22 พ.ย. 2022 เวลา 12:07 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
“ความสามารถน่ะ ไม่ได้พัฒนาขึ้นเหมือนเนินเขา แต่ไต่ขึ้นเหมือนขั้นบันได ที่ทุก ๆ ขั้นบันไดเราก็มีอารมณ์อยากจะยอมแพ้อยู่เสมอ จนไม่รู้เลยว่าขั้นบันไดถัดไปอาจจะมีพัฒนาการที่ยิ่งใหญ่รออยู่”
Twenty Five Twenty one
ประโยคเด็ดของซีรี่ส์เรื่อง Twenty Five Twenty One (หรือชื่อไทยแบบตรงตัวว่า ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด) ช่างเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังทำตามความฝันได้อย่างดี
เริ่มดูซีรี่ย์เรื่องนี้ตอนแรกโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไม่ได้อ่านรีวิวมาก่อนด้วย คิดว่าจะเป็นแค่ซีรีส์วัยรุ่นมัธยมปลายทั่วๆไป แต่พอได้ดูไปสักพักก็รู้ว่าสนุกมาก ไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย
ถ่ายทอดช่วงเวลาชีวิตของมนุษย์ที่กำลังทำตามความฝันออกมาได้อย่างลงตัว บทซีรีส์โดยรวมดีเลิศ บทสนทนาเยี่ยม การตัดฉากสลับไปมาทำได้ดี เพลงประกอบดีไม่ว่าจะเป็นเพลง Starlight ที่เลือกเปิดได้เหมาะกับฉากที่มีความสุข สดใสร่าเริง เพลง 아주, 천천히 ก็เพราะจับใจ ส่วนเพลง Twenty Five, Twenty One (스물다섯, 스물하나) ที่เปิดตอนฉากเศร้าๆดราม่า ก็แทบจะทำให้เราน้ำตาแตก ดีงามไปหมดทุกด้าน
ซีรีส์จะพาเราย้อนยุคไปในช่วงวิกฤติเศรษกิจ ไอเอ็มเอฟ ผู้ใหญ่วัย 30 บวก ก็จะอินหน่อย เหมือนเราได้ย้อนกลับไปสู่วันวาน มีทั้งเพจเจอร์ ฟลอปปีดิสก์ ทามาก็อตจิ เทปคาสเซ็ท ซาวด์เบาท์ โทรศัพท์หยอดเหรียญ โปรแกรมแชท (หาข้อมูลมาเขาบอกว่าโปรแกรมแชทในเรื่องชื่อ Nownuri ถ้าเทียบกับบ้านเราคงประมาณ Pirth98 หล่ะมั้ง)
คนเขียนบทถ่ายทอดให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ต่างก็มีไอดอลของตนเองให้เรามีจุดยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อจะทำตามความฝันของตนเอง การสื่อให้เห็นความรักระหว่างเพื่อน ครอบครัว คนรัก ก็ทำออกมาได้อย่างลึกซึ้ง
คำพูด ข้อคิดดีๆ แรงบันดาลใจเพียบ คนที่กำลังทำตามความฝันดูแล้วก็จะยิ่งอิน
ฉากแข่งขันฟันดาบก็ทำได้ดีมาก สนุกตื่นเต้น มีคำพูดปลุกใจ เทคนิคในการเอาชนะคู่ต่อสู้ ตอนดูทำให้รู้สึกเหมือนดูอนิเมะญี่ปุ่นเรื่องโปรดอยู่เลย
พระเอกหล่อ นางรองสวย นางเอกถึงจะไม่สวยมากแต่ร่าเริงสดใสเวลายิ้มหัวเราะทีก็น่ารักมากทำให้อยากยิ้มตาม ทัศนะคติดี เพื่อนๆหรือคนใกล้ตัวอยู่ด้วยก็จะมีความสุข
นาฮีโด เป็นนางเอก ซึ่งเป็นตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดตั้งแต่ดูซีรีส์มาทั้งหมด นาฮีโดเป็นคนมองโลกในแง่ดีทุกๆเรื่อง มีแต่รอยยิ้มสดใส แม้กระทั่งเรื่องเศร้าก็ทำให้เป็นเรื่องตลกได้ ทั้งๆที่นาฮีโดถูกเลี้ยงดูโดยแม่ที่มีสไตล์การเลี้ยงลูกแบบไม่พูดให้กำลังใจและทำตัวเหมือนไม่ค่อยสนใจกับความพยายามของลูก
แต่นาฮีโดก็สามารถเติบโตมาเป็นคนที่สดใสร่าเริง คิดบวก ออกแนวรั่วด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเวลามีเรื่องไม่พอใจก็ใส่สุดเหมือนกัน เป็นคนไม่เก็บความรู้สึกมีอะไรไม่ถูกใจก็พูดตรงๆ แต่ก็ไม่ใช่คนหยาบคายไร้มารยาท
แบคอีจิน เป็นพระเอกที่หน้าขรึมเหมือนอมทุกข์ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาอยู่กับนาฮีโด ด้วยความที่เคยเจอประสบการณ์บ้านล้มละลายครอบครัวแยกทาง จนแบคอีจินถึงขั้นบอกกับคนอื่นว่า I will never be happy again. เลยหล่ะ เรื่องนี้อาจทำให้แบคอีจินมีปมในใจมาตลอดจนทำให้เราคิดว่าไอ้หมอนี่เป็นโรคเสพติดความทุกข์เรื้อรังหรือเปล่าวะเหมือนจะปล่อยให้ความรู้สึกเศร้า ผิดหวัง เสียใจเข้ามาหาตัวเองซ้ำๆ  และแม้ว่าจะผ่านไปได้แล้ว แต่ก็ยังจะพยายามพาตัวเองกลับไปเจอเรื่องพวกนี้อีกจนได้
ซีรีส์นำเสนอความต่างของวิธีการคิดของพระเอกและนางเอกซึ่งต่างคนต่างดำเนินชีวิตกันไปคนละเส้นทาง แต่ทั้งสองก็ได้มารักกัน
การที่นาฮีโดได้เขียนไดอารี่ทุกวัน เขียนระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาทำให้ช่วยล้างพิษที่อยู่ในใจได้ ความรู้สึกอึดอัดหรือเหนื่อยกับปัญหาต่างๆก็จะน้อยลง ทำให้มีจิตใจเข้มแข็ง ซึ่งเรื่องนี้จากที่ผมอ่านหนังสือ The power of output ผู้เขียนบอกไว้ว่า “มีการทดลองทางจิตวิทยามากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
แม้จะไม่ได้ปรึกษาเรื่องกลุ้มใจกับใคร แต่เพียงแค่เราเขียนใส่กระดาษหรือเขียนในบันทึกประจำวันก็ช่วยให้คลายความเครียดได้” และในซีรีส์ยังเห็นว่านาฮีโดพิมพ์แชทระบายความรู้สึกของตนให้คนอื่นฟังอยู่บ่อยครั้ง นี่คงเป็นเหตุผลที่นาฮีโดยังยิ้มได้กับทุกๆเรื่อง
ต่างกับแบคอีจินที่มีเรื่องอะไรก็ชอบเก็บไว้คนเดียวไม่ระบายและไม่พูดคุยเรื่องความทุกข์ของตนเองให้คนอื่นฟัง เพราะคิดว่าพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดนี้คนเขียนบทคงศึกษาจิตวิทยาและประสาทวิทยามาอย่างดีแล้ว สามารถถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ
การที่นาฮีโดเป็นคนชอบยิ้มและหัวเราะ ทำให้สารเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นสารระงับความเจ็บปวดหลั่งออกมา เพราะฉะนั้นแม้นาฮีโดจะมีเรื่องเศร้าเรื่องเจ็บปวดยังไงก็จะกลับมายิ้มหัวเราะได้เสมอ ส่วนแบคอีจินมีการแสดงออกทางใบหน้าเหมือนคนอมทุกข์เกือบตลอดเวลา และการที่แบคอีจินเห็นนาฮีโดมีบุคลิกแบบนี้ก็เป็นเหตุผลที่แบคอีจินอยากอยู่ด้วยเพราะเหมือนได้เติมเต็มสิ่งที่ตนเองไม่มีและทำไม่ได้ เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้กับตนเองด้วยในอีกทางหนึ่ง
ซีรีส์สอนให้รู้ว่าการมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันอย่างสุดความสามารถนั้น แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างให้หยุดฝันและเปลี่ยนเส้นทางก็ตาม หากเราไม่ล้มเลิกและพยายามต่อไปย่อมมีปลายทางที่สดใสเสมอ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่าความฝันของคนเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ถ้าในช่วงเวลานั้นๆมีโอกาสอื่นเข้ามาและชีวิตของเราต้องเดินหน้าต่อไป
สอนให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬา หากศึกษาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามมาดีพอก็จะทำให้ชนะอีกฝ่ายได้ แม้อีกฝ่ายจะเก่งกว่าก็ตาม ดังวลีที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
สอนให้รู้ว่าในชีวิตจริงบางเหตุการณ์ที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิดแต่ก็ต้องขอโทษเพื่อให้อยู่ในสังคมนั้นต่อไปได้
สอนให้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องแม้เราจะเห็นว่ามันไม่ถูกต้องแต่ในช่วงเวลานั้นเราไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อต้านหรือเปลี่ยนแปลงมัน สุดท้ายก็ต้องทนอยู่กับมันให้ได้อยู่ดี
สอนให้เราเรียนรู้ว่าชีวิตจริงมันไม่มีอะไรที่จะสมหวังไปซะทุกเรื่อง แต่เราเลือกได้ว่าช่วงเวลาไหนของชีวิตเราจะตัดใครออกไปจากชีวิตและเดินต่อไป
เรื่องนี้คิมแทรีซึ่งแสดงเป็นนาฮีโดนั้น ตัวจริงอายุ 32 ปี แต่แสดงเป็นนักเรียนอายุ 18 ได้เนียนมาก หน้าเด็กจนไม่อยากจะเชื่อเลย ส่วนนัมจูฮยอกซึ่งแสดงเป็นแบคอีจินตัวจริงอายุ 28 ปี เด็กกว่าคิมแทรีแต่แสดงได้สมจริงดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก
สรุปเรื่องนี้ทำออกมาได้ลงตัวหมดทุกๆด้าน เท่าที่เคยดูซีรีส์เกาหลีมาทั้งหมดเรื่องนี้คือที่ 1 ในใจเลยให้ 5 ดาว ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️
หลายคนอาจไม่ชอบตอนจบ ผมเองก็รู้สึกเซ็งๆบ้างตอนที่ดูจบใหม่ๆ แต่พอมานั่งคิดดูผมว่าจบแบบนี้แหล่ะ ดีที่สุด ทำให้เรารักซีรีส์เรื่องนี้และจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เลย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา