30 พ.ย. 2022 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
ไนกี้(Nike) ค.ศ. 1970
แบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นจาก Onitsuka Tiger แบรนด์รองเท้าของญี่ปุ่น
ประวัติ Nike แบรนด์ระดับโลกที่ทุกๆคนต่างรู้จัก แต่กว่าจะมีวันนี้พวกเขาได้ผ่านอะไรมาและต้นกำเนิดของไนกี้มีจุดเชื่อมโยงกับ โอนิซิกะ แบรนด์รองเท้าจากเอเชียได้ยังไง ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปสู้การกำเนิดแบรนด์รองเท้าระดับโลก
Bill Bowerman(คนซ้าย) และ Phil Knight(คนขวา)
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ก็คือ ฟิลลิป แฮมป์สัน ไนต์ (Philip Hampson Knight) ประเทศอเมริกา เขาเป็นลูกชายของ William W. Knight ซึ่งเป็นอดีตทนายความและผันตัวสู่การเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์
เริ่มแรกฟิลลิปก็มีความสนใจอยากทำหนังสือพิมพ์กับพ่อ แต่เหมือนพ่อของเขาเห็นอะไรบ้างอย่างจากในตัวของลูกชาย จึงให้ฟิลลิปออกไปค้นหาตัวตนของตัวเอง และให้อยากให้ลูกชายใช้เส้นสายของครอบครัว
ฟิลลิปจึงเริ่มค้นหาตัวเองด้วยการไปเป็นนักข่าวของสำนักพิมพ์ฝ่ายตรงข้ามกับพ่อของตัวเองและได้เป็นนักข่าวกีฬาภาคดึก พร้อมกับเรียนไปด้วย ซึ่งเหมือนเป็นการปูพื้นให้กับความสำเร็จในอนาคตของเขา
ฟิลลิป แฮมป์สัน ไนต์ (Philip Hampson Knight)
ระหว่างที่ค้นหาตัวเองจนพบว่าตัวเขานั้นชอบกีฬา แต่ก็ไม่มีอย่างอื่นที่เขานั้นชอบเลย จนมาหยุดอยู่ที่รองเท้ากีฬา ฟิลลิปได้สนใจและมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงาน Onitsuka Tiger Company ที่ประเทศญี่ปุ่น
ได้ชักชวนให้ Onitsuka Tiger นำรองเท้าเข้ามาจำหน่ายในอเมริกาจนนำไปสู่การตกลงทำสัญญารับรองเท้าจาก Onitsuka Tiger มาทำแบรนด์ของตัวเอง
เมื่อรองเท้าคู่แรกมาถึงเขาได้ส่งไปให้ Bill Bowerman (บิล โบเวอร์แมน) โค้ชฝึกสอนภาคสนามผู้มีชื่อเสียง แห่งมหาวิทยาลัยออเรกอน สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ฟิลลิปตอนนั้นเป็นนักกีฬาวิ่ง เพื่อจะให้บิลช่วยอุดหนุนรองเท้าของเขา แต่บิลกลับทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือการขอเป็นหุ้นลงทุนทำรองเท้าด้วย
โดยทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่าเทคโนโลยีรองเท้าวิ่งควรได้รับการพัฒนาและฟิลลิปยังเห็นว่ารองเท้าจากประเทศญี่ปุ่นเป็นรองเท้าที่มีคุณภาพดี จึงได้นำไอเดียเสนอบิลที่มีความคิดคล้ายกันพอดี
นั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาร่วมกันลงทุนคนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,000 บาท) เพื่อเปิดบริษัทนำเข้ารองเท้ากีฬา โดยชื่อบริษัทในตอนแรกนั้นคือ BRS Inc.
Blue Ribbon Sports(BRS Inc)
ต่อมาในปี ค.ศ.1970 บิลทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำหรับรองเท้ากีฬา ที่พื้นรองเท้าเป็นแบบที่เห็นในทุกวันนี้
ถัดมาในปี ค.ศ.1971 เจฟ จอห์นสัน (Jeff Johnson) เขาเป็นพนักงานคนแรกของบริษัทได้เสนอไอเดียว่า ควรเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Nike ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าหนึ่งของกรีก
โดยมีความหมายว่า “เทพธิดาแห่งชัยชนะ” Knight จึงเปลี่ยนชื่อจาก Blue Ribbon Sports(BRS Inc) เป็น Nikeและได้ว่าจ้างกราฟฟิคดีไซน์ให้ออกแบบโลโก้ในตำนาน “swoosh” หรือเครื่องหมายถูกที่คุ้นตาเรานั่นเอง ด้วยค่าจ้างเพียง 35 ดอลล่าร์ฯ เท่านั้น
แคมเปญของไนกี้ที่ชื่อว่า Just Do It “หยุดกลัวและลงมือทำมันซะ” ระหว่างปี ค.ศ.1988 ถึง ค.ศ.1998
ในปี 1984 ไมเคิล จอร์แดน(Michael Jordan) นักบาสเกตบอลชื่อดังได้มาร่วมงานกับไนกี้ โดยตอนแรกนั้นไมเคิลเป็นแฟนคลับของแบรนด์ Adidas แต่ด้วยข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธของ Nike ที่ยื่นข้อเสนอให้กับ Michael Jordan นั้น
สูงถึง 2.5 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเซ็นต์สัญญาเป็นเวลา 5 ปี เฉลี่ยปีละ 500,000 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งพอ Adidas เห็นตัวเลขนี้แล้ว ก็ขอถอนตัวไป เพราะคิดว่า ไมเคิลนั้นไม่เก่งพอ และโชคดีที่เอเจนซี่ของ Michael Jordan นั้น กล่อมให้เขาไปคุยกับ Nike ได้สำเร็จ
พอสามารถกล่อม Michael Jordan (ไมเคิล จอร์แดน) ให้ใส่ได้แล้ว Nike ก็ดันไปมีปัญหากับทางสมาคม NBA ที่กำหนดเอาไว้ในช่วงนั้นว่า รองเท้าบาสเกตบอลนั้นต้องมีโทนสีขาว แต่รองเท้า Air Jordan I นั้นแทบจะไม่มีสีขาวอยู่เลย
ไมเคิล จอร์แดน กับ Air Jordan I
ทำให้ทุกครั้งที่ Michael Jordan ใส่รองเท้ารุ่นนี้ลงสนาม จะต้องถูกโทษปรับเงินเป็นจำนวน 5,000 ดอลล่าร์ฯ (ราว ๆ แสนกว่าบาท) ทุกนัดที่เขาใส่ลงเล่นในสนาม
แต่ Nike ไม่สน แถมได้ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัว แถมยังได้ทำโฆษณาจิกกัดต่อสมาคม NBA ด้วยว่า “โชคดีที่ NBA ไม่สามารถห้ามคุณไม่ให้ใส่รองเท้าคู่นี้ได้”
กลายเป็นว่ารองเท้า Air Jordan I นั้น ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าหยั่งกับแจกฟรี ทั้ง ๆ ที่เป็นหนึ่งในรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดารองเท้าบาสเกตบอล ณ ขณะนั้นด้วยซ้ำไป
ภาพการรับรางวัล Rookie of The Year ของ ไมเคิล จอร์แดน
หลังจากที่ Michael Jordan อกหักจาก Adidas เพราะไม่สามารถทำให้ตัวเองถูกเลือกเป็นตัวแทนพรีเซ้นต์สินค้าหรือแบรนด์แอมบาสเดอร์ได้ เขาก็หันมาซบอกกับ Nike ภายในปีแรกของการเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพของ Michael Jordan ก็สามารถทำผลงานได้อย่างสุดยอด
จนได้รับตำแหน่ง Rookie of The Year และ Nike สามารถทำเงินจากรองเท้ารุ่น Air Jordan หลังจากที่วางขายได้เพียง 2 เดือนได้กว่า 70 ล้านดอลล่าร์ฯ และเพียงสิ้นปี 1985 ก็มีรายได้ทะลุ 100 ล้านดอลล่าร์ฯ ได้อย่างสบาย ๆ
ปัจจุบัน Logo ของไนกี้ รวมถึงสัญลักษณ์ติ๊กถูก และสโลแกนของแบรนด์ ถูกนำเอามาประกอบเป็นลวดลายสกรีนลงบนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รองเท้า เสื้อ แจ็คเก็ต กางเกง กระเป๋า หมวก บอกเลยว่าครบเซ็ตมาก
เพียงเขาแค่ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ ความเป็นที่จดจำก็กลายเป็นกิมมิ ซิกเนอเจอร์พิเศษเฉพาะตัว ที่ใครๆ ก็อยากสวมใส่แล้ว
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference :
ไนกี้(Nike) : https://cutt.ly/B1TXEIb
โฆษณา