จนในที่สุดมีการทำสนธิสัญญาสงบศึกกันระหว่าง Pope Sixtus IV แห่ง Rome และ Lorenzo the Magnificent แห่ง Florence ในปี 1480 (Michelangelo เกิด 1475) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Sistine Chapel ก่อสร้างเสร็จพอดี และต้องตกแต่งภายใน Lorenzo ซึ่งฟูมฟักศิลปินไว้เยอะ มี Arts Academy ก็ส่งสุดยอดฝีมือมาช่วยทำ Fresco เช่น Botticelli, Perugino, Rosselli และ คนสำคัญ Ghirlandaio สุดยอดฝีมือ Fresco ซึ่งเป็นอาจารย์ของ Michelangelo
2
พี่โล่มาช่วยทำงาน Fresco ที่เพดานโบสถ์ Santa Maria Novella ตั้งแต่เด็ก (ชิ้นงานที่ Santa Maria ขนาด 6,000 ตร.ฟุต (ที่ Sistine Chapel ใหญ่กว่า 2 เท่า)) ระหว่างฝึกฝีมือกับ Ghirlandaio ตัว Michelangelo คงได้ยินชื่อเสียงความเจ๋งความยิ่งใหญ่ของงานที่ Sistine Chapel มาตลอดเวลา (ประมาณว่านี่นายอยู่กับทีมที่สุดยอดมากเลยนะ ทีมนี้ได้ไปทำงานใหญ่เบอร์นั้นเลยนะเว้ยแก ... อะไรแบบนี้ ละมั้งนะ 555)
จากบันทึกของ Michelangelo หลังจาก Sixtus IV ตาย Pope Julius II ขึ้นครองอำนาจ Julius ได้ยินชื่อเสียงที่โด่งดังมากของ Michelangelo จากประติมากรรม Pieta / David จึงเรียกให้ Michelangelo มาสร้างหลุมศพให้ ... คือผู้ยิ่งใหญ่สมัยก่อนเขาชอบสร้างหลุมศพก่อนตาย เพื่อให้มันยิ่งใหญ่โอฬารได้ดั่งใจ และงานที่ Julius ตั้งใจให้พี่โล่มาทำก็เป็นงานอภิมหึมามหาโปรเจ็คท์มากๆ ...
ประมาณว่าต้องการให้ Michelangelo ทำประติมากรรมแบบ David หรือเอาแบบใหญ่กว่าได้ยิ่งดี 40 ตัว!!! ... สบายละ Michelangelo ได้รับใช้ Pope และเป็น Project ยาวด้วย (พี่โล่น่าจะคิดว่า ... รวยละตรู ... 555)
แต่ ... ศิลปินยุคนั้นเนาะ เขามีความแข่งกัน เขม่นกัน เตะตัดขากันเป็นเรื่องปกติ Bramante ซึ่งเป็นสถาปนิกให้ St. Peter’s อยู่ทักท้วง Julius ว่ายังไม่ควรสร้างหลุมศพตนนี้ ไม่รู้พูดอีท่าไหน Julius เชื่อด้วย สั่งชลอโครงการไปก่อน Michelangelo ถึงกับเซ็ง ไม่เซ็งธรรมดา เป็นเราคงเซ็งสุดขีดเลยทีเดียว...
เค้าว่ากันว่าที่จริง Pope ชอบฝีมือ Painting ของ Rafael มากกว่านะ เดี๋ยวเรามาตามอ่านกันไปเรื่อยๆ นะคะ ว่า Rafael รู้สึกอย่างไรกับงานที่ยิ่งใหญ่มากๆ ของพี่โล่ชิ้นนี้
สรุปว่า Michelangelo ก็รับงานนี้และงาน Paint ชิ้นนี้ก็กินเวลายาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ. 1508 – 1512 … เริ่มงาน May 10, 1508 จบงาน Oct. 31, 1512) และ Pope Julius II ก็ตายหลังจากภาพนี้เสร็จเพียงแค่ปีเดียว (21 Feb. 1513) … ส่วน Bramante ตายตามไปอีก 1 ปีให้หลัง (ไม่ได้กระอักโลหิตตายหรอกใช่ไหม 555)
มีเรื่องเล่ากันว่า Pope Julius II สั่งให้ Michelangelo วาด 12 อัครสาวก พี่โล่รับคำแต่มีข้อแม้ว่า Pope ห้ามมาดูขณะทำงาน (Pope ก็มาแอบดูแหละ ปลอมตัวมา ปรากฏว่าโดนพี่โล่เขวี้ยงหัว ไล่ตะเพิดออกจากไซต์ 555)
/3/ พระเจ้าในภาพของ Michelangelo จะเห็นเป็น Full Figure (ต่างจากศิลปินอื่นๆ ในยุคก่อนที่มักจะวาดให้เห็นแต่มือ และมีความใหญ่โตกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนของมนุษย์ในภาพ) และสูงวัย เพราะ Michelangelo ตีความว่าพระเจ้าอยู่มานาน เป็น Ancient of the day สิ่งที่จะสื่อว่าพระองค์อยู่มานานได้ในภาพคือ “ความแก่” นั่นเอง 😊
/4/ ภาพที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักคือภาพวันที่ 6 ของการสร้างโลก The Creation Of Adam ตามพระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์สร้างมนุษย์ให้ต่างจาก “สัตว์” ... ให้สามารถควบคุมสัตว์ได้ ดังนั้นแม้จะไม่ได้ตัวใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด หรือสวยงามที่สุด แต่มนุษย์คือ “มงกุฎแห่งการสร้าง” เพราะมนุษย์มี “ปัญญา”
A. Michelangelo วาดให้ Posture ของพระเจ้าและ Adam ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือพระเจ้า Powerful ลอยได้ ในขณะที่ Adam นอนแหมะ Powerless ตามพระคัมภีร์คือพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจาก “ผงคลี” และระบายลมปราณให้ มนุษย์จึงเกิด “ชีวิต” ... Michelangelo ต้องการจะสื่อว่าสิ่งแรกที่พระเจ้าให้มนุษย์คือพลัง (Power) #พลังแห่งชีวิต (และตาม Real Phenomenon ปรากฏการณ์จริงเมื่อเราหมดลมหายใจ เราทุกคนก็คือผงคลี)
B. ในภาพนิ้วมือของพระเจ้าไม่ได้แตะกับ Adam มีการตีความว่านี่คือ Free Will ที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ เราตัดสินใจได้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้า ถ้าเชื่อเราต้องก็กระดกนิ้วขึ้นมาแตะกับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง (ลึกล้ำอ่ะ)
C. พระเจ้าของยิวจะต้องมี One God >> ในพระคัมภีร์ห้าเล่มของ Moses (พันธะสัญญาเดิม) เขียนไว้ชัดเจนว่าอิสราเอลต้องนับถือพระเจ้าองค์เดียว เป็น Monotheism แต่ในประโยคแรกแห่งปฐมกาลที่เขียนว่าพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ปรากฏข้อความในภาษาฮิบรูว่า
“Earth and heaven Elohim created in the beginning”
ในขณะที่ Michelangelo วาดเพดานอยู่ คู่แข่งคนสำคัญของพี่โล่คือ Rafael ซึ่งเป็นเด็กของ Bramante ก็ทำงานวาด School of Athens อยู่ใน Library ของ Julius II อยู่เช่นกัน ห่างกันแค่ 5 นาทีเดินถึง...
School of Athens เป็นภาพที่มีความสำคัญ วาดยกย่องความยิ่งใหญ่ของนักปรัชญาชาวกรีก ตรงกลางภาพคือ Plato กับ Aristotle ... Rafael เอาหน้า Davinci มาใส่ให้ Plato
ขอให้ทุกคนพบเพดานของตัวเอง และพังเพดานออกไปให้ได้เหมือนพี่ Michelangelo ค่ะ งานของพี่โล่ไม่ได้อยู่ที่ Sistine Chapel แต่มันเปิดท้องฟ้าไปหาทุกคน และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินทั่วโลกเลย ... Go for your sky ค่ะ