8 พ.ย. 2022 เวลา 06:46 • ศิลปะ & ออกแบบ
The Last Judgement
วันสิ้นโลกในสายตา Michelangelo
#BenNote จาก #Journey_with_Arts #EP4
#Round_Finger คุยกับ อ.ภากร มังกรพันธุ์
กลายเป็น Fanclub ที่เหนียวแน่นของ Journey with Art ไปแล้ว อาจจะมาช้านิดนะคะ แต่รับรองมาแน่นอน เพราะอยากบันทึกเรื่องราวที่ได้ฟังไว้ในรูปแบบของตัวเองด้วยเช่นกัน EP นี้อาจารย์ชวนคุณเอ๋คุยเรื่อง The Last Judgement ภาพที่ยิ่งใหญ่อีกภาพของ Michelangelo ค่ะ ก่อนเข้าเนื้อหามาดูกันนะคะว่าภาพนี้น่าสนใจอย่างไร
ภาพนี้เป็นภาพ Fresco ที่ยิ่งใหญ่ภาพที่ 2 ที่ Michelangelo วาดไว้ โดยทิ้งห่างจากภาพแรก 25 ปี (ภาพแรกคือภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซีสทีน ที่มีขนาดใหญ่เท่าหนามบอลภาพนั้นแหละค่ะ อยากอ่านเรื่องราวของภาพแรกเชิญที่ EP.3 นะค้า #ช่วงเวลาขายของ 555) ... คือพี่โล่แกคงง่วนกับการแกะประติมากรรมอะไรของแกอยู่ เลยไม่ได้วาดภาพอีก (หรืออาจจะเข็ด แบบว่าต้องรักษาโรคหลังยอกนานเกิ๊นนนน มีความแหงนเงิบแอ่นระแน๊เพื่อวาดเพดานนานเกินไป :P)
ที่น่าสนใจคือทำไมพี่โล่กลับมาวาด ... ทั้งที่ตอนวาดภาพบนเพดานนี่ถึงกับแต่งกลอนตัดพ้อชีวิตเลยนะ ... ประมาณว่านี่มันงานอัลลัยว้า ทำไมชั้นต้องมาแอ่นอกจนหนวดชี้ฟ้า หน้าเปื้อนสี หลังยอก เจ็บไปทั่วทั้งสรรพางค์แบบนี้ด้วย มันทรมานนนนนนจริงๆ .... สภาพพพพ ... พี่โล่แกเขียนรำพันเป็น Sonnet เพราะกว่านี้ แต่ตีความคร่ำครวญได้ประมาณเน้แหละนะ ... เหนื่อยยากประมาณนั้นแล้วยังกลับมารับงานอีก แสดงว่า Michelangelo ต้องตั้งใจอะไรบางอย่าง
คุณเอ๋เสริมว่ามีคนตั้งข้อสังเกตุไว้น่าสนใจมาก เนื่องด้วยงานชิ้นนี้มีความเปลี่ยนแปลงและความแปลกหลายอย่าง ทั้ง Style การวาดก็ต่างไปจากที่เคยวาดเพดานไว้ จึงมีคนวิเคราะห์ว่านี่เป็นการสะท้อนถึงความคิดที่เปลี่ยนไปของ Michelangelo
ว่าแล้วก็เข้าเนื้อหา ไปดูภาพกันเลยค่า
1.
การกลับมาอีกครั้งของมิเกลันเจลโล (ออกเสียงตามภาษาอิตาเลียนว่างี้ค่ะ)
ภาพนี้ (The Last Judgement) Pope Clement VII (1533-34) เป็นคนสั่งให้พี่โล่วาด แต่ก็เหมือนคนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อเนาะ กว่าพี่โล่จะเริ่มวาดในปี 1535 Pope Clement VII ก็ตายไปละ (เสียดายแทนเนาะ อดเห็นเลย) งานใช้เวลาเพ้นท์ 4 ปี มาเสร็จเอาปี 1541 ในยุคของ Pope Paul III (1534-49)
ย้อนภาพกลับไปก่อนหน้านั้น ...
ในช่วงที่ Michelangelo หยุดวาดไป ... ประมาณ 5 ปีหลังจากที่วาดเพดานเสร็จ มีเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาเกิดขึ้น นั่นคือการปฏิรูปศาสนา (Protestant Reformation) ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1517 เมื่อ Martin Luther บาทหลวงชาวเยอรมันยื่น Open Letter ถึง Pope ภาษา Latin ที่หน้าโบสถ์ Gutenberg เพื่อแสดงถึงความไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดต่างๆ ของศาสนจักร ไม่มากไม่มายอะไร แค่ 95 ข้อเท่าน้านนนน ... (หูยยย)
เค้าว่ากันว่าหลวงพี่ Martin ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้บานปลายอะไรนะ แค่อยาก discuss กะ Pope เบาๆ อุตส่าห์เขียนเป็นภาษา Latin เพื่อให้ลับเฉพาะละ (ที่จริงจะคุยลับๆ ก็น่าจะไปจับเข่าคุยกันเนาะ นี่แกเล่นมาอ่านประกาศหน้าโบสถ์ ... หลวงพี่มั่นใจว่าไม่ได้ตั้งใจจะ “หมี่เหลือง” จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย)
อ่ะไม่ว่าหลวงพี่แกจะตั้งใจหรือไม่ แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาหนักมาก เป็นชนวนเหตุของสงครามในยุโรปที่กินเวลายาวนานมากถึง 30 ปี ...โอ้ย สภาพ ... (เอ๊ะ ... หรือที่พี่โล่หายไปนี่แกจะหลบสงครามอยู่ ไม่ได้ แกะ-เกอะ อะไรอยู่หรอก ... 555)
ความวุ่นวือมันเกิดขึ้นเพราะฟามเห็นของ Pope กะหลวงพี่มาร์ตินไม่ตรงกัน Popeไม่ได้คิดว่านี่คือการชวนคุยดีๆ ... Pope จึงเล่นใหญ่ไปเลยจ้า >>> ขับไล่หลวงพี่มาร์ตินออกจากศาสนจักรซะงั้น ...
แกงกันเบอร์นี้หลวงพี่รึจะอยู่เฉย ... หลวงพี่สู้กลับโดยการไปจ้างนักวาดการ์ตูนให้วาดอีข้อคัดค้าน 95 ข้อที่ไม่เห็นด้วยเนี่ยแหละออกมา (คือคนส่วนมากอ่านภาษา Latin และอาจจะอ่านหนังสือไม่ออกกันเท่าไหร่น่ะนะ) แล้วหลวงพี่ก็พิมพ์แจกข่าพี่น้อง ... สมัยนั่นบังเอิ๊ญเกิดแท่นพิมพ์ขึ้นพอดี ... มันเป็น Destiny โชคชะตาฟ้าลิขิตให้ “สู่ขิต” แหละเนาะ
การเผยแพร่เอกสารของ Martin Luther จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่ Idea ของ Protestant นั่นเอง
ความวุ่นวายในยุโรปตามมาอีก 30 ปี เพราะเจ้าเมืองทั้งหลายรวมทั้ง Henry VIII แห่งอังกฤษก็พากันตามน้ำ Break ออกจาก Pope ด้วยเหมือนกัน
Michelangelo มารับงานวาดผนังใน Sistine Chapel อีกทีหลังจากเกิดกระบวนการ Protestant แล้ว โดยรูปนี้ก็วาด Figures (ตัวละคร) ไปไม่น้อยกว่าบนเพดาน คือวาดไปทั้งหมด 300 ตัว++ ... ถามว่างานชิ้นไหนยากกว่ากัน ก็คงตอบลำบากเนาะ เอาเป็นว่างานทั้ง 2 ชิ้นมีความท้าทายหนักมาก แต่ในมิติที่ต่างกัน
- Sistine Chapel Ceiling มีความยากเพราะตำแหน่งที่วาดอยู่บนเพดาน มีขนาดมหึมา และมีเทคนิคที่ล้อไปกับสถาปัตยกรรม
- ในขณะที่ภาพ The Last Judgement มีความท้าทายที่อายุศิลปิน 555 ... ตอนเริ่มวาดภาพนี้ Michelangelo อายุ 60 กว่าปีแล้ว
ภาพนี้มีคนวาด Copy ด้วยนะ แต่มี Development ว่ะ คือใส่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรมีเพิ่มเข้าไปด้วย (ได้เหรอวะ 555)
- Marvello Vanusti (1549) วาดนกพิราบแทนพระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มเข้าไป ฮีบอกว่าภาพ The Last Judgement ของพี่โล่ขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่รายละเอียดอื่นๆ Copy เด๊ะๆ เลยนะ (อันนี้เราเด็กหมัยใหม่ไม่เข้าใจ งั้นแกทำไมไม่วาดของแกเองเลยวะ)
- ส่วนพี่ Volterra ใส่เสื้อผ้าให้ Saint ... หงิ
เรื่องการวาดให้ทุกคนในภาพเปลือยแม้แต่พระเยซูและพระแม่มารีนี่เป็นที่ถกเถียงของคณะสงฆ์มากๆ ถึงขึ้นจะให้ทุบภาพทิ้ง แต่ Pope ไม่ยอม (Pope ล้ำนะนี่) ... ว่ากันว่ามีการเรียกพี่โล่ให้กลับมาใส่เสื้อผ้าให้ Figure ในภาพด้วยนะ ... ก็คงไม่ต้องเดา 555 ... พี่โล่มาทำให้ก็แปลกละ คณะสงฆ์ก็เลยเอาลูกศิษย์ของพี่โล่มาใส่เสื้อผ้าให้ภาพ The Last Judgment แทน
เพราะอะไรการวาดภาพคนเปลือยใน The Last Judgement ของพี่โล่ถึงเป็นประเด็นใหญ่มากในสมัยนั้น?
1. มันอยู่ในโบสถ์ที่สำคัญมาก
2. มันอยู่ในตำแหน่งสำคัญ คือ ด้านตะวันออกของโบสถ์ อยู่หลังแท่นพิธีเลย ซึ่งโดยปกติตำแหน่งนี้จะเป็นภาพพระแม่มารี หรือ พระเยซูอะไรแบบนี้ (โดยคติคือเป็นประธานของการอธิษฐานใคร่ครวญ) ก่อนพี่โล่จะมาวาดสันนิษฐานกันว่าทีผนังนี้น่าจะมีภาพเดิมอยู่ก่อนแล้ว แต่ Pope ให้ลอกออกเพื่อให้พี่โล่มาวาดภาพใหม่ลงไป
แสดงว่า Pope Clement VII ต้องเห็นคุณค่าของ Michelangelo มาจึงเรียกมาวาด และพี่โล่เองก็น่าจะมี Hidden Agenda บางอย่างถึงได้รับวาด
ที่แปลกกว่านั้นคือจริงๆ แล้วปกติภาพ The Last Judgement ตามคติมันควรอยู่ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งที่คนจะเห็นเวลากลับบ้าน เป็นการเตือนให้ระลึกไว้เสมอว่าต้องออกไปเป็นคนดีนะ เพราะมีวันพิพากษารอเธออยู่ ... concept มันควรจะเป็นแบบนี้ ภาพนี้ของพี่โล่มาอยู่ตรงนี้จึงเป็นเรื่องประหลาดในประหลาดหนักเข้าไปอีก
มาดูขนาดกันดีกว่า ภาพนี้มีขนาด 13.7 x 12m. หรือ 164 ตรม. เมื่อเทียบกับขนาดของเพดานคือมีขนาดเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ... สำหรับพี่โล่ก็นะ คงไม่ใช่เรื่องที่เหลือมือ ไหนๆ ก็ทำไอ้ที่ใหญ่กว่าตั้งมากมาแล้ว รับวาดภาพนี้ ... จิ๊บๆ (แต่ใช่เวลาเท่ากันเลยนะ ... 4 ปี!!!)
อาจารย์ภากรคิดว่าอีกเหตุผลที่รับวาดน่าจะเป็นเพราะต้องการชนะให้ขาด ต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองทำงานที่เหนือชั้นกว่าคณาจารย์ของตัวเองได้
***สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน EP ก่อนหน้านี้ คือที่ Sistine Chapel นี่ผนังและเพดานทุกด้านเป็นงานศิลปะขั้นเทพทั้งนั้นนะคะ ... กลุ่มศิลปินกลุ่มแรกที่มาเพ้นท์ภาพล้วนแต่เป็นตัว Top ของวงการจาก Florence ไม่ว่าจะเป็น Botticelli เอย Perugino เอย รวมทั้ง Ghirlandaio ซึ่งเป็นอาจารย์ของพี่โล่ด้วยค่ะ ภาพที่ปรมาจารย์เพ้นท์ไว้คือด้านข้างทั้งหมดของโบสถ์ค่ะ เพ้นท์ตอนพี่โล่อายุ 5 ขวบเอง ทุกภาพงดงามมาก
และพี่โล่ก็ชนะทุกสิ่งตามที่ตั้งใจไว้ เดี๋ยวนี้คนไป Sistine Chapel ไม่มีใครดูภาพที่ผนังสักคน เงยดูเพดานต่อด้วย The Last Judgement กันหมด ... ก็นะ ... ยอมเค้าเถอะ
คุณเอ๋ตั้งข้อสังเกตว่าพอมาดูภาพมุม Perspective ของโบสถ์แล้วเพิ่งเข้าใจ จากที่ก่อนหน้านี้เคยสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมภาพ The Last Judgement ถึงใช้ Background สีฟ้าทั้งๆ ที่ภาพบนเพดานใช้ Background สีขาว ... เหตุผลคือพี่โล่เค้าทำให้มันกลมกลืนไปกับภาพเดิมของบรรดาปรมาจารย์ที่ผนังด้านข้างน่ะค่ะ ... 😊
2.
เบื้องหลังพระคัมภีร์ เรื่อง วันพิพากษา
ในพระคัมภีร์ John เล่มสุดท้าย มีการกล่าวถึงอนาคตศาสตร์เกี่ยวกับการพิพากษาไว้ว่าทุกคนจะได้ขึ้นไปพบกับพระเจ้า และได้รับคำพิพากษาจากการกระทำของตนเอง ตามที่ได้บันทึกไว้ใน “หนังสือชีวิต” ... ผู้เชื่อจะได้กายใหม่บนสวรรค์ คนบาปและคนที่ไม่มีชื่อในหนังสือนี้จะต้องถูกผลักลงบึงไฟซึ่งถือเป็นความตายครั้งที่ 2
อาจารย์บอกว่านี่เป็นเหตุผลว่าทำไม Background ของภาพ The Last Judgement จึงเป็นสีฟ้า เพราะเป็นภาพของทุกคนที่ฟื้นขึ้นมาและลอยขึ้นสู่ฟ้าในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย
องค์ประกอบของภาพ The Last Judgement เป็นท้องฟ้าที่มีขอบ Horizon ค่อนไปทางด้านล่างของภาพ … กึ่งกลางภาพเหนือท้องฟ้าเป็นพระเยซูคริสต์ ฝั่งซ้ายของภาพคือคนที่ฟื้นขึ้นในวันสิ้นโลก “ผู้เชื่อ” จะลอยขึ้นไป ส่วน “ผู้ไม่เชื่อ” จะตกลงมาทางฝั่งขวาของภาพ ภาพนี้จึงเป็นการวางภาพเพื่อเล่าเรื่องตามเข็มนาฬิกา เวลาดูภาพนี้ให้ดูจากซ้ายล่างวนขึ้นไปตามเข็มนาฬิกาจะไล่เป็น Timeline ได้ว่า
- (เริ่มจากล่างซ้าย) คนฟื้นจากความตาย
- (กลางซ้าย) ลอยขึ้นไปรับคำพิพากษา
- (บนซ้าย) ผู้เชื่อได้กายใหม่บนสวรรค์
- (ขวาบน) คนบาปตกลงมา
- (ขวาล่าง) ผู้ส่งวิญญาณส่งคนบาปลงนรก (บึงไฟ)
ถ้าดูจากภาพเราจะเห็นว่า Michelangelo วาดคนที่อยู่ด้านบนให้ตัวใหญ่กว่าคนด้านล่าง เหตุผลหนึ่งคือการคิดเผื่อในแง่ Perspective ของพี่โล่ เพราะเวลาดูจริงคนที่อยู่สูงออกไป ไกลสายตาเราจะมีขนาดเล็กลง นี่จึงเป็นการเผื่อสัดส่วนที่จะโดน “อากาศกิน” ของพี่โล่ เพื่อให้เวลาเราดูภาพจริงแล้วพอดี ... จีเนียสสสสส
อีกเหตุผลคือความเชื่อของคริสต์ที่ว่าร่างกายใหม่ที่เราได้รับจะงดงามกว่า แข็งแรงกว่า ดีกว่ากายเดิมที่เรามีอยู่ พี่โล่จึงวาดคนที่ลอยขึ้นให้ใหญ่โต สว่าง และสดใสกว่า 😊
เพิ่มเติม Background ในพระคัมภีร์กันอีกหน่อยค่ะ เพื่อให้เราเข้าใจภาพนี้ได้กระจ่างขึ้น ในวิวรณ์ 19 กล่าวไว้ว่าภาพวันสิ้นโลกนี้เปรียบเหมือนกับพิธีฉลองงานแต่งงานของพระเมษโปดก (พระเมษโปดก = ลูกแกะที่ชาวยิวนำเลือดมาทาที่ประตูเป็นเครื่องหมายให้พระเจ้าทราบว่าบ้านนี้เป็นยิวในช่วง Passover ในพระคัมภีร์เก่า) โดยที่พระเยซูเปรียบได้กับสามีและผู้เชื่อเปรียบได้กับภรรยา ...
อุปมานี้พูดถึงในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร่างกาย หัวใจ และจิตวิญญาณโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นนะคะ ไม่ใช่ว่าพระเยซูกับพวกเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ... ความหมายก็คือ Judgement Day เป็นภาพแห่งการเฉลิมฉลองอันน่าปิติที่เราจะได้กลับไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นค่ะ
***การแต่งงานของชาวยิวในสมัยก่อนมีภาพประมาณนี้ค่ะ ปกติชาวยิวจะอาศัยอยู่ในทะเลทราย พอไปเจรจาทาบทามสาวจากพ่อแม่เรียบร้อย เจ้าบ่าวก็จะกลับมาเตรียมบ้าน (ซึ่งเป็นบ้านพ่อแม่แหละนะ) เพื่อรอรับเจ้าสาว จากนั้นกลับไปสู่ขอใหม่ แล้วกลับบ้านมาฉลองใหญ่ ซึ่งกระบวนการนี้ตรงกับข้อความในพระคัมภีร์ John 14 ที่กล่าวว่าพระเยซูตายเพื่อไปเตรียมที่บนสวรรค์ แล้วฟื้นกลับมารับพวกเราไปอยู่ด้วย 😊
[John 14: (เหตุการณ์ก่อนพระเยซูตาย และกำลังสั่งลาสาวก) ... ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีก รับท่านไปอยู่กับเรา...]
เพราะฉะนั้นที่เราเห็นในภาพ The Last Judgement คือสัญลักษณ์นี้ด้วย “การหมั้นหมายและการแต่งงาน”
3.
การตีความของมิเกลันเจลโล
- ปกติ Catholic ก่อนหน้ายุค Renaissance ภาพวาด Saint ทั้งหมดจะมีรัศมี แต่พอมาถึงยุคนี้ไม่มีการวาดรัศมีแล้ว
- กลางภาพ Michelangelo วางตำแหน่งให้มารีอยู่ติดกับพระวรกายทางฝั่งซ้ายของพระเยซู โดยมารีจะมองไปทางผู้เชื่อ ส่วนพระเยซูคริสต์มองไปทางผู้ถูกพิพากษา ถามว่าทำไมจึงมีมารีอยู่ในภาพนี้ด้วย
(1) เป็นเพราะ Catholic ยกย่องมารี เชื่อว่าเป็นพระมารดา เป็นพระแม่มารี (ในขณะที่ทาง Protestant อาจจะไม่ได้เห็นด้วยทุกเรื่องในส่วนนี้ มีความเชื่อเพียงว่าพระแม่มารีเป็นทางผ่านมาสู่การเกิดของพระเยซูคริสต์)
(2) เพราะมารีถือเป็นสาวกคนแรกๆ (ตอนถือกำเนิดพระเยซู มารีได้คุยกับทูตสวรรค์ว่ามารีกำลังจะให้กำเนิดบุตรของพระเจ้า) ดังนั้นตำแหน่งในภาพนี้จึงมีความหมายอีกนัยว่ามารีคือสาวกคนแรกด้วย
- ตามสัญลักษณ์ของการแต่งงาน ผู้เชื่อทางฝั่งซ้ายของภาพเปรียบเสมือนเจ้าสาวของพระเยซู ส่วนฝั่งขวาคือซาตานและลูกสมุนที่กำลังร่วงหล่นลงสู่บึงไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ตรงมุมขวาล่างของภาพ
#ตัวละครสำคัญที่ Michelangelo วาด
- กลุ่มกลางล่างที่ถือ Trumpet อยู่คือคณะทูตสวรรค์ ในวิวรณ์เขียนไว้ว่าทูตสวรรค์จะเป่าเตือนเวลามีการแจ้งข่าวต่างๆ ในมือเหล่าทูตสวรรค์มีหนังสือเปิดอยู่ 2 เล่ม เล่มเล็กหันไปทางผู้เชื่อ ส่วนอีกเล่มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามากหันไปทางผู้ถูกพิพากษา ... โอ้ววว จะละเอียดไปไหนพ่อเอ้ยยยยย ...
ทายสิว่าทำไมหนังสือของผู้เชื่อจึงเล็กกว่า ... ช่ายยยย ผู้เชื่อมีน้อยกว่า แต่อีกทฤษฏีบอกว่าพวกที่ไม่เชื่อเนี่ยมักเย่อหยิ่ง อวดอ้าง เลยเขียนเยอะกว่า ยาวกว่า ตัวใหญ่กว่า หนังสือเลยต้องเล่มใหญ่กว่าด้วยประการฉะนี้ 5555 เออ อันนี้ก็คิดได้เนาะ ... แต่มันก็กระตุกให้เราคิดตามจริงๆ
- มุมซ้ายล่างมีตัวละคร “ปุโรหิต” หรือ “บาทหลวง” ซึ่งกำลังทำพิธีอยู่ อาจจะเป็นพิธีชุบคนขึ้นมาจากความตาย (ตำแหน่งที่ตัวละครนี้อยู่มีผู้คนกำลังผุดขึ้นมาจากพื้นดิน) ตรงนี้อาจารย์ตีความว่าน่าจะเป็นการ Counter Reformation หรือการโต้กลับพวกปฏิรูป (Protestant) เนื่องด้วยพี่โล่ทำงานให้ศาสนจักรหลัก ภาพนี้จึงน่าจะเป็นการยกย่อง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบาทหลวงและผู้นำทางศาสนา
- กลุ่มตัวละครที่อยู่ฝั่งซ้ายติดกับมารีมีผู้ชายตัวล่ำที่มีถุงหนังกองอยู่ที่พื้น เชื่อกันว่านี่คือ John The Baptist พี่ชายของพระเยซูที่มาเป็นผู้ประกาศนำทางไว้ให้พระเยซู เพราะสัญลักษณ์ของ John The Baptist คือเสื้อหนัง คนที่กอดแขนซ้ายของ John The Baptist คือ Adam และคนที่อยู่ถัดจาก Adam คือ Eve …
ในภาพ Eve ใส่เสื้อผ้า (แบบว่าใส่ใต้ราวนม เห็น Dhoom Dhoom มะจาเรดูมหมดเร้ยยยย ... อาจจะเป็นแฟชั่นของคนสมัยนั้นเนาะ 55) ... มีคำถามว่าเอ๊ะ เสื้อผ้าของ Eve นี่วาดไว้อยู่แล้ว หรือคณะสงฆ์สั่งคนมาเติมทีหลังกันนะ
อาจารย์สันนิษฐานว่าอาจจะวาดไว้อยู่แล้ว เพราะมันดูตั้งใจวาดให้ “หน่มน้ม” เปิดแบบนั้นเลย อ้าว ... ละทำไมถึงใส่เสื้อผ้าให้ Eve? นี่อาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่พี่โล่เขียนสื่อถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่ว่าหลังทำบาป Adam กับ Eve ต้องเอาหนังมาห่มคลุมร่างกาย ... นี่อาจจะสื่อถึง Eve หรือมนุษย์อย่างเราๆ ที่มีบาปกันทุกคน (ลึกล้ำแท้น้ออออออ ... แต่อาจารย์ก็บอกว่าไม่มีใครรู้แหละเนาะว่าจริงๆ เป็นยังงัย เพราะเค้าไม่ได้เขียนไว้ ได้แต่ตีความกันไปจ้ะ ... ซึ่งเบ็นว่าสนุกดี 555)
#Comparison
ผู้เชื่อ VS Worldly Power (Civilization)
เป็นภาพเปรียบเทียบคน 2 กลุ่มที่อยู่บนสุดด้านซ้าย และด้านขวาของภาพ
- กลุ่มบนสุดด้านซ้ายเป็นกลุ่มคนที่แบกกางเขนตามพระเยซู ตามความเชื่อของคริสเตียน ในวิวรณ์เขียนไว้ว่าคนที่ยอมทนทุกข์ ยอมตายเพื่อพระคริสต์จะได้บำเหน็จมหาศาล สัญลักษณ์การแบกกางเขน = การยอมทนทุกข์อย่างแสนสาหัสเพื่อพระคริสต์ คนเหล่านี้จึงได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนก่อน ... ดูจากทิศทางของภาพจะเห็นว่ากางเขนหันไปตามเข็มนาฬิกาและชี้ขึ้น
- ในขณะที่กลุ่มคนด้านขวาแบกเสา Roman ที่กำลัง Collapse ลงไปตามเข็มนาฬิกา... คนยุค Renaissance เชิดชูว่าอารยธรรมในยุคกรีกคือยุคที่เป็นตัวแทนของ Civilization หรืออำนาจทางโลก เสานี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งเรืองทางวัตถุ = อำนาจทางโลก ซึ่งไม่จีรัง คุณคิดว่ามันมั่นคง แต่ถ้าคุณเลือกทางนี้สุดท้ายคุณจะไม่เหลืออะไรเลย
#Saint
- ด้านซ้ายขวาของพระเยซูจะมี St. ต่างๆ อยู่ (ขวาไม่ได้แปลว่าลงนรกทุกคนนะ ต้องตีความเป็นตัวๆ ไปอี๊กกกก) เช่น Figure ใหญ่มากด้านขวาของพระเยซูเชื่อกันว่าเป็นนักบุญเปโตรเพราะในมือถือกุญแจอยู่
- The 3 Martyrs (มาเทอร์ = ผู้ที่ยอมตายเพื่อศาสนา ช่วง 300 ปีแรกของคริสตศาสนา ก่อน Constantine ยกขึ้นมายอมรับนับถือ คริสเตรียนถูกอุ้มฆ่าทรมาน มีชีวิตที่ลำบากมาก เมื่อรุ่งเรืองแล้วในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 จึงมีการไปหาประวัติและยกย่องให้คนเหล่านี้เป็นนักบุญ ซึ่งตามความเชื่อของ Catholic นักบุญต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ 1. ตายเพื่อศาสนา 2. ต้องทำการอัศจรรย์)
ในภาพวาดทุกภาพนักบุญจะถืออุปกรณ์ที่แต่ละท่านถูกฆ่า เช่นในภาพนี้กลุ่ม 3 Martyrs: St. Sabastian ถือลูกธนู (บางภาพจะเป็นตัวเซบาสเตียนถูกลูกธนูปักเต็มไปหมดเลย) Catherine of Alexandria ถือกงล้อที่มีหนามแหลม Simon the Zealot ถือเครื่องทรมาน ... ภาพของคนกลุ่มนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แสดง Concept (ความเชื่อ) ของ Catholic นั่นเอง
#บึงไฟ
- ในวิวรณ์เขียนไว้ว่าคนที่ต้องลงบึงไฟจะ #อับอายชั่วนิรันดร์ Michelangelo วาดภาพ Figure ที่ปิดหน้าแสดงความ Ashamed ไว้ตรงบริเวณที่กำลังจะเริ่มเข้า Zone นรก มีเหล่าบรรดาทูตสวรรค์กำลังดึงเจ้า Ashamed คนนี้ลงไปในบึง (แค่ตัวนี้ตัวเดียวก็รายละเอียดเพียบบบบบบ ... พี่โล่ลงรายละเอียด Figure ทุกตัวสุดๆ ไปเลยนะคะ ทั้ง Action / Emotion … ตัวไหนเศร้าคือโศกสลดรันทดจริง ตัวไหนอายคือไม่กล้าสู้หน้าประชาชีกันแล้ว ตัวไหนลอยคือ ... ลาลาลอยกันเลย ... เทพมากๆ อ่ะ เลยใช้เวลา 4 ปีเท่าเพดานเลย 555)
- Michelangelo มีการนำ Greek Mythology มาใช้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องราวจากวรรณกรรมของ Dante เช่นมีภาพของ Charon and the Damned (แครอนผู้ส่งคนลงนรกและบรรดาคนบาป) ตามเทวตำนานกรีกอยู่บนเรือเหนือบึงไฟ เป็นต้น
- ลึกสุดดดดใจ ... มี Minos ผู้จัดการนรกด้วยนะ คือคนที่คอยจัดการว่าใครจะไปอยู่หลุมไหน แดนไหนอะไรงี้) พี่โล่วาด Minos ไว้มุมขวาสุดล่างสุดของภาพ The Last Judgement ค่ะ ... ลึกกว่านี้ก็ทะลุพื้นโบสถ์แระ ... วาดลึกขนาดนี้เพราะอิคนนี้มีตัวตนจริงด้วยจ้า ... เดาออกใช่ไหมว่ามันต้อง “หมี่เหลือง” 555
ผู้โชคดีคนนี้คือ Biagio Da Casena (เปียโจ) ผู้จัดการพิธีต่างๆ ในโบสถ์น้อยซีสทีน ฮีชอบบ่นพี่โล่ว่าภาพไม่เหมาะสม ไม่ควรวาดงั้นงี้ ... บ่นใครไม่บ่น บ่นคนมีพู่กัน ... กลายเป็นคนจัดการนรกไปซะงั้น 5555 นี่มันมุกเดียวกะ Davinci ที่วาดหน้าคนที่บ่นตัวเองให้เป็นยูดาส (คนทรยศ) ใน The Last Supper 555 ... ศิลปินนี่ชอบแกงแบบนี้เนาะ (ถ้าเป็นเรา เราจะดีใจหรือเสียใจดีนะ 555)
มีบันทึกไว้ว่าพอวาดเสร็จ Biagio มาเห็นตัวเองกลายเป็นผู้คุมนรกก็ตกใจ แล้วไปบอก Pope ว่าให้ช่วยลบออกที ... Pope ตอบได้ฮามาก ท่านว่าอำนาจของเรามีแค่ในสวรรค์และโลกมนุษย์* ไม่สามารถจัดการเรื่องในนรกได้ ช่วยปลดปล่อยคนขึ้นมาจากนรกก็ไม่ได้ จำต้องปล่อยไว้แบบนั้น ... โป๊บบบบบบบบบบบบ 5555 ... ภาพนี้เลยต้องอยู่ไปชั่วนิจนิรันดร์งี้หรอออออ 55555555 โอ๊ยยยย
[*ในคัมภีร์เขียนไว้ว่าผู้เชื่อจะมีอำนาจร่วมกับพระเยซูคริตส์ ควบคุมเรื่องราวในสวรรค์และในโลกได้]
ละคือพี่โล่ไม่ได้เล่นแค่เอาหน้ามาใส่นะ เปียโจ้แกคงบ่นเยอะและน่ามคาญมาก
o ภาพจึงมีงูกัดอะปู๋ Minos ด้วย ...
o ไม่พ๊ออออ ... Minos มีหูเป็นลาอี๊กกกกก ... ด่าว่าโง่วววว ยังไม่เจ็บเท่า
คิดว่า Biagio น่าจะอยากกรีดร้องเป็นเสียงสองว่า ... มึงเอามีดมาแทงกูเร้ยยยยยยยยย 5555
#เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าบ่นศิลปิน 5555 ผู้ฟังท่านนึงเม้นท์ไว้
4.
ความหมายที่อาจซ่อนอยู่
- หน้าของพระเยซูในภาพตรงกับใบหน้าของรูปปั้นเทพ Apollo (สุริยเทพ) และมีรังสีอาทิตย์แผ่เรืองรองอยู่ด้านหลังพระองค์ด้วย
- นักวิชาการ Dr. Valerie Shrimplin ศึกษาและทำเป็นงาน Thesis ออกมาว่า Michelangelo น่าจะได้แนวคิดเรื่องสุริยะนี้มาจาก Copernicus นักคณิตศาสตร์ในยุคเดียวกัน (ก่อนกาลิเลโอ) พี่ Copernicus นี่เป็นคนเสนอทฤษฎีว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดวงอาทิตย์ (ก่อนหน้านี้คนเชื่อกันว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาล ตามการตีความจากพระคัมภีร์ของ Pope ซึ่งเป็นการตีความตามตัวอักษรเท่านั้น)
- โดยนิสัยพี่โล่เป็นคนแหกๆ แหวกๆ ไม่ค่อยเชื่อ Pope ... คิดอะไรก็ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวช่องอยู่แล้ว ประกอบกับเป็นคนมีหัวก้าวหน้ามากด้วย จึงมีแนวโน้มที่พี่เค้าจะ Buy ไอเดีย และเชื่อตามทฤษฎีนี้ได้ค่อนข้างมาก
- Thesis ฉบับนี้จึงสรุปว่าภาพนี้วาดตามแนวคิดระบบสุริยะจักรวาล
- อาจารย์เพิ่มเติมว่าพี่โล่อาจจะผนวกแนวคิดของ Copernicus กับสิ่งที่อ่านเจอในพระคัมภีร์ Corinth ด้วย เพราะมีตอนนึงที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าผู้เชื่อมีศักดิ์ศรีต่างกัน
“...ศักดิ์ศรีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง ศักดิ์ศรีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง ศักดิ์ศรีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง แท้ที่จริงศักดิ์ศรีของดวงดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับดวงดาวดวงอื่นๆ...”
เฮ่ย ... นี่มันภาษาเดียวกันกับระบบสุริยะ!!! ...
- ดูจากภาพ Apollo คือสุริยะเทพ มี Saint ทั้งหลายเป็นดวงจันทร์ ดวงดาว โคจรอยู่รอบๆ สอดคล้องกับพระคัมภีร์ การวาง Layout ของ Figures ทั้งหลายในภาพก็เป็นวงก้นหอย ขยายเวียนขวาออกจาก Apollo ละม้ายคล้ายแผนภาพระบบสุริยะไปอีก
- คุณเอ๋เพิ่มเติมว่าในยุคสมัยที่ผู้คนเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล การวาดพระเยซูให้เป็น Apollo หรือพระอาทิตย์นี่ก็แหวกแล้ว แต่นั่นยังไม่สะพรึงเท่าการวาดพระเยซูไม่มีเครา (ซึ่งก่อนหน้านั้นคงหาได้ยากแหละ) ในหนังสือที่คุณเอ๋อ่านเจอบอกว่าคนประท้วงกันเรื่องนี้หนักมาก
แล้วยังเจอคดีว่าไม่ใส่ใจกับจารึกในพระคัมภีร์ด้วย เพราะพระคัมภีร์เขียนว่า “คนตายจะฟื้นขึ้นมาและห่อหุ้มด้วยเนื้อหนังในพริบตา” แปลว่าในวันสิ้นโลกเนี่ยมันจะไม่มีคนตาย ทุกคนฟื้นคืนชีพกันหมดเลย ฟื้นปั๊บมีร่างใหม่ปุ๊บเลยด้วย แล้วภาพ The Last Judgement จะมามีโครงกระดูก มันไม่ด๊ายยยยยย ... เอ๊ะ ... ไม่ได้มีโครงกระดูกอย่างเดียวนะ มีศพเข้าไปอี๊กกกก ... มันไม่ด้ายยยยย
- ภาพนี้เลยเป็นการแสดงคำถามและความขบถในตัวพี่ Michelangelo แหละ ... คนเค้ามีของอ่ะเนาะ ของเยอะด้วย ไม่งั้นพี่โล่คงไม่สามารถวาดเทพอพอลโลเป็นพระเยซูได้แน่ๆ 555
- มาต่อกันที่ Dr. Valerie Shrimplin พอบอกว่าภาพนี้ซ่อนไอเดียของการปฏิวัติแนวคิดเรื่องศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ (Revolution of the Celestial Spheres) ก็ต้องมาหาว่า เอ๊ะ ... แล้ว Michelangelo ใช้จุดไหนเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลในภาพกันน้อ จากการศึกษาพระคัมภีร์และวิวรณ์ ดร. แกไปเจอประโยคนี้ ในวิวรณ์ 19:16 ค่ะ
On his robe and on his thigh, he has a name written, King of kings and Lord of lords (พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองคฺและต้นพระอูรุ (ต้นขา) ของพระองค์ว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย”) ดร.ชิมบลิน จึงตั้งสมมติฐานว่าจุดศูนย์กลางของวงเวียนที่ Michelangelo จิ้มจึ้ก ... ปักลงไปเพื่อสร้างวงกลมคือต้นขาของพระเยซู
และเมื่อลองปักวงเวียนลงไปที่ต้นขาของพระองค์ในภาพ The Last Judgement แล้ววงดูมันก็กลมเป๊ะแบบนั้นจริงๆ ด้วย!!!
5.
ความหวังของผู้วาด
- ในภาพมีการวาง Figures ในแนวทแยงแนวหนึ่งที่น่าสนใจ คือถ้าลากเส้นแทยงขวาลงไปจากตัวพระเยซู จะพบ Figure 2 ตัว (1.) คือพระอัครสาวกชื่อ St. Bartholomew และ (2) ผู้อับอาย (Ashamed) … เส้นนี้มีความหมายอย่างไร?
เส้นทแยงขวาลง = ทางลงนรกนั่นเอง (มาถึงตรงนี้เบ็น Amazing ในความ Davinci’s Code และโคนันของนักศิลปะมากเว่อร์นะเนี่ย ตีความละเอียดยิ้บบบบบบบบ ... มันเป็นความรู้สึกแบบว่า เฮ้ยยย คิดได้อ่ะ + จะละเอียดไปไหน๊ 5555 ... บอกเลยว่าโคตรทึ่งและสนุกกับการถอดรหัสของแต่ละท่านมากๆ 😊 คือเบ็นชอบอะไรแบบนี้มากจนน้องสาวบอกให้ไปเรียนประติมานวิทยา (Iconography) จริงจังไปอี๊กกกก 555)
ไม่ใช่แค่เส้นค่ะที่มีความหมาย ... Figure ทั้ง 2 ตัวก็เช่นกัน
ตัวแรก ... St. Bartholomew “หิ้ว” เนื้อหนังของคนอยู่ (คือเหมือนถอดกระดูกออกอ่ะค่ะ เรียกว่า Skin Suit ก็น่าจะได้) หลายคนเชื่อว่าหน้าของอิ Skin Suit เนี่ยคือหน้า Michelangelo เอง!!!
คำถามคือ ... ระหว่างวาดพี่โล่เคยคิดไหมว่าตัวเองจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกในวันพิพากษา?
#ที่ใส่ตัวเองในสภาพนี้เข้าไปในภาพ ... #พี่โล่คิดอะไร?
Painter Saved?
อาจารย์เชื่อว่า Michelangelo คิดว่าตัวเองจะรอดแบบหวุดหวิด ... คือสภาพเหลือแต่หนังละเนี่ย หวุดหวิดแค่ไหนถามใจเธอดู ที่อาจารย์ตีความว่ารอดเพราะ St. Bartholomew หิ้วพี่โล่อยู่ เหมือนช่วยดึงขึ้นมา ไม่ให้ไหลลงไปสู่บึงไฟ ... สรุปว่าไอ้ที่ทำตัวป่วนๆ มาตลอดชีวิตนี่ แกก็คงคิดว่าแกบาปเหมือนกันแหละ 555 แต่ก็ได้มาทำงานรับใช้พระเจ้าตั้งเยอะนะ ... เลยปลอบใจตัวเอง ภาพนี้จึงสื่อให้เราเห็นถึงความหวังของผู้วาด ... น่ะ น่าจะรอดแหละ ถึงจะหวุดหวิด แห้งเหี่ยวไปหน่อยก็เหอะ
[เกร็ดเพิ่มเรื่อง St. Bartholomew ค่ะ อย่างที่เล่าไว้ด้านบนว่าเวลาวาดนักบุญทั้งหลายศิลปินจะวาดให้แต่ละท่านถือสิ่งที่ฆ่าท่านไว้ St. Bartholomew ถูกถลกหนังจนตายค่ะ ... TT__TT ภาพของท่านเลยจะถือมีดและหนังของท่านที่ถูกถลกไว้ แต่ภาพที่พี่โล่วาดมีความประหลาด เพราะหน้าของหนังที่ถูกถลกไม่ใช่หน้าของ St. แต่เป็นหน้าของพี่โล่เอง ... แอบสะพรึงนะเนี่ย)
6.
ความหวังของผู้เชื่อ
- ทำไมพี่โล่วาดทุกคนเปลือยเปล่า? … เปลือยเปล่า = Transparency ในวันสุดท้ายไม่มีใครปิดบังอะไรพระเจ้าได้ ทุกอย่างจะถูกเปิดออกมาหมด
- ในโครินธ์เขียนไว้ว่า ... ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มีและสำหรับโลกก็มี แต่ว่ารัศมีของร่างกายสำหรับโลกและสวรรค์นั้นต่างกัน ... สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีศักดิ์ศรี สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะทรงอานุภาพ ... นั่นคือหลังความตาย เมื่อฟื้นขึ้นมาผู้เชื่อจะมีกายใหม่ที่สมบูรณ์ ต่างจากกายเดิมในโลกมนุษย์ เหมือนพระเยซูที่ถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกแล้วไม่มีใครจำได้ เพราะพระองค์อยู่ในกายใหม่ แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนไป
ตามการตีความของวาติกัน Michelangelo วาดให้คนที่อยู่แวดล้อมวงในสุดใกล้พระเยซูมีร่างกาย Oversize มากๆ ซึ่งตีความได้ 2 แง่
1. ในแง่เทคนิคภาพ เป็นการกันอากาศกิน เวลามองขึ้นไปข้างบนด้วยระยะไกล
2. ในแง่ความหมาย ... นี่เป็นการ Present แนวคิดตามพระคัมภีร์ว่าผู้เชื่อจะได้ร่างกายใหม่ที่ดีกว่าเดิม Michelangelo ได้อิทธิพลการวาด Figure ของกรีกมา วาดรูปร่างหน้าตากล้ามเนื้อเป็นเทพเจ้ากรีกหมดเลย พระเยซูยังเป็นเทพอพอลโล่ แต่เทพเจ้ากรีกส่วนใหญ่จะไม่หนา ไม่ Oversize แบบนี้ พี่โล่วาด Figure หนามาก น่าจะเป็นการ Emphasize เป็นการ Represent ว่านี่แหละร่างกายใหม่ที่พระเจ้าให้มันเจ๋ง มันทรงพลัง … so powerful … So much กล้ามกล้ามเรยน้า
(การ Visualise จากตัวอักษรมาเป็นภาพมันยากมากนะ จะวาดยังงัยให้คนดูแล้วรู้ว่านี่คือกายใหม่ “ที่ทรงพลัง” ... ก็ต้องมาแนวใหญ่กว่า สดใสกว่า blink ... blink กว่านี่แหละ)
- คุณเอ๋เสริมว่าในแง่ศิลปะมีหนังสือเขียนว่า “ขนาด แสง และสีของร่างกาย” ที่ Michelangelo ให้กับ Figure ในภาพ มันเป็นการจัดลำดับความสำคัญ แยกชั้น และเล่าเรื่องราวของ Figure เหล่านั้นด้วย เช่น
o ขนาดของคนตายหรือตัวละครในนรกจะเล็กกว่า แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามความใกล้กับสวรรค์
o จากด้านล่างที่เป็นนรกแสงจะมืดกว่า แล้วค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไล่ขึ้นไปด้านบนที่เปรียบเหมือนสวรรค์
o สีผิวของ Figure ในนรกก็จะช้ำเลือดช้ำหนองและก็ค่อยๆ สุกสว่างขึ้น (ไปเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว 😊) ก็ตรงกับการตีความตามพระคัมภีร์ว่าร่างกายจะค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น และค่อยๆ ลอยขึ้นสู่สวรรค์
7.
#เสรีภาพทางศิลปะของศิลปินจอมขบถ
ตั้งแต่ 1564 มีการปฏิรูปนิกาย Catholic ซึ่งน่าจะสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ของ Martin Luther มีการวางระเบียบใหม่ของคีตศิลป์และจินตภาพที่เหมาะสมที่จะใช้ในงานศาสนา เช่น ดนตรีต้องเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ภาพศาสนาต้องชัดเจน เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงภาพเปลือยหากไม่จำเป็น
งาน The Last Judgement ของพี่โล่เลยกลายเป็นเป้าถูกโจมตีว่าไม่เหมาะสมเพราะวาดทุกคนเปลือยหมดแล้วอยู่ในสถานที่ๆ สำคัญมากๆ ทางศาสนา ... แต่นั่นก็ทำให้งานนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดหนึ่งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดใหม่ว่าศิลปะกับการอุทิศตนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน
ภาพนี้จึงสื่อถึงเสรีภาพทางศิลปะของศิลปินจอมขบถ คิดแบบนี้อยากวาดแบบนี้ก็จะวาด นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกๆ ที่ศิลปินแสดงออกถึง “ความเป็นบุคคล” ของตัวเองออกมาผ่านงานศิลปะ เพราะก่อนหน้านี้การวาดภาพเป็นไปเพื่อรับใช้ศาสนา เน้นการแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญเชิงศิลปะมากกว่าไอเดีย
The Last Judgement จึงเป็นงานที่แสดงออกถึงความขบถของ Michelangelo และแสดงถึงความเป็นตัวตนของตัวเขาเองผ่าน Element ต่างๆ ที่สะท้อนออกมาในภาพ #มากกว่าแค่ฝีมือ
💖💖💖
อาจารย์ภากรจบการบรรยายด้วยภาพกายใหม่ของอาจารย์ ... ดูไปดูมาหน้าตาเหมือนนิชคุณ 5555555 ... งั้นถ้าขอได้เบ็นจะขอกายใหม่เป็น Lisa BlackPink นะคะอาจารย์ จะได้ไปขอ Battle กับอาจารย์บนโน้น 555
💖💖💖
#Sharing from the floor (in Clubhouse)
[จดชื่อไม่ทันขออภัยค่ะ]
การคุยกันของอาจารย์และคุณเอ๋ให้ทั้งมิติทางศิลปะและมิติทางศาสนา … ทำให้อยากรู้เรื่องศาสนามากขึ้น เพราะจะทำให้ดูงานศิลปะได้สนุกขึ้น (อันนี้เห็นด้วยมากๆๆๆๆ ค่ะ 😊)
[อ.อนันต์]
The Last Judgement มีความหมายทั้งกับ Roman Catholic และ Protestant
เพราะทุกคนต้องการกลับไปอยู่กับพระเจ้า
- ที่ใช้บาร์โธโลมิวมาสื่อแปลว่าน่าจะรอด เพราะ St. คนนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รู้ความหมายของการกลับใจ (เหมือนพี่โล่ที่มีความขบถ … แต่ก็เป็นนักอ่าน นักศึกษา นักคิด สังเคราะห์แล้วเอามาเรียบเรียง วาดออกมาเป็นแต่ละภาพ (Figures) เพื่อสื่อสารเรื่องราวทางศาสนา)
- การแบกไม้กางเขน VS การแบกเสาเอเธนส์ (ความยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ … ที่แลกมาด้วยความโหดร้าย) … อยู่ที่เราเลือก เลือกอย่างไร ในวัน Last Judgement จะได้ผลอย่างนั้น >> คุณเอ๋เสริมว่า 2 ทางนี้น่าจะเหมือน “โลกียธรรมและโลกุตระธรรม” ในทางพุทธ
- การวาดภาพเปลือย นอกจากจะเป็นเพราะว่าพี่โล่จะมีจิตวิญญาณอิสระ เลยคิดอะไรก็ทำ ไม่แคร์ใครแล้ว อ.อนันต์คิดว่าพี่โล่อาจจะสื่อด้วยว่าต่อหน้าคนที่เราวางใจที่สุด ด้วยจิตบริสุทธิ์ เราจะกล้าเปลือยเปล่า ไม่ต้องปกปิดอะไร
[อ.ภากร]
พี่โล่ไม่แคร์คนจริงๆ สนใจแต่งาน ใครจะว่าอะไรไม่สนใจ ฉันสกปรก ฉันไม่อาบน้ำ ฉันนุ่งผ้าขี้ริ้วแล้วงัย...ใครแคร์ ฉันรวยที่สุดก็แล้วกัน ซึ่งพี่โล่ก็รวยมหาศาลจริงๆ ตายไปลูกหลานสบายมากๆๆๆ
เอาจริงคือพี่โล่นี่น่าจะนับเป็นผู้เชื่อไม่ได้ (ถึงได้ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรอดนั่นแหละ 555) ผู้เชื่ออย่างแท้จริง คือ Rembrandt
[คุณเอ๋]
เมื่อคิดว่า Michelangelo วาดภาพนี้ตอนอายุ 61 แล้ววาดให้คนแก้ผ้าหมดเลย ก็ต้องมีความขบถมาก กล้ามากแหละ แต่ในอีกแง่ก็คือพี่โล่มีความหลงใหลร่างกายมนุษย์มากกว่าเสื้อผ้าด้วย พี่แกชอบวาดร่างกายมนุษย์ (ถ้าชอบวาดเสื้อผ้าแกอาจไปตั้งโอกูร์ตูร์แล้ว 555 แต่นี่ชอบ Human Body เลยแข่งกันผ่าศพกะพี่ Davinci งิ)
[คุณเตา บรรยง]
ศิลปะจะเกิดขึ้นในยามที่บ้านเมืองมีความเหลื่อมล้ำสูงๆๆๆๆ
[อ.ภากร]
กินไม่อิ่มนอนไม่หลับก็ยากที่จะชื่นชมศิลปะ
[คุณเอ๋]
ดูศิลปะแล้วเห็นอย่างอื่นจะศิลปะจะสนุกขึ้น (ตอนเด็กๆ เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ก็เรียนภาพนี้นะ เบื่อฟุ่ดๆ หลับ 555 เพราะมันมิติเดียว องศาเดียว แต่พอมาเม้าท์มอยใน Journey with Arts การมีมิติทางศาสนา เกร็ดชีวิตศิลปิน การเมืองภายใต้วงการศิลปะ และอื่นๆ มาเกี่ยวข้องมันทำให้ศลปะสนุกขึ้น น่าตามไปดู ไปศึกษาทุกชิ้นทุกสิ่งอัน)
งานของ Michelangelo มองได้อีกแง่มาเป็นการให้เกียรติศิลปะเหนือศรัทธา
[คุณเตา บรรยง]
อยากให้คนเปลือยเราต้องเปลือยก่อน ... ใจน่ะนะ 😊
อ.ภากร
- ต่อหน้าพระเจ้าไม่มีอะไรต้องปกปิด พระเจ้าเห็นหมด
- พระเจ้าให้เรารู้พอที่จะเชื่อ ไม่ได้ให้เรารู้ทั้งหมด เราไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด
💖💖💖
สนุกจัง สนุก as always ก็อย่างที่คุณเอ๋บอกแหละค่ะ ฟังๆ อาจารย์ไปแล้วเหมือนเราไปอยู่ในหนังสือ Davinci’s Code ... ไล่ถอดรหัสกันเนียนละเอียดทุกภาพเลย ... มันน่าตื่นเต้น ยิ่งฟังไปยิ่งตื่นตาตื่นใจ อารมณ์เหมือนเราได้ดำดิ่งลงไปใน layer ที่ลึกกว่าแค่ตาเห็นของแต่ละภาพกันเลยทีเดียวเชียว ... โอ๊ยยยย ... รอ EP. ต่อไปไม่ไหวล้าวววว
ป.ล.
ตามไปฟังอาจารย์กับคุณเอ๋คุยกัน อันจะมี ภกป ภาพประกอบได้ที่นี่นะคะ
ขอบคุณทั้งอาจารย์ภากรและคุณเอ๋มากๆ ค่ะ
#BenNote #bp_ben
#benji_is_learning #benji_is_drawing
#Sistine_Chapel_Ceiling #Michael_Michelangelo
#RoundFinger #Phagorn_Manggornpant #Inspiration
โฆษณา