3 ธ.ค. 2022 เวลา 06:58 • ไลฟ์สไตล์
ปริเฉทที่ ๖ (ตอน ๔)
มหาภินิกขมนปริวรรต
การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่
**********
~ เปิดประตูพระนคร ~
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากพื้นปราสาทโดยประการนี้แล้ว
ไปใกล้ม้าแล้วตรัสว่า
"นี่แน่ะพ่อกัณฐกะ
วันนี้เจ้าจงให้เราข้ามฝั่งสักคืนหนึ่งเถิด
เราอาศัยเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
จักให้โลกพร้อมทั่งเทวโลกข้ามฝั่งด้วย..."
ทีนั้นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงกระโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ.
ม้ากัณฐกะโดยยาววัดได้ ๑๘ ศอก
เริ่มแต่คอประกอบด้วยส่วนสูงก็เท่ากัน
สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเร็ว
ขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว.
ถ้าม้ากัณฐกะนั้นพึงร้องหรือย่ำเท้า
เสียงก็จะดังกลบทั่วพระนครหมด
เพราะเหตุนั้นเทวดาจึงกั้นเสียงร้องของม้านั้น
โดยอาการที่ใคร ๆ จะไม่ได้ยิน ด้วยอานุภาพของตน.
พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ หลังม้าตัวประเสริฐ
ทรงให้นายฉันนะจับทางของม้าไว้
เสด็จถึงที่ใกล้ประตูใหญ่ตอนเที่ยงคืน
ก็ในกาลนั้นพระราชาทรงดำริว่า
พระโพธิสัตว์จักไม่สามารถเปิดประตูพระนครออกไปได้
ไม่ว่าในเวลาใด ๆ จึงรับสั่งให้กระทำบานประตูสองบาน
แต่ละบาน บุรุษพันคนจึงจะเปิดได้ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์พระกำลังยิ่ง ทรงมีพระกำลัง
เมื่อเทียบกับช้างก็นับได้พันโกฏิ
เมื่อเทียบกับบุรุษ ก็ทรงมีพระกำลังนับได้สิบแสนโกฏิ.
เพราะฉะนั้นพระองค์จึง ทรงดำริว่า
"ถ้าประตูไม่เปิด วันนี้เรานั่งอยู่บนหลังม้ากัณฐกะนี่แหละ
จักเอาขาอ่อนหนีบม้ากัณฐกะแล้ว
กระโดดข้ามกำแพงซึ่งสูงได้ ๑๘ ศอกไป"
นายฉันนะก็คิดว่า
"ถ้าประตูไม่เปิด
เราจักให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอของเรา
แล้วเอาแขนขวาโอบรอบม้ากัณฐกะที่ท้อง
กระทำให้อยู่ในระหว่างรักแร้ จักกระโดดข้ามกำแพงไป"
แม้ม้ากัณฐกะก็ติดว่า "ถ้าประตูไม่เปิด
เราจักยกนายของเราทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนหลังนี่แหละ
พร้อมกันทีเดียวกับนายฉันนะผู้จับทางยืนอยู่
กระโดดข้ามกำเเพงไป"
"ถ้าประตูจะไม่มีใครเปิดให้
บรรดาคนทั้งสามคนใดคนหนึ่ง
คงจะทำสมกับที่คิดไว้แน่เเท้..."
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตู เปิดประตูให้...
**********
~ มาร ~
ในขณะนั้นนั่นเอง...
มารผู้มีบาปมาด้วยคิดว่า
เราจักให้พระโพธิสัตว์กลับ
แล้วยืนอยู่ในอากาศทูลว่า
"ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ผู้เจริญ ท่านอย่าออกไป
ในวันที่ ๗ นับเเต่วันนี้ไปจักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน
ท่านจักครอบครองราชสมบัติแห่งทวีปใหญ่ทั้ง ๔
มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ท่านจงกลับเสียเถิด"
พระโพธิสัตว์จึงตรัสถามว่า "ท่านเป็นใคร"
มารตอบว่า "เราเป็นวสวัตดีมาร"
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
"ดูก่อนมาร เราทราบว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา
เราไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัตินั้น
เราจักให้หมื่นโลกธาตุบรรลือแล่น
แล้วเป็นพระพุทธเจ้า.
มารกล่าวว่า
"นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ในเวลาที่ท่านทรงดำริถึงกามวิตกก็ดี
พยาบาทวิตกก็ดี วิหิงสาวิตกก็ดี
เราจักรู้ดังนี้ คอยแสวงหาช่องอยู่
ติดตามพระองค์ไปประดุจเงา"
**********
~ ทิ้งสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ ~
ฝ่ายพระโพธิสัตว์มิได้มีความอาลัย
ละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติ
อันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์
ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ...
เสด็จออกจากพระนครด้วยสักการะอันใหญ่
ก็แหละในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เดือน ๘
เมื่อนักขัตฤกษ์ในเดือนอุตตราสาฬหะ เดือน ๘ หลัง
กำลังดำเนินไปอยู่
**********
~ เทวดาทั้งหลาย บูชาพระโพธิสัตว์ ~
ครั้น เสด็จออกจากพระนครแล้ว
มีพระประสงค์จะแลดูพระนคร.
ก็แหละเมื่อพระโพธิสัตว์นั้นมีความคิดพอเกิดขึ้นเท่านั้น
ปฐพีประหนึ่งจะทูลว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ
พระองค์ไม่ต้องหันกลับมากระทำการทอดพระเนตรดอก
จึงแยกหมุนกลับ ประดุจจักรของนายช่างหม้อ.
พระโพธิสัตว์ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางพระนคร
ทอดพระเนตรดูพระนคร
แล้วทรงแสดงเจดีย์สถานเป็นที่กลับของม้ากัณฐกะ ณ ที่นั้น
ทรงกระทำม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าต่อหนทางที่จะเสด็จ
ได้เสด็จไปแล้วด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่
ด้วยความงามสง่าอันโอฬาร.
ได้ยินว่า ในกาลนั้นเทวดาทั้งหลาย
ชูคบเพลิง ๖๐,๐๐๐ อันข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น
ข้างหลัง ๖๐,๐๐๐ อัน ข้างขวา ๖๐,๐๐๐ อัน
ข้างซ้าย ๖๐,๐๐๐ อัน.
เทวดาอีกพวกหนึ่ง ชูคบเพลิงหาประมาณมิได้
ณ ที่ขอบปากจักรวาล.
เทวดา กับนาคและครุฑเป็นต้นอีกพวกหนึ่ง
เดินบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ จุรณและธูปอันเป็นทิพย์.
พื้นท้องฟ้านภาดลได้ต่อเนื่องกันไปไม่ว่างเว้นด้วยดอกปาริชา
และดอกมณฑารพ เหมือนเวลามีเมฆฝนอันหนาทึบ
ทิพยสังคีตทั้งหลายได้เป็นไปแล้ว.
ดนตรีหกหมื่นแปดพันชนิดบรรเลงขึ้นแล้วโดยทั่ว ๆ ไป.
กาลย่อมเป็นไป เหมือนเวลาที่เมฆคำรามในท้องมหาสมุทร
และเหมือนเวลาที่สาครมีเสียงกึกก้องในต้องภูเขายุคนธร.
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา