14 พ.ย. 2022 เวลา 00:41 • ปรัชญา
“จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
จิตเป็นธรรมชาติอันหนึ่งเท่านั้นเอง
เป็นขันธ์ๆ หนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง”
“ … อาศัยสัมมาสติ สัมมาสมาธิจะทำให้เกิดสัมมาญาณะ คือการหยั่งรู้ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้น
ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่มีสัมมาสมาธิ
แล้วสติไม่ไประลึกรู้รูปธรรมนามธรรม ปัญญาไม่เกิด
บางคนรู้ตัวอยู่ แต่ว่าสติไม่ยอมระลึกรู้กาย ไม่ยอมระลึกรู้จิต มีแต่สมาธิทรงตัวเด่นดวงอยู่เฉยๆ ปัญญาไม่เกิด
2 ตัวที่จะช่วยให้เราเกิดปัญญาได้คือสัมมาสติกับสัมมาสมาธิ
สัมมาสตินี่ล่ะ เราฝึกสติปัฏฐาน เคลื่อนแล้วรู้ๆๆ ไป แล้วทุกครั้งที่รู้สมาธิก็จะเพิ่มพูนขึ้น
ฉะนั้นสัมมาสติเมื่อทำให้มากก็จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์
สัมมาสมาธิเมื่อเราเจริญให้มาก
สัมมาญาณะ ความหยั่งรู้ก็จะเจริญขึ้น จะบริบูรณ์ขึ้น
หยั่งรู้อะไร หยั่งรู้รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นไตรลักษณ์ นั่นล่ะคือการเจริญปัญญา
อย่างหลวงพ่อมีสติ จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆๆ สมาธิก็มี แล้วถึงจุดหนึ่งปัญญามันปิ๊งขึ้นมาเลย
จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
จิตเป็นธรรมชาติอันหนึ่งเท่านั้นเอง
เป็นขันธ์ๆ หนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง
ภาวนาเข้าไปสุดขีดแล้ว จิตก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งเท่านั้นเอง
จิตเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ธาตุมันมี 6 ธาตุ คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุคือ space ที่บรรจุดิน น้ำ ไฟ ลมเอาไว้ แล้วก็วิญญาณธาตุ
จิตมันก็เป็นแค่ธาตุๆ หนึ่ง เหมือนดิน เหมือนน้ำ เหมือนไฟ เหมือนลมก็เป็นธาตุๆ หนึ่งเท่านั้นเอง
เรายังมีกิเลส จิตเราก็เลยไม่เป็นธาตุจริง แต่เป็นทาสกิเลส ทาส ไม่ใช่ธาตุ
ที่จริงจิตแล้วมันก็เป็นธาตุๆ หนึ่งล่ะถ้าภาวนาเข้าไปสุดขีด
ครั้งหนึ่งท่านพระสารีบุตร ท่านจะไปจาริกท่านก็ออกจากวัด พวกพระก็เคารพนับถือท่าน ตามไปส่งท่านเดิน พระก็เข้าแถวรอท่านก็เดินทักทายไปทีละองค์ๆ มีองค์หนึ่งท่านไม่ได้ทัก ท่านเดินผ่านไป ชายผ้าท่านไปกระทบถูกพระองค์นั้นเข้า
พระองค์นั้นเซล์ฟจัด พระสารีบุตรทักคนนี้มาๆ เดี๋ยวต้องมาทักเรา ปรากฏว่าพระสารีบุตรไม่ได้ทักทาย เดี๋ยวผมจะไปแล้ว ไม่พูดด้วย ท่านเดินไป พระเยอะ ท่านจะมาพูดทุกคนไม่ไหว แต่ว่าชายผ้าท่านไปถูกพระองค์นี้เข้า
พระองค์นี้โกรธมากเลย เสียหน้า รีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย บอกว่าพระสารีบุตรทำร้ายข้าพระองค์ บาลีใช้ประหาร ประหารคือไปตีเอา พระสารีบุตรมาทำร้ายข้าพระองค์
พระพุทธเจ้าก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ พระสารีบุตรหรือจะไปทำร้ายใคร แต่ท่านต้องการให้พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นคุณงามความดี ความยิ่งใหญ่ของพระสารีบุตร
ท่านก็เลยให้พระไปตามพระสารีบุตรกลับมาแล้วก็ขึ้นศาลสอบสวน บอกองค์นี้เขาฟ้องท่านว่าไปทำร้ายเขา จริงหรือไม่จริง เห็นไหม ถาม รู้อยู่แล้วล่ะ เป็นไปไม่ได้ที่พระสารีบุตรจะไปทำร้ายใคร
1
พระสารีบุตรท่านก็ตอบบอกว่า ท่านไม่ได้มีจิตคิดประทุษร้ายใครเลย อย่างชายผ้าท่านมันไปกระทบเข้าอะไรนี่มันเป็นวาสนาของท่าน พระสารีบุตรมีกิริยาอาการหลุกหลิก ว่องไว พรึบพับๆ ไม่ได้มาอ้อยสร้อย เซื่องๆ เรียบร้อยอะไรหรอก
พระสารีบุตร เห็นคูน้ำแคบๆ อยู่จะเดินข้าม องค์อื่นอาจจะหาไม้กระดานมาพาดแล้วค่อยๆ เดิน พระสารีบุตรกระโดดเลย กระโดดข้ามไปเลย นิสัยท่านเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการที่เคลื่อนไหวพรึบพับๆ ชายผ้าก็เลยไปโดนเขาเข้า
พระสารีบุตรท่านบอกว่า จิตของท่านมันเสมอด้วยแผ่นดิน
1
เห็นไหมจิตก็เป็นวิญญาณธาตุของท่าน มันเสมอด้วยธาตุดิน
คุณสมบัติของธาตุดินก็คือไม่ว่าคนจะเอาของสะอาดไปเทใส่ ธาตุดินก็ไม่ได้ยินดี เอาของสกปรกไปทิ้งลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่ได้ยินร้าย
ท่านบอกว่าจิตของท่านเหมือนธาตุน้ำ ธาตุน้ำไปชำระล้างของหอม มีน้ำหอมมีอะไรมา น้ำก็ไม่ได้ดีใจ ไปเจอของสกปรกอย่างพวกเราเอาน้ำล้างก้น น้ำก็ไม่เสียใจ
ท่านพูดให้ฟัง จิตของท่านเหมือนลมพัดผ่านไปในที่หอมๆ พัดผ่านดอกไม้ จิตก็ไม่ได้ยินดี ลมไม่ได้ยินดี ก็เหมือนจิตท่าน พัดไปในกองขยะ ลมก็ไม่ได้ยินร้าย ก็เหมือนจิตของท่าน
จิตของท่านก็เหมือนธาตุไฟ จะเผาซากศพ หรือจะเผาไม้หอม ไฟก็ทำหน้าที่เสมอกัน ไม่ได้ยินดีไม่ได้ยินร้าย บอกจิตของข้าพระองค์เป็นอย่างนี้ ท่านบันลือสีหนาท พระทั้งหลายได้ยินได้ฟัง สาธุ อนุโมทนาสาธุ
องค์ที่ไปกล่าวโทษพระสารีบุตรสั่นไปทั้งตัวเลยๆ ทรุดลงที่พื้น ขอขมาทันทีเลย ไปใส่ร้ายท่านผู้บริสุทธิ์เข้า
ฉะนั้นจิตจริงๆ ก็เป็นธาตุอันหนึ่ง เป็นวิญญาณธาตุ
แต่ถ้าวิญญาณธาตุของพวกเรามันปนเปื้อนกิเลส
ถ้าเราเจริญสติปัฏฐาน มีสติมีสมาธิจนกระทั่งเกิดปัญญา
เห็นความจริงของธาตุของขันธ์
มันก็ค่อยๆ คลายกิเลสออก ล้างกิเลสออกไปเป็นลำดับๆ
ในที่สุดจิตก็เข้าถึงความเป็นธาตุเรียกว่าวิญญาณธาตุ
ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านเรียกต่างกัน
สมเด็จพระญาณสังวรท่านเรียนหนังสือเยอะ ท่านเรียกถูกต้อง
ท่านเรียกวิญญาณธาตุๆ
อันเดียวกับที่ท่านพระสารีบุตรพูดถึงนั่นล่ะ
1
บางองค์ท่านเรียกธรรมธาตุ
หลวงตามหาบัวเรียกว่าธรรมธาตุ
หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกว่าจิตหนึ่ง เข้าถึงจิตหนึ่ง
หลวงปู่บุดดาท่านเรียกจิตเดียว
หลวงปู่เทสก์ท่านเรียกใจ
อันนี้ความหมายนัยยะอันเดียวกัน
ก็คือตัววิญญาณธาตุ หรือธรรมธาตุนั่นเอง
จิตของเรานั้นโดยธรรมชาติมันผ่องใส มันสว่าง มันมีความสุข มันสว่าง มันสงบ โดยธรรมชาติของมัน มันสงบ สว่าง แต่มันไม่สะอาด
มันสงบ มันสว่างแต่มันไม่สะอาดเพราะมันมีกิเลสซ่อนอยู่
ฉะนั้นบางทีพอกิเลสมันรุนแรงขึ้นมา
ความสงบก็หายไป ความสว่างก็หายไป
จิตมืด จิตมัวขึ้นมา
ถ้าเราเจริญสติ เจริญปัญญามากๆ
มีปัญญาค่อยๆ ล้างกิเลสไป
จิตเราจะยิ่งผ่องใสเป็นลำดับๆ ไป
สว่างแจ่มใส ครอบโลกธาตุได้
พอเราภาวนาวันหนึ่งใจเราก็มีความสุขมีความสงบ เข้าถึงสันติสุขที่แท้จริง สงบ สว่างแล้วก็สะอาด ก็อาศัยการเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ อย่างที่เล่าให้ฟัง
ถ้าฟังรอบเดียวไม่รู้เรื่องก็ไปฟังซ้ำ ไปฟังซ้ำๆ
ที่จริงธรรมะที่หลวงพ่อสอนแต่ละวัน ถ้าเอาไปทำ พอ พอที่จะไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้ เพราะเวลาที่หลวงพ่อเรียนจากครูบาอาจารย์ หลวงพ่อเรียนอยู่ไม่กี่ประโยคหรอก หลวงพ่อก็มาทำเอา
เรียนกับหลวงปู่ดูลย์ เรียนนิดเดียว ท่านบอก “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” ครั้งแรกเรียนเท่านี้ล่ะ
ครั้งสุดท้ายที่ไปเรียนกับท่าน ท่านบอกว่า “พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิตจึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”
ธรรมะอันนี้ท่านสอนไว้ 2 คน ท่านแรกคือหลวงพ่อพุธ ต่อมาคือหลวงพ่อ ท่านสอนอยู่ 2 คน หลังๆ ก็เริ่มเอาไปอ้างอิงกัน ลอกต่อๆๆ ไป เยอะแยะไปหมดเลย นี่เรียนไม่มาก ไม่กี่ประโยคหรอก หลายๆ ครูบาอาจารย์ ไปเรียนด้วย ไม่ยาว
อย่างไปเรียนกับหลวงปู่สิม ท่านก็พูดสั้นๆ “ผู้รู้ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ในนั้นหรอก” เราลงไปอย่างนี้
เรียนกับหลวงตามหาบัว ท่านสอน “ที่ว่าดูจิตนั้น ดูไม่ถึงจิตแล้ว ต้องเชื่อเรา ตรงนี้สำคัญ เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง อะไรก็สู้บริกรรมไม่ได้”
เวลาครูบาอาจารย์สอน ไม่มีเทป แต่มันฟังแล้วมันฝังเข้าไปในใจ จำเป๊ะๆๆ เลย ท่านสอนสั้นๆ มันเป็นเคล็ดวิชาที่เราเอามาลงมือทำ
พอลงมือทำความรู้ความเข้าใจก็กว้างขวางเข้ามา
ท่านไม่ได้ให้ปัญญาเรา
แต่ท่านให้เครื่องมือที่จะใช้ในการเจริญปัญญา
เหมือนท่านไม่ได้มาช่วยเราถางป่า คือกิเลสของเรา แต่ท่านให้มีดให้พร้าเรามา มีดพร้าก็คือคำสอนของท่าน แล้วหลวงพ่อก็มาถางกิเลสของตัวเองทุกวันๆ
กิเลสมันเคยมากเคยหนาทึบเหมือนหลงในป่าทึบ เราถางมันทุกวันก็โล่งขึ้นมาๆ ออกมาสู่ที่โล่งที่แจ้งสบายขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ให้อะไรมา ให้มีดให้พร้าเอาไว้ถางป่าคือกิเลสของเรานั่นล่ะ
ฉะนั้นจะไปหวังพึ่งว่าครูบาอาจารย์จะมาช่วยถางกิเลสให้เรา เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลย ไม่มีใครล้างกิเลสให้ใครได้หรอก ต้องล้างของเราเองถึงจะสำเร็จ
เทศน์ให้ฟังอย่างนี้พอรู้เรื่องไหม เหมือนหลวงพ่อ หลวงปู่ถามเข้าใจไหม เข้าใจครับ
เข้าใจแล้วอะไรวะ ภาวนาอีกนานเลยกว่าคำว่าเข้าใจมันจะเกิดขึ้น
อย่างพบผู้รู้ทำลายผู้รู้ ท่านสอนเมื่อปี 2526 หลวงพ่อกว่าจะเข้าใจตั้งปี 2547 21 ปี ใช้เวลา ธรรมะที่ครูบาอาจารย์ให้แต่ละครั้งๆ ใช้เวลา
สู้เอา กิเลสของใครคนนั้นก็ต้องละ ครูบาอาจารย์ให้แค่เครื่องมือคือสอนเราให้รู้วิธีการ
อย่าว่าแต่ครูบาอาจารย์กระจอกๆ อย่างหลวงพ่อเลย ระดับพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่าท่านเป็นผู้บอกทาง เราจะต้องเดินทางด้วยตัวของเราเอง
ไม่มีใครเขาอุ้มไปหรอก ต้องไปเอง ต้องสู้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 พฤศจิกายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา