4 ธ.ค. 2022 เวลา 05:44 • ไลฟ์สไตล์
ปริเฉทที่ ๖ (ตอน ๕)
มหาภินิกขมนปริวรรต
การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่
**********
~ ทรงอธิษฐานเสี่ยงทาย ~
พระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จไปอยู่ด้วยสิริโสภาคย์นี้
ล่วงเลยราชอาณาจักรทั้ง ๓
โดยราตรีเดียวเท่านั้น
เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที่ในที่สุดหนทาง ๓๐ โยชน์.
ถามว่า ก็ม้าสามารถจะไปให้ยิ่งกว่านั้นได้หรือไม่ ?
ตอบว่า สามารถไปได้
เพราะม้านั้นสามารถเที่ยวไป
ตลอดห้วงจักวาลโดยไม่มีขอบเขตอย่างนี้
เหมือนเหยียบวงแห่งกงล้อที่สอดอยู่ในดุมแล้ว
กลับมาก่อนอาหารเช้า
บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับตน.
ก็ในกาลนั้น
ม้าดึงร่างอันทับถมด้วยของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้น ซึ่งเทวดา นาค และครุฑเป็นต้น
ยืนอยู่ในอากาศแล้วโปรยลงมา
ท่วมจนกระทั่งอุรุประเทศขาอ่อน
เเล้วตลุยชัฏแห่งของหอมและดอกไม้ไป
จึงได้มีความล่าช้ามาก
เพราะฉะนั้นม้าจึงได้ไปเพียง ๓๐ โยชน์เท่านั้น
พระโพธิสัตว์ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำ
แล้วตรัสถามนายฉันนะว่า "แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?"
นายฉันนะกราบทูลว่า "ชื่ออโนมานทีพะยะค่ะ"
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า
บรรพชาแม้ของเราก็จักไม่ทราม
จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า.
ม้าได้โดดข้ามแม่น้ำ
อันกว้างประมาณ ๘ อุสภะไปยืนที่ฝั่งโน้น
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า
ประทับยืนที่เนินทรายอันเหมือนแผ่นเงิน
ตรัสเรียกนายฉันนะมาว่า
"ฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้าของเราไป
เราจักบวช ณ ที่นี้แหละ"
นายฉันนะกราบทูลว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ
แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวชกับพระองค์ พระเจ้าข้า"
พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า
"เธอยังบวชไม่ได้
เธอจะต้องไป เพื่อแจ้งข่าวการบรรพชา
แก่พระราชบิดา และพระราชมารดา ของเราก่อน"
แล้วทรงมอบเครื่องอาภรณ์
และม้ากัณฐกะให้นายฉันทะรับไปแล้ว
ทรงดำริว่า... ผมทั้งหลายของเรานี้
ไม่สมควรแก่สมณะ
ทรงดำริต่อไปว่า...
ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์... ย่อมไม่มี
เพราะเหตุนั้น
เราจักตัดด้วยพระขรรค์นั้นด้วยตนเอง
จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์
เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก)
พร้อมกับพระโมลี (มวยผม)
แล้วจึงตัดออก
เส้น พระเกศาเหลือประมาณ ๒ องคุลี
เวียนขวาแนมติดพระเศียร
พระเกศาได้มีประมาณเท่านั้น
จนตลอดพระขนมชีพ.
และพระมัสสุ (หนวด)
ก็ได้มีพอเหมาะพอควรกับพระเกศานั้น
ชื่อว่ากิจด้วยการปลงผมและหนวดมิได้มีอีกต่อไป.
พระโพธิสัตว์จับพระจุฬา
พร้อมด้วยพระโมลีทรงอธิษฐานว่า
"ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าไซร้
พระโมลีจงตั้งอยู่ในอากาศ
ถ้าจักไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
จงตกลงบนภาคพื้น"
แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ
ม้วนพระจุฬามณีนั้นไปถึง
ที่ประมาณโยชน์หนึ่งแล้วได้คงอยู่ในอากาศ.
ท้าวสักกเทวราชตรวจดูด้วยทิพยจักษุ
จึงเอาผอบแก้วประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้
นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์
ชื่อว่า "จุฬามณีในภพชั้นดาวดึงส์"
เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
"อัครบุคคลผู้เลิศได้ตัดพระโมลีอันอบด้วยกลิ่น
หอมอันประเสริฐแล้ว โยนขึ้นไปยังเวหา
ท้าววาสวะผู้มีพระเนตรตั้งพัน
เอาผอบทองอันประเสริฐทูนพระเศียรรับไว้แล้ว"
**********
~ บริขาร ๘ ~
พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริอีกว่า
ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านั้นไม่สมควรแก่สมณะสำหรับเรา.
ลำดับนั้น
ฆฏิการมหาพรหมผู้เป็นสหายเก่าในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า
มีความเป็นมิตร ยังไม่ถึงพุทธันดร
คิดว่า
"วันนี้สหายของเราออกมหาภิเนษกรมณ์
เราจักถือเอาสมณบริขารของสหายเรานั้นไป
จึงได้นำเอาบริขาร ๘ เหล่านั้น คือ
บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม
รัดประคด เป็น ๘ กับผ้ากรองน้ำ
ย่อมควรแก่ภิกษุประกอบความเพียรไปให้"
**********
~ ม้ากัณฐกะ หทัยแตก ~
พระโพธิสัตว์ทรงนุ่งห่มธงชัยแห่งพระอรหัตแล้ว
ถือเพศบรรพชาอันสูงสุด
จึงทรงส่งนายฉันนะไปด้วยพระดำรัสว่า
"ฉันนะ เธอจงทูลถึงความไม่มีโรคป่วยไข้
แก่พระชนกเเละชนนี ตามคำของเราด้วยเถิด"
นายฉันนะถวายบังคมพระโพธิสัตว์
กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
ส่านม้ากัณฐกะ
ยืนฟังคำของพระโพธิสัตว์ซึ่งตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า
"บัดนี้ เราจะไม่มีการได้เห็นนายอีกต่อไป
เมื่อละคลองจักษุไป"
ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้
เมื่อหทัยแตก
ตายไปบังเกิดเป็นกัณฐกเทวบุตรในภพดาวดึงส์.
ครั้งแรก นายฉันนะ
ได้มีความโศกเพียงอย่างเดียว
แต่เมื่อม้ากัณฐกะตายไป
นายฉันนะถูกความโศกครั้งที่สองบีบคั้น
ได้ร้องไห้คร่ำครวญเดินไป.
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา