangelo ก็ชอบงานประติมากรรมมากกว่า เพราะมันเป็น 3 มิติ พี่โล่รู้สึกว่ามันเจ๋งกว่างาน Painting >> ดังนั้นหลังจากอายุ 14-15 พอช่วยอาจารย์ที่ Santa Maria Novella เสร็จ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่า Michelangelo วาด Fresco อีกเลย
ดังนั้น Michelangelo ถือว่าตัวเองไม่ใช่จิตรกรนะคะ เขาเป็นประติมากร
งาน Fresco มาโผล่อีกทีก็วาด Sistine Chapel ตอนอายุ 30 กว่าเลย ... เหยยยย ... ขนลุกกกกกก (คือทิ้งไปนานมากแล้วกลับมาทำงานที่ยากได้เบอร์นี้ ... ไม่เรียกว่า “เทพ” ก็ไม่รู้จะว่ายังงัยแล้ว)
จากบันทึกของ Michelangelo หลังจาก Sixtus IV ตาย Pope Julius II ขึ้นครองอำนาจ Julius ได้ยินชื่อเสียงที่โด่งดังมากของ Michelangelo จากประติมากรรม Pieta / David จึงเรียกให้ Michelangelo มาสร้างหลุมศพให้ ... คือผู้ยิ่งใหญ่สมัยก่อนเขาชอบสร้างหลุมศพก่อนตาย เพื่อให้มันยิ่งใหญ่โอฬารได้ดั่งใจ และงานที่ Julius ตั้งใจให้พี่โล่มาทำก็เป็นงานอภิมหึมามหาโปรเจ็คท์มากๆ ...
ประมาณว่าต้องการให้ Michelangelo ทำประติมากรรมแบบ David หรือเอาแบบใหญ่กว่าได้ยิ่งดี 40 ตัว!!! ... สบายละ Michelangelo ได้รับใช้ Pope และเป็น Project ยาวด้วย (พี่โล่น่าจะคิดว่า ... รวยละตรู ... 555)
แต่ ... ศิลปินยุคนั้นเนาะ เขามีความแข่งกัน เขม่นกัน เตะตัดขากันเป็นเรื่องปกติ Bramante ซึ่งเป็นสถาปนิกให้ St. Peter’s อยู่ทักท้วง Julius ว่ายังไม่ควรสร้างหลุมศพตนนี้ ไม่รู้พูดอีท่าไหน Julius เชื่อด้วย สั่งชลอโครงการไปก่อน Michelangelo ถึงกับเซ็ง ไม่เซ็งธรรมดา เป็นเราคงเซ็งสุดขีดเลยทีเดียว...
แต่ๆๆ มันคงเป็น Destiny แหละช่วงนั้น Sistine Chapel เกิดทรุดพอดี (คือกำแพงนาง Strong แต่พื้นอ่อนแอว่ะ) สถาปนิกที่มาดูการซ่อมคือ Sangaro แห่ง Florence ซึ่งเป็น Mentor ของพี่โล่ ซ่อมไปซ่อมมาอีท่าไหนไม่รู้ Sangaro ทำเพดานร้าวจ้ะ (ไม่ต้องกรีดร้องไปนะคะ ภาพ Fresco ที่สุดยอดศิลปินทั้งหลายมา Paint กันไว้มันอยู่ที่ผนังค่ะ คือไม่มีใครคิดว่าคนมาโบสถ์จะแหงนเงิบขึ้นไปดูภาพบนเพดานกันเนาะ บนเพดานที่ศิลปินรุ่นแรก paint ไว้เลยเป็นท้องฟ้า + ดวงดาวเท่านั้นงับ)
Julius เลยบอกพี่โล่ว่า อ่ะ ... ยังไม่ได้ทำหลุมศพงั้นมาทำ Fresco เพดานให้หน่อย (อารมณ์ไหนไม่รู้เนาะให้ประติมากรที่ดังมากๆ ไป paint เพดานโบสถ์เนี่ย) เป็นเรื่องสิฮะ Michelangelo หนีกลับเลยจ้า ไม่ทำเว้ย ... เปรี้ยวสุด ... แต่มันเป็นเรื่องฮะ คือดอกนี้แปลว่าแกหนีงาน Pope งัย แล้วสงครามก็เพิ่มสงบได้ไม่นาน ผู้นำของ Florence เลยขอให้ Michelangelo กลับไปทำ ให้ Pope ซะดีๆ ...
ในที่สุดพี่โล่ก็รับทำ … ทำไม?
- เพราะอี Bramante พี่โล่เชื่อว่า Bramante เป็นคนยุ Pope ให้ Pope ให้งานยากกับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองทำงานล้มเหลว ... แค้นนี้ต้องชำระ
- เพราะ Sangaro ซึ่งเป็น Mentor ของ Michelangelo แข่งแพ้เสียงาน St. Peter’s ให้ Bramante นอกจากแก้แค้นให้ตัวเองแล้ว ยังแก้แค้นให้พี่เลี้ยงเลือดฟลอเรนทีนเหมือนกันได้ด้วยอีกดอก
- เพราะอาจารย์ของตัวเองและทีมสุดยอดศิลปินแห่ง Florence เป็นคน Paint งาน Fresco ชุดแรกที่นี่ไว้ ถ้าเขามาวาดสิ่งที่เจ๋ง ใหญ่โตกว่า ยากกว่า มันจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาเจ๋งจริง
สรุปคือ Ego ล้วน 555 จะเอาชนะแหละ เอาชนะอาจารย์ เอาชนะศัตรูที่มาหยามทั้งตัวเองและพี่เลี้ยงด้วย มันเลยฮึดขั้นสุด และยอมรับทำงานที่ยากมากๆ ชิ้นนี้ >> ยากเบอร์ไหน?? ก็แค่กว้างใหญ่ไพศาลประมาณสนามบอล ยั้ง…ยังไม่พอ อิเพดานนี่มันอยู่สูงม๊ากกกกก ... 20 เมตรโน่นเลยเว้ยเฮ้ย (มันคือความสูงของตึก 6 ชั้นอ่ะ)
เล่ามาถึงตรงนี้คุณเอ๋บอกว่าเหมือนได้ฟังเรื่องราวของหนังจีนกำลังภายใน แบบว่ามีการแก้แค้นให้ศิษย์พี่ 555 ... เนี่ย ... เบ็นชอบเวลานักประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังก็ตรงนี้แหละ มันสนุกมากเลยนะไอ้พวกเกร็ดข้างหลังภาพพวกนี้ จะให้ไปอ่านค้นคว้าปะติดปะต่อเชื่อมโยงเอง ง่า... ก็ไม่รู้ว่าจนภาพพังไปแล้วเบ็นจะประกอบเรื่องเองได้สักกระผีกริ้นของ อ. หรือเปล่า ขอบคุณอ. มากๆ นะค้า ... สนุกจัง 😊
1
[เกร็ดเพิ่ม]] ให้หนุกหนานกันเข้าไปอีก
ช่วงที่ Michael Michelangelo ทำงานที่ Sistine Chapel นี้เป็นช่วงเดียวกันกับที่ Rafael มาทำงานอยู่แถวๆ นี้ด้วย (พี่ราฟานี่คือคู่กัดคนนึงของพี่โล่เค้าแหละ มีหลักฐานว่าคู่นี้เขม่นกัน แขวะกัน ด่ากันกระจาย แหม่ ปวศ. จริงนี่ยิ่งกว่านิยายอีกเนาะ 555) อ่ะ สรุปว่าฮีไม่ถูกกัน .. ละต้องมาทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน คือตอนที่พี่โล่แหงนเงิบเพ้นท์เพดานอยู่ ขุ่นพี่ราฟาแกก็เพ้นท์ School of Athens อยู่ในบริเวณอาคารใกล้เคียงกัน (imagine ได้ไหมคะว่ามันจะบันเทิงเบอร์ไหน 555)
มันไม่ใช่แค่นั้นสิคะ ... ปมชั้นเดียวไม่เจ้มจ้นพอ 😊 ที่มาของการได้มาเพ้นท์ School of Athens ของพี่ราฟาก็เป็นประเด็นค่า ... เรื่องมีอยู่ว่า ... Pope ใหม่ (Julius นั่นเอง) แกเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใน Apartment ใกล้ๆ Sistine Chapel แล้วก็...คงไม่ชอบ Style ของคนที่อยู่มาก่อนแหละ เลยจะตกแต่งบ้านและละแวกบ้านใหม่ว่าซั่น ... ห้องสมุดและอาคารต่างๆ รอบๆ Sistine Chapel ก็เช่นกัน
ช่วงนั้น Bramante กำลังขึ้นหม้อ ... ว่าแล้ว Pope ก็ให้ Bramante เป็นคนจัดการหาศิลปินมาตกแต่งให้ ... เดาได้ใช่ไหมคะ Bramante พาใครมา พี่เขามาจากเมือง Urbino ก็เลยพาศิลปินจาก Urbino เข้ามาทำ ... และ Rafael เป็นหนึ่งในนั้น พีคไปอีกจ้ะ ... ยิ่งไม่ถูกกันอยู่แล้ว พี่ราฟาได้คะแนนความเหม็นไปอีกกระทงใหญ่เลยจ้ะ 555
เค้าว่ากันว่าที่จริง Pope ชอบฝีมือ Painting ของ Rafael มากกว่านะ เดี๋ยวเรามาตามอ่านกันไปเรื่อยๆ นะคะ ว่า Rafael รู้สึกอย่างไรกับงานที่ยิ่งใหญ่มากๆ ของพี่โล่ชิ้นนี้
 
สรุปว่า Michelangelo ก็รับงานนี้และงาน Paint ชิ้นนี้ก็กินเวลายาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ. 1508 – 1512 … เริ่มงาน May 10, 1508 จบงาน Oct. 31, 1512) และ Pope Julius II ก็ตายหลังจากภาพนี้เสร็จเพียงแค่ปีเดียว (21 Feb. 1513) … ส่วน Bramante ตายตามไปอีก 1 ปีให้หลัง (ไม่ได้กระอักโลหิตตายหรอกใช่ไหม 555)
2.
ความยาก ย๊าก ยาก ยาก ยาก ยากกกกกกกกกกกก ...
#ขนาด
ภาพบนเพดานโบสถ์ Sistine Chapel นี่มีขนากว้าง 13.40 x 40.90 x สูง 20 เมตร!!! (คือ Michelangelo วาดต่อลงมาด้านข้างบริเวณช่องแสง เหนือกำแพงที่ปรมาจารย์รุ่นเก่าวาดเอาไว้ด้วย ... นึกภาพออกไหมคะคือกำแพงโบสถ์สูง 12 เมตร + ช่องแสงที่โค้งเป็น Arch อีก 8 เมตร คือโถงนี้สูงรวม 20 เมตร เท่ากับว่าจุดสูงสุดของชิ้นงานของพี่โล่ มีความสูงอยู่ที่ 20 เมตร!!!... ขุ่นพระขุ่นเจ้า
นึกภาพว่าเอาสนามฟุตบอลไปอยู่บนเพดานให้ศิลปินหงายเงิบวาดรูปอ่ะ คนทำได้...ไม่มหัศจรรย์ก็ไม่รู้จะว่ายังงัยแล้ว และเมื่อเทียบกับขนาดของตัวคน … ถ้าเราเดินเข้าไปใน Sistine Chapel คุณเอ๋บอกว่านี่เป็นงานศิลปะที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่คุณเอ๋เคยดูงานศิลปะมาทั้งในแง่ของ “ขนาด” ... “จำนวน” และ “ตำแหน่ง” (หวังว่าสักวันจะได้มีโอกาส Stunned แบบนั้นบ้าง ยิ่งถ้าได้ไปกับทัวร์ Journey with Arts นี่จะยิ่งนับเป็นวาสนา ... ฮู่ยยย ขนลุก 😊)
#วิธีทำงาน
ทฤษฏีล่าสุดบอกว่า Michelangelo ไม่ได้ตั้งนั่งร้านขึ้นไปจากพื้น แต่ทำคานปลายยื่น(Cantilever Beam) ออกมาจากโครงสร้างทั้ง 2 ด้านของโบสถ์ (ด้านซ้าย - ขวา) ที่ระดับ +12.00 เมตร เพื่อรับแผ่นพื้น (อารมณ์เหมือน Catwalk ทำงานบนที่สูงของอาคารที่มีหลังคาสูงอ่ะค่ะ) แล้วสร้าง Arch ที่ด้านบนเป็น Steps มาวางคร่อมจากซ้ายไปขวา เพื่อให้สามารถขึ้นไปยืนเพ้นท์บนนั้นและไต่ระดับตามโค้งของเพดานขึ้นไปได้
มีเรื่องเล่ากันว่า Pope Julius II สั่งให้ Michelangelo วาด 12 อัครสาวก พี่โล่รับคำแต่มีข้อแม้ว่า Pope ห้ามมาดูขณะทำงาน (Pope ก็มาแอบดูแหละ ปลอมตัวมา ปรากฏว่าโดนพี่โล่เขวี้ยงหัว ไล่ตะเพิดออกจากไซต์ 555)
ที่จริงน่าสงสาร Pope นะ คือ Michelangelo ก็วาดน๊าน...นานนน แกคงคิดอ่ะ ... แค่ 12 ตัวทำไมวาดนานจังวะ แล้วคงอยากดูว่าวาดอยู่จริงป่ะวะ 555 สรุปพอเปิดออกมา สั่งให้วาด 12 พี่โล่แถมกระจาย วาดไปทั้งหมด 300 ตัว (เรียกเป็นตัวได้ไหมนะ เอาเป็นว่าเรียกตามอาจารย์นะคะ 555) แม้แต่ในช่องตกแต่งที่มันไม่เรียบพี่เค้าก็วาด (หมายถึงตรงส่วนที่เรียกว่า Vault ค่ะ เป็นส่วนจั่วสามเหลี่ยมที่ต่อจากซุ้มหน้าต่างทอดยาวขึ้นไปบนเพดานอ่ะค่ะ)
#ความยาก
ถ้านึกไม่ออกว่าพื้นที่ทำงานแบบบนี้มันยากแค่ไหน มีศิลปินอเมริกันทดลองให้เราแล้วค่ะ คือ 2 คนนี้พยายามคำนวนว่าพื้นที่ขนาดนี้ใช้เวลา 4 ปี แต่ละช่องมันจะต้องใช้เวลาวาดนานแค่ไหน (คือหน้างานใหญ่มาก เวลาทำงานจะมาเปิดหน้างานทั้งเพดานเลยไม่ได้ มันต้องวาดไปทีละส่วน ทีมพี่โล่เค้าก็ตีกริดแบ่งพื้นที่ทำงาน ไม่ได้หาข้อมูลแน่ๆ นะคะ แต่เคยได้ยินว่าได้ทั้งหมด 150 กว่าช่อง อะไรประมาณนี้)
พี่ศิลปินอเมริกัน 2 คนนี้ เขาคำนวนมาได้ว่าแต่ละช่องจะใช้เวลาทำงาน 14 วัน!!! ทีนี้อยากรู้ว่ามันจะยากสักแค่ไหนใช่ไหม ก็ลองทำดูจ้ะ ... ทั้ง 2 คนทดลองไปทำงานในโบสถ์จริงๆ เลย แต่ที่ความสูงที่ย่อมเยากว่านะ ประมาณว่า 10 เมตรรัยงี้ ... เลือกวาดส่วนที่ชื่อว่า The Creation of Adam (รูปที่พระเจ้าแตะนิ้วกะอดัมอันเลื่องลือนั่นแหละค่ะ) ผลคือไม่ต้องถึง 14 วันค้าบผม แค่ 3 วันก็ต้องทำกายภาพบำบัดกันเลยทีเดียว
นึกถึงเป็นเรา อ.ภากรถามว่าเราเปลี่ยนหลอดไฟติดๆ กันได้ทีละกี่หลอด แค่หลอดเดียวก็แย่ละล่ะ (สำหรับเบ็นนะ 555) โดยส่วนตัว อ. เลยเชื่อว่าอาจจะไม่ได้ยืนวาด น่าจะมีนั่งร้านแผ่ด้านบนแล้ว “นอน” วาด แต่ก็ยังมึนกันอยู่ว่าทำนั่งร้านยังงัยนะ
(หรืออาจจะไม่ต้องมีนั่งร้านซ้อนหรอก เราก็แค่ทำ Step ให้สูงพอที่เราจะนอนวาดได้ ... ชีวิตจะลำบากไปไหมวะ จะแท่ดๆ ตัวเข้าไปถึง 20 เมตรกันอีท่าไหน? จะเอาอุปกรณ์เข้าไปกันยังงัย? … และในฐานะที่ทำงานกับพี่ๆ สายห้อยโหน มันจะ Safety กันอีท่าไหน มี Rigging Harness ไหมนะ ... พัก ... รออาจารย์ทั้งหลายหาข้อสรุปมาเล่าให้เราฟังละกัน 555)
#ยังยากไม่พอ ไปต่อเลยฮะ
#โบสถ์ต้องใช้งานระหว่างเพ้นท์ได้ด้วย!!!
Anthony Huge เขียนไว้ในหนังสือว่า Pope สั่งว่าให้วาดเพดาน แต่โบสถ์จะต้องยังใช้งานได้อยู่ และห้ามมีสีหยดลงมาด้วย (อืมมมม ... นึกถึงบางงาน Event ของเราที่ต้อง Set-up ระหว่างที่ลูกค้าใช้พื้นที่อยู่ด้วย มันโคตรยากเลยยยยย)
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลด้วยแหละว่าทำไมใช้นั่งร้านไม่ได้ >> Bramante มีความแจ๋มมาให้ไอเดีย ช่วยออกแบบให้ด้วยนะ บอกว่าทำนั่งร้านแบบมีเชือกหย่อนมาจากด้านบนสิ (นึกถึง Follow Spot Basket ของเมืองนอกเลยอ่ะ มีลูกค้าเคยจะให้เอากระเช้าไปแขวนกะโครงสร้างให้พี่ฟอลโล่ว์เราห้อยโหนส่องไฟมาจากบนโน้น เราขอบาย ... ขอขึ้นจากพื้นเถอะจ้ะ 555) อารมณ์นี้ถ้าใครนึกไม่ออกก็น่าจะคล้ายๆ นั่งร้านของพี่ๆ Spiderman ที่เช็คกระจกนอกตึกเนาะ แต่ Bramante จะให้เจาะรูห้อยมาจากเพดาน
2
Michelangelo บอกไม่ work เพราะทำเสร็จเก็บงานไม้ได้ คือเมิงจะให้ตรูขึ้นไปเพ้นท์อีรูที่เจาะห้อยเชือกลงมายังงัย (นอกจากเรื่องงานแล้ว คงมีหมั่นใส้ส่วนตัวด้วยแหละ ใครจะไปยอมรับ Idea หรือ Solution จากศัตรูเนอะ (เอ๊ะ ... นี่เราอินไปไหม 555))
Michelangelo เลยหาวิธีเองจนได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานนะคะ ศิลปินสมัยนั้น #ไม่ใช่แค่ต้องคิดงาน แต่ต้อง #คิดวิธีหรือเครื่องมือที่จะทำมันให้สำเร็จด้วย สถาปนิกก็ต้องคิด “รอก” หรือเครื่องมืออะไรก็ว่าไป ... นี่สอนเราได้เหมือนกันเนาะ เราจะคิดแค่งานเราไม่ได้ เราต้องคิดวิธีที่จะทำให้งานสำเร็จด้วย >> อย่าคิดแค่ภาพ ต้องคิดถึงผ้าใบ – พู่กัน – จานสี – และ Studio ด้วย มันจะมายังงัย?
มีสมมติฐานถึงวิธีการทำงานของ Michelangelo ที่โบสถ์น้อยคริสทีนไว้หลายทาง Anthony Huge คิดว่า Michelangelo ยืนเขียน อ้างอิงมาจากภาพ Sonnet (โคลง) ที่ Michelangelo เขียนถึงเพื่อน พี่โล่พรรณนาไว้ถึงความยากลำเค็ญแสนเข็ญของตัวเอง ความโหดหินของงานนี้ คืองานก็โคตรยาก วิธีทำงานก็โคตรทรมาน แล้วตรูยังไม่ได้เป็นจิตรกรอี๊กกกกก ตรูเป็นช่างแกะว้อยยยยยย ...
(เค้าเขียนเพราะแหละนะ อุปมาอุปไมย บุคลาธิษฐานสุดยอด ประมาณว่า “ใบหน้าของข้าเต็มไปรอยเปรอะเปื้อนของสีที่หยดลงมา ราวกับ Mosaic บนพื้นถนน” รัยงี้ ... แต่สรุปความว่าอย่างนี้แหละ อยากอ่านโครงไปหาเอาเน้อ โคลงมีความยาว 14 บรรทัดน่าจะป็นฉันทลักษณ์ของเขา ... ว่าแต่คนสมัยนั้นจะเก่งไปไหนวะเนี่ย วาดรูปได้ แกะสลักได้ เขียนบทกวีได้อี๊กกกก)
ใน Sonnet ไม่ได้มีบอกหรอกนะคะว่าพี่โล่ยืนเขียน แต่ในกระดาษที่เขียน Sonnet มีภาพ Sketch รูปคนยืนวาดรูปอยู่ค่ะ Anthony เลยมีสมมติฐานว่า Michelangelo น่าจะยืนวาด (แต่ที่อาจจะน้อยนางวาดแนวนอนไม่พอ เลยหมุนกระดาษวาดก็ได้ ใครจะรู้ 555)
เอาจริงก็อาจจะทั้งยืน ทั้งนั่ง ทั้งนอนแหละเนาะ วาดนานขนาดนี้คงอยู่ท่าเดียวไม่ไหว
แล้ว Michelangelo ป้องกันไม่ให้สีหยดลงพื้นยังงัย? รวมทั้งไม่ให้เศษปูนร่วงมาโดนหัว Pope ด้วยน่ะนะ เพราะงานนี้ต้องกระเทาะปูนเก่าออกก่อน เค้าว่ากันว่าพี่โล่ขึงผ้าขนาดใหญ่มากไว้ใต้ Catwalk ที่ตัวเองทำงานค่ะ นี่นอกจากจะทำให้ไม่มีอะไรร่วงมาข้างล่าง ... Pope ใช้งานโบสถ์ได้แล้ว ยังป้องกันไม่ให้คนเห็นงานก่อนอีกด้วย ... Genius!!!
ยากพอไหม ไม่พอเอามาอีก
#ความยากของเฟรสโก (Fresco)
เฟรสโกยากอยู่แล้ว แต่งานของพี่ Michael Michelangelo ยากกว่าเพราะเป็นการวาดแทนงานเก่า ขั้นตอนจึงมีเพิ่มขึ้นอีก
1. ต้องกระเทาะงานเก่าออก
2. วาดแบบร่างลงบนกระดาษไข
3. ปรุ outline ของแบบร่างไว้
4. สร้างนั่งร้าน
5. เตรียมกำแพง
6. Arriccio ฉาบพลาสเตอรชั้นแรก ซึ่งต้องแห้งภายใน 8 ชั่วโมง (ถ้าแห้งช้าจะมีปัญหาเรื่อง “รา” ตามมา Michelangelo ไล่ทีมผู้ช่วยทีมแรกออกเพราะผสมปูนไม่ได้ดั่งใจนี่แหละ) ... ศิลปินมีเวลาเขียนภาพประมาณ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งปกติศิลปินเซียนๆ จะเขียนได้ประมาณ 10 ตร.ฟุต แต่มีคนบอกว่า Michelangelo น่าจะทำได้ถึง 20 ตร.ฟุต
7. Transfer แบบร่างลงบนกำแพง (โดยเอาแบบร่างติดที่ผนัง แล้วเอาถุงเขม่า (Spolvero) ประคบตามรอยปรุ จะเกิดภาพร่างขึ้นบนกำแพง)
8. Intonaco ลงสีขณะปูนยังไม่แห้ง (ถ้าแห้งก่อนลงสีเสร็จคือต้องกระเทาะแล้วทำใหม่เท่านั้น)
9. Secco ทำให้แห้ง
ถ้าลงสีผิดมี 2 วิธีเท่านั้นคือ (1) ขูดออกถ้าปูนยังไม่แห้ง (2) กระเทาะออกทำใหม่
คือวิธีการยากม๊ากกกกก ... แล้วต้องวาดในที่สูงอีก ... วาดแนวนอนอีก ... ยากกว่านี้มีอีกไหม
มี ... OMG
#บรรยากาศภูมิอากาศก็ทรมาน
นี่คือโรมในศตวรรษที่ 15 หน้าร้อน...ร้อนมาก สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ หน้าหนาวและช่วงกลางคืนมืดสนิท มีเพียงแสงจากคบเพลิงสำหรับการทำงานเท่านั้น ... ยากจริงๆ ชีวิต
3.
การวางแพลนและความหมายของส่วนต่างๆ และการตีความพระคัมภีร์ของ Michelangelo
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแพลนของ Michelangelo
ภาพบนเพดานนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ครึ่งนึงคือเรื่องราวมนุษย์ก่อนทำบาปอยู่ในปฐมกาลเล่มแรกของพระคัมภีร์ อีกครึ่งเป็นเรื่องราวของมนุษย์หลังทำบาป เส้นแบ่งระหว่าง 2 ส่วนนี้ถ้าลากตั้งฉากลงมาที่พื้น จะเป็นเส้นแบ่งระหว่างที่นั่งบาทหลวงกับที่นั่งของคนธรรมดาพอดี จึงเท่ากับว่า >> บาทหลวงนั่งอยู่ใต้ภาพวาดมนุษย์ก่อนทำบาป >> คนธรรมดานั่งอยู่ใต้ภาพวาดของมนุษย์หลังทำบาป
ความหมายในภาพ
/1/ คัมภีร์ปฐมกาลพูดถึงการสร้างโลกของพระเจ้าซึ่งใช้เวลา 6 วัน
- Day 1: แยกความมืดออกจากความสว่าง
- Day 2: แยกน้ำจากฟ้า
- Day 3: แยกน้ำจากแผ่นดิน
- Day 4: สร้างพระอาทิตย์
- Day 5: สร้างสัตว์
- Day 6: สร้างคน
/2/ Michelangelo วาดการสร้างโลกของพระเจ้าในแต่ละวัน อย่างละเอียดมากๆ องค์ประกอบเยอะมาก คนทุกคน (Figures) มีความสมจริงของกล้ามเนื้อ เสื้อผ้า แสงเงา เมื่อคิดว่า...
- นี่คือการยืนแหงนหน้าวาดหรือนอนวาด ที่ตัวคนวาดถอยออกมาดูองค์ประกอบในระยะไกลไม่ได้
- ต้องใช้เทคนิค Fresco (ปาดปูน/ ลอกแบบ / ลงสี)
- งานมีวิธีการที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตรายตลอดเวลา (Quicklime หรือปูนดิบ มีความเป็นกรดสูง สามารถ burn ผิวหนังได้ถ้าสัมผัสตรงๆ)
งานนี้นี่ยิ่งกว่าความอัศจรรย์
ว่ากันว่า Michelangelo มีการคำนวณเผื่อ Distortion ไว้แล้วด้วย เพราะเพดานมีความโค้ง แต่ภาพของ Michelangelo ที่เราเห็นดูสมส่วน ... สุดจริงๆ
/3/ พระเจ้าในภาพของ Michelangelo จะเห็นเป็น Full Figure (ต่างจากศิลปินอื่นๆ ในยุคก่อนที่มักจะวาดให้เห็นแต่มือ และมีความใหญ่โตกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนของมนุษย์ในภาพ) และสูงวัย เพราะ Michelangelo ตีความว่าพระเจ้าอยู่มานาน เป็น Ancient of the day สิ่งที่จะสื่อว่าพระองค์อยู่มานานได้ในภาพคือ “ความแก่” นั่นเอง 😊
/4/ ภาพที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักคือภาพวันที่ 6 ของการสร้างโลก The Creation Of Adam ตามพระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์สร้างมนุษย์ให้ต่างจาก “สัตว์” ... ให้สามารถควบคุมสัตว์ได้ ดังนั้นแม้จะไม่ได้ตัวใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด หรือสวยงามที่สุด แต่มนุษย์คือ “มงกุฎแห่งการสร้าง” เพราะมนุษย์มี “ปัญญา”
ภาพนี้บอกอะไรเราบ้างเกี่ยวกับความละเอียดของ Michelangelo?
A. Michelangelo วาดให้ Posture ของพระเจ้าและ Adam ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือพระเจ้า Powerful ลอยได้ ในขณะที่ Adam นอนแหมะ Powerless ตามพระคัมภีร์คือพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจาก “ผงคลี” และระบายลมปราณให้ มนุษย์จึงเกิด “ชีวิต” ... Michelangelo ต้องการจะสื่อว่าสิ่งแรกที่พระเจ้าให้มนุษย์คือพลัง (Power) #พลังแห่งชีวิต (และตาม Real Phenomenon ปรากฏการณ์จริงเมื่อเราหมดลมหายใจ เราทุกคนก็คือผงคลี)
B. ในภาพนิ้วมือของพระเจ้าไม่ได้แตะกับ Adam มีการตีความว่านี่คือ Free Will ที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ เราตัดสินใจได้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้า ถ้าเชื่อเราต้องก็กระดกนิ้วขึ้นมาแตะกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง (ลึกล้ำอ่ะ)
C. พระเจ้าของยิวจะต้องมี One God >> ในพระคัมภีร์ห้าเล่มของ Moses (พันธะสัญญาเดิม) เขียนไว้ชัดเจนว่าอิสราเอลต้องนับถือพระเจ้าองค์เดียว เป็น Monotheism แต่ในประโยคแรกแห่งปฐมกาลที่เขียนว่าพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ปรากฏข้อความในภาษาฮิบรูว่า
“Earth and heaven Elohim created in the beginning”
คำว่า Elohim ในภาษาฮิบรูหมายถึงพระเจ้าแต่เป็นรูปพหูพจน์ (ในปฐมกาลทั้งหมดใช้ Elohim เวลาพูดถึงพระเจ้า) หมายความว่าอย่างไร? มีการอธิบายว่าหมายถึง #พระเจ้าและทีมของพระองค์ ในภาพของ Michelangelo ด้านหลังของพระเจ้าจึงมีทูตสวรรค์มาด้วยยั้วเยี้ยไปหมดเลย (555 คำของอาจารย์ค่ะ เห็นภาพเนอะ) นี่แสดงให้เห็นว่า Michelangelo ศึกษาพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง ทำความเข้าใจไปถึงภาษาฮิบรูโน่น และถ่ายทอดสื่อสารออกมาไม่ให้ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ที่เหลือ
D. มีการตีความต่อไปอีกว่าภาพพระเจ้าและทูตสวรรค์นี่ Outline ทั้งหมดมันคล้ายสมองนะ นอกจาก Davinci แล้ว “มนุษย์ผ่าศพ” อีกคนของยุคนี้ก็คือ Michelangelo นี่แหละ (งานประติมากรรมจึงออกมาเหมือนจริงมากทั้งกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นเอ็น ... แหม่ ... งานอดิเรกของพวกอัจฉริยะนี่มันช่าง ... พิเศษจริงๆ เรยยย แห่ะ) จึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นสมองจริงๆ
สมอง = Creativity ที่มนุษย์มีสัตว์ไม่มี เราอาจจะบินไม่ได้เหมือนนก ว่ายน้ำไม่เก่งเท่าปลา แต่เราจัดการและควบคุมสัตว์เหล่านี้ได้ทั้งหมดด้วยสมอง + ความคิดของเรา ... ภาพนี้จึงสื่อความหมายว่านอกจาก Power แล้วอีกสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์คือ “Brian”
“A man pains with his brain, not with his hands.” Michelangelo
E. โลก คือบ้านที่ตกแต่งไว้แล้วงดงามที่พระเจ้าสร้างให้เราอยู่ >> เราต้องรักษา
4.
เทคนิคพิเศษของ Michelangelo
- ภาพวาดของทุกคนจะมีรูปร่างหนาพิเศษ >> เพื่อให้มองจากระยะไกลแล้วเห็นชัด
- มีการใช้สี “เหลื่อม” ในภาพเพื่อให้เกิดมิติ และสีสำคัญ Michelangelo สามารถทำให้ภาพมีความ “แวววาว” ได้ด้วย (นอนวาดบนปูนเปียกนะอย่าลืม) – เช่นเทคนิคพิเศษที่ลงสี “งู” ในภาพ Fall and Expulsion
- ภาพวาดของ Michelangelo เป็น Sculpture Oriented ไม่อ่อนช้อย แต่เหมือนงานประติมากรรมที่มีมิตินูนออกมาจากสถาปัตยกรรมจริง เช่น ภาพเหล่าบรรดา The Prophets (ที่คอยมาเตือนมนุษย์เวลาทำผิด) พี่โล่วาดไว้ตามมุมต่างๆ รอบๆ โบสถ์ (ระหว่างช่อง Vault) เวลาเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยมุมที่ล้อกับสถาปัตยกรรม ด้วยเทคนิคการลงสี การวาดกล้ามเนื้อ ด้วยความสมจริง เราจะรู้สึกเหมือนมียักษ์มานั่งจับจ้องพฤติกรรมของเราอยู่
ในเพดานโบสถ์มีการวาด The Prophets นอกพระคัมภีร์ด้วย ซึ่งปกติศิลปินจะไม่ทำกัน มีการตีความว่าเพราะ Michelangelo ต้องการจะสื่อว่าคำประกาศของพระองค์ไม่ได้อยู่แค่ในคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังกำจรไปไกลกว่านั้นด้วย
- งานของ Michelangelo ไม่มี Background วุ่นวาย (ทั้งที่ศิลปินในยุคนี้นิยมวาด Background / Perspective) นี่ทำให้ทำให้ตัวละครในภาพของ Michelangelo โดดเด่น และสร้าง illusion ให้กับเราเสมือนว่าตัวละครเหล่านั้นปรากฏตัวอยู่ในสถาปัตยกรรมแห่งนั้นจริงๆ
5.
ความหมายที่อาจซ่อนอยู่
Michelangelo วาดภาพ Prophet Zachariah ไว้ในมุกด้านในสุดของโบสถ์ เวลาเดินเข้าโบสถ์แหงนหน้าขึ้นไปจะเจอภาพนี้ก่อน ... ทางสิว่าวาดหน้าใคร ... หน้าเป็น Pope Julius II ก็คงเอาใจนายจ้างล่ะเนาะ ไหนจะทำนาน ไหนจะไม่ตรงคำสั่ง 555
และวาน Jonah the reluctant Prophet อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Prophet Zachariah ผู้ประกาศคนนี้ตามพระคัมภีร์คือคนที่ไม่เต็มใจทำงานให้กับพระเจ้า แต่ถูกบังคับให้ทำ จึงมีการตีความว่าน่าจะหมายถึงตัว Michelangelo เองที่ไม่เต็มใจทำงานนี้ และถูกดันติดกำแพง ... ต้องทำ
มีเกร็ดเพิ่มเติมถึงความยากของ 2 ภาพนี้ว่าเป็นด้านหัวท้ายของโบสถ์ ซึ่งจะทำนั่งร้านไปชิดสุดไม่ได้ h พี่โล่น่าจะต้องใช้พู่กันยาวเมตรกว่าเพ้นท์ อาจจะไม่ได้ร่างแบบด้วย น่าจะวาดสด แล้วรายละเอียดยังยิบๆๆๆๆ เป๊ะๆๆๆๆ ... {{{ มึงทำได้ยังง้ายยยยย }}} อาจารย์บอกให้ทำเสียงสองด้วย 555
6.
ความมหัศจรรย์ปรากฏในยุคต่อมา
Sistine Chapel ใช้ทำพิธีเลือก Pope จึงมีควันเขม่าเยอะ จึงต้องทำความสะอาดและซ่อม ปรากฏว่าการซ่อมใช้เวลานานกว่าเวลาวาดมากกกกก ... คือ วาด 4 ปี ซ่อม 14 ปี!!! ... พี่น้องงงงง
7.
คู่แข่งรู้สึกอย่างไรกับงานนี้
ในขณะที่ Michelangelo วาดเพดานอยู่ คู่แข่งคนสำคัญของพี่โล่คือ Rafael ซึ่งเป็นเด็กของ Bramante ก็ทำงานวาด School of Athens อยู่ใน Library ของ Julius II อยู่เช่นกัน ห่างกันแค่ 5 นาทีเดินถึง...
School of Athens เป็นภาพที่มีความสำคัญ วาดยกย่องความยิ่งใหญ่ของนักปรัชญาชาวกรีก ตรงกลางภาพคือ Plato กับ Aristotle ... Rafael เอาหน้า Davinci มาใส่ให้ Plato
ที่น่าสนใจคือ Sketch แรกของ Rafael ไม่มีคนที่นั่งอยูที่พื้นด้านหน้า แล้วในภาพอิคนนี้หน้าตาเหมือน Michelangelo ใส่รองเท้าเหมือนพี่โล่ (คืออีพี่โล่นอนก็ไม่ถอดรองเท้า) บุคลิกซกมกไม่แคร์เวิลด์เหมือนพี่โล่ (พี่โล่ไม่ค่อยอาบน้ำ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ชอบคุยกะมนุษย์ กวนติงมาก...ว่างั้น) เสื้อผ้าก็เหมือนพี่โล่ด้วย
คนนี้ในภาพคือ Heraclitus เป็นนักปรัชญาชาวกรีก
ทำไม?? ทำไมพี่ราฟาถึงยอมวาดภาพศัตรูไว้ในงานชิ้นสำคัญของตัวเอง (ซึ่งต้องตั้งใจมากด้วยนะ เพราะงาน Fresco ถ้าไม่ได้ร่างไว้ก่อน ไม่ได้ตั้งใจจะให้มีตั้งแต่แรก การเพิ่มคนเข้าไปนี่ยากมาก ต้องกะเทาะภาพเก่าออกแล้วทำใหม่อ่ะ)
มีทฤษฎีว่าน่าจะเป็น 2 เรื่องคือ
- เออ กูยอมมึง มึงเจ๋ง มาอยู่ในรูปกูก็ได้ (คือแอบไปดูภาพแล้วต้องยอมอ่ะ)
- แหนะแหน นิดนึง 555 เอาบุคลิกมาครบ!!! แล้ววาดให้ไม่มีใครคุยด้วยด้วยนะ
8.
In summary
สรุปว่าที่เล่ามาทั้งหมด แค่มีงานนี้งานเดียวเราก็ต้องกราบ Michelangelo แล้ว เพราะนี่เป็นงานที่เรียกได้ว่า Mission Impossible ของแท้
- Michelangelo ไม่ได้เป็นจิตรกร แต่โดนบังคับทำ
- งานชิ้นใหญ่มาก ใหญ่กว่างานของอาจารย์เขาที่ Santa Maria Novella ถึง 2 เท่า
- เป็นงานที่มีเงื่อนไขมากมาย
- แต่ Michelangelo จัดเต็มทั้งเรื่องราว เทคนิค ไม่สนใจกรอบทั้งหมดที่ทั้ง Pope และใครๆ ตั้งใจ
9.
#BenThink
ฟังจบแล้วเบ็นคิดว่าสิ่งที่เรานำไปใช้ได้เลยคือ Mindset ของพี่โล่นะคะ ถ้ารับทำแล้ว ต้องทำให้ดีกว่าคำว่า “ดีที่สุด” อย่าให้คนอื่นและข้อจำกัดมากำหนดเรา เรากำหนดตัวเราเองได้
ขอให้ทุกคนพบเพดานของตัวเอง และพังเพดานออกไปให้ได้เหมือนพี่ Michelangelo ค่ะ งานของพี่โล่ไม่ได้อยู่ที่ Sistine Chapel แต่มันเปิดท้องฟ้าไปหาทุกคน และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินทั่วโลกเลย ... Go for your sky ค่ะ
ป.ล.
เบ็นเล่าไม่มันส์เท่าอาจารย์กับคุณเอ๋คุยกัน เชียร์ให้ตามไปดูได้ที่นี่นะคะ
2
มี Clip น่ารักๆ ที่ฝรั่งทำเรื่องการทำงานชิ้นนี้ของ Michael Michelangelo ที่อาจารย์ให้ Reference ไว้ด้วยค่ะ สนุกดี ตามไปดูกันได้นะคะ
Do You Know why the Sistine Chapel was Artrageous? | Art History Lesson - YouTube
ขอบคุณทั้งอาจารย์ภากรและคุณเอ๋มากๆ ค่ะ
#BenNote #bp_ben
#benji_is_learning #benji_is_drawing
#Sistine_Chapel_Ceiling #Michael_Michelangelo
#RoundFinger # Phagorn_Manggornpant #Inspiration
โฆษณา