5 ธ.ค. 2022 เวลา 05:27 • ไลฟ์สไตล์
ปริเฉทที่ ๗
ทุกรกิริยาปริวรรต
พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยา
**********
~ บิณฑบาตร ~
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นบรรพชาแล้ว
ได้ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิด
จากการบรรพชาตลอดสัปดาห์
ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้นนั่น
แล แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาท
สิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์ โดยวันเดียวเท่านั้น
แล้วเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์
ก็แหละครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตรไปตามลำดับตรอก.
พระนครทั้งสิ้นได้ถึงความตื่นเต้น
เพราะได้เห็นพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์
เหมือนตอนช้างธนบาลเข้าไปกรุงราชคฤห์
และเหมือนเทพนครตอนจอมอสูรเข้าไปฉะนั้น.
ลำดับนั้น ราชบุตรทั้งหลายมา
กราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร ว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ
บุคคลชื่อเห็นปานนี้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในพระนคร
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้าว่า
ผู้นี้ชื่อไร จะเป็นเทพ มนุษย์ นาค หรือครุฑ"
พระราชาประทับยืนที่พื้นปราสาททอดพระเนตร
เห็นพระมหาบุรุษ เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น
ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า
"แน่ะพนาย ท่านทั้งหลายจงไปพิจารณาดู
ถ้าจักเป็นอมนุษย์ เขาออกจากพระนครแล้วจักหายไป
ถ้าเป็นเทวดาจักเหาะไป ก็ถ้าเป็นนาคจักดำดินไป
ถ้าเป็นมนุษย์จักบริโภคภิกษาหารตามที่ได้.
ฝ่ายพระมหาบุรุษแล
รวบรวมภัตอันสำรวมกัน
แล้วรู้ว่าภัตมีประมาณเท่านี้พอสำหรับเรา
เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป
เสด็จออกจากพระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามานั่นแล
บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
ประทับนั่งที่ร่มเงาของปัณฑวบรรพต
เริ่มเพื่อเสวยพระกระยาหาร.
ลำดับนั้นพระอันตะ (ไส้ใหญ่) ของพระมหาบุรุษ
ได้ถึงอาการจะออกมาทางพระโอษฐ์ (ปาก)
พระโพธิสัตว์ทรงอึดอัดกังวลพระทัยด้วยอาหารอันปฏิกูล
เพราะด้วยทั้งอัตภาพนั้น
พระองค์ไม่เคยเห็นอาหารเห็นปานนั้น
แม้ด้วยพระเนตร
จึงทรงโอวาทตนด้วยพระองค์เองอย่างนี้ว่า
"ดูก่อนสิทธัตถะ เธอเกิดในสถานที่มีโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ
ด้วยโภชนะแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอม ซึ่งเก็บไว้ ๓ ปี
ในตระกูลอันมีข้าวและน้ำหาได้ง่ายมาก
ได้เห็นบรรพชิตผู้ทรงผ้าบังสุกุลรูปหนึ่ง
แล้วคิดว่า เมื่อไรหนอ
แม้เราก็จักเป็นผู้เห็นปานนั้นเที่ยวบิณฑบาตบริโภค
กาลนั้น จักมีไหมหนอ สำหรับเรา
จึงออกบวช...
บัดนี้ เธอจะทำข้อนั้นอย่างไร"
ครั้นทรงโอวาทพระองค์อย่างนี้แล้ว
ไม่ทรงมีอาการอันผิดแผก
ทรงเสวยพระกระยาหาร
**********
ราชบุรุษทั้งหลายเห็นความเป็นไปนั้นแล้ว
จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงสดับ
ก็มีพระทัยโสมนัสในพระคุณสมบัติ
ทรงพระประสงค์จะได้พบ
จึงเสด็จด้วยพระราชยานออกจากพระนครโดยด่วน
ครั้นถึงบัณฑวะบรรพต ก็เสด็จลงจากราชยาน
เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปเฝ้าพระมหาบุรุษเจ้า
เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระอิริยาบถเรียบร้อย
อยู่ในสมณสังวร ทรงเลื่อมใสในปฏิปทาของพระโพธิสัตว์
ครั้นได้ทูลถามถึงตระกูล ประเทศ และพระชาติ
เมื่อทรงทราบว่าเป็นขัตติยศากยราชเสด็จออกบรรพชา
ก็ทรงดำริว่า
"ชะรอยพระมหาบุรุษจะทรงพิพาทกับพระประยูรญาติ
ด้วยเรื่องพระราชสมบัติเป็นแม่นมั่น
จึงได้เสด็จออกบรรพชา ซึ่งเป็นธรรมดาของนักพรต
ที่ออกจากราชตระกูลบรรพชาแต่กาลก่อน"
จึงได้ทรงเชื้อเชิญพระมหาบุรุษด้วยราชสมบัติ
ซึ่งพระองค์ยินดีจะแบ่งถวายให้เสวยสมพระเกียรติทุกประการ
พระมหาบุรุษตรัสตอบ ขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร
ซึ่งมีพระทัยกอรปด้วยพระเมตตา
แบ่งสิริราชสมบัติพระราชทานให้ครอบครอง
เพราะพระองค์มิได้มีความประสงค์ในราชสมบัติ
หรือจักรพรรดิราชสมบัติ
ทรงสละราชสมบัติออกผนวช
เพื่อมุ่งหมายพระสัพพัญญุตญาณโดยแท้
**********
พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า
"มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการ
วัตถุกามหรือกิเลสกามทั้งหลาย
อาตมภาพปรารถนาปรมาภิสัมโพธิญาณ
จึงออกบวช..."
แม้พระราชาแม้จะทรงอ้อนวอนเป็นอเนกประการ
ก็ไม่สำเร็จ
พระเจ้าพิมพิสาร
จึงตรัสว่า
"พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว
ก็พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
พึงเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน"
**********
พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับ ก็ตรัสอนุโมทนา
และทูลขอปฏิญญากะพระมหาบุรุษว่า
ถ้าพระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว
ขอได้ทรงพระกรุณาเสด็จมายังพระนครราชคฤห์
แสดงธรรมโปรด
ครั้นพระมหาบุรุษทรงรับปฏิญญาแล้ว
ก็ถวายบังคมลากลับเข้าพระนคร
**********
~ เริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่ ~
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงให้ปฏิญญาแก่พระราชาแล้ว
เสด็จจาริกไปโดยลำดับ
เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร
และอุทกดาบสรามบุตร
ทำสมาบัติให้บังเกิดแล้ว
ทรงดำริว่า "นี้มิใช่ทางเพื่อจะตรัสรู้"
จึงยังไม่ทรงพอพระทัยสมาบัติภาวนาแม้นั้น
มีพระประสงค์
จะเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่ (ทรมานตน)
เพื่อจะทรงแสดงเรี่ยวแรง และความเพียรของพระองค์
แก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก
จึงเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา
ทรงพระดำรัสว่า
"ภูมิภาคนิน่ารื่นรมย์หนอ"
จึงเสด็จเข้าอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น
ทรงเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่.
**********
~ ปัญจวัคคีย์ อุปัฏฐากพระโพธิสัตว์ ~
บรรพชิต ๕ รูป มีโกณฑัญญะเป็นประธาน
พากันเที่ยวภิกขาจารไปในคาม นิคม และราชธานี
ได้ถึงทันพระโพธิสัตว์ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น.
ลำดับนั้น บรรพชิตทั้ง ๕ รูปนั้น
อุปัฏฐากพระโพธิสัตว์
ผู้เริ่มตั้งมหาปธานความเพียร (ทรมานตน)
ตลอด ๖ พรรษา...
ด้วยหวังใจว่า "พระองค์จักเป็นพระพุทธเจ้า..."
และได้เป็นผู้อยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น.
**********
~ บำเพ็ญทุกรกิริยา ~
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
จักกระทำทุกรกิริยาให้ถึงที่สุด...
จึงทรงยับยั้งอยู่
ด้วยข้าวสารเพียงเมล็ดงาหนึ่งเป็นต้น
ได้ทรงกระทำการตัด
อาหารเสียโดยประการทั้งปวง.
ฝ่ายเทวดาก็นำเอาโอชะ (อาหารทิพย์)
ใส่เข้าไปทางขุมพระโลมา (ขน) ทั้งหลาย
ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์นั้น
มีพระวรกายอันถึงความอ่อนเปลี้ยอย่างยิ่ง
เพราะความเป็นผู้ที่ไม่มีพระกระยาหารนั้น
พระวรกายอันมีฉวีวรรณดุจทอง
ได้มีพระฉวีวรรณคำไป
พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
ก็ได้ถูกปกปิดไม่ปรากฏ.
ในกาลบางคราว
เมื่อทรงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณ (กลั้นลมหายใจ)
ถูกเวทนาใหญ่หลวงครอบงำ
ทรงวิสัญญีสลบล้มลงในที่สุดที่จงกรม.
**********
การบำเพ็ญทุกรกิริยา (การกระทำที่ทำได้ยากยิ่ง)
ทุกกรกิริยาเป็นพรตอย่างหนึ่งซึ่งนักบวชสมัยนั้นนิยมทำกัน
มีตั้งแต่อย่างต่ำธรรมดา จนถึง ขั้นอาการปางตาย
ที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์จะทำได้อย่างยิ่งยวด
คือ
1.กัดฟัน
2.กลั้นลมหายใจเข้าออก
3.อดอาหาร
พระมหาบุรุษ ทรงทดลองดูทุกอย่างแล้ว
ทรงผ่อนพระกระยาหาร
ลงตามลำดับจนไม่เสวยอะไรเลย
พระวรกายผ่ายผอม
เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ด้วยหวังว่าจักทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
จนบางครั้ง เช่น คราวลดเสวยอาหารน้อยลงๆ
จนถึงงดเสวยเลย
แทบสิ้นพระชนม์...
พระกายซูบผอม
พระโลมา (ขน) รากเน่าหลุดออกมา
เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
เวลาเสด็จดำเนินถึงกับซวนเซ...
**********
ลำดับนั้น เทวดาบางพวกกล่าวถึงพระโพธิสัตว์นั้นว่า
"พระสมณโคดมกระทำกาลกิริยาแล้ว"
เทวดาบางพวกกล่าวว่า
"นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอรหันต์ทีเดียว"
บรรดาเทวดาเหล่านั้น เหล่าเทวดาผู้พูดว่า
พระสมณโคดมได้กระทำกาลกิริยาแล้วนั้น
พากันไปกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชว่า
"พระราชโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว"
พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชตรัสว่า
บุตรของเรายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าจะยังไม่ตาย.
เทวดาเหล่านั้นกราบทูลว่า
"พระโอรสของพระองค์ไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้า
ทรงล้มลงที่พื้นสำหรับบำเพ็ญเพียรสวรรคตแล้ว"
พระราชาทรงสดับคำนี้จึงตรัสห้ามว่า
"เราไม่เชื่อ ชื่อว่าบุตรของเรายังไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว
กระทำกาลกิริยา ย่อมไม่มี"
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระราชาจึงไม่ทรงเชื่อ ?
ตอบว่า เพราะพระองค์ได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์ทั้งหลาย
ในวันที่ให้ไหว้พระกาลเทวลดาบส และที่ควงไม้หว้า.
**********
พระโพธิสัตว์ทรงกลับได้สัญญาลุกขึ้นได้อีก
เมื่อพระมหาสัตว์ลุกขึ้นแล้ว
เทวดาเหล่านั้นมากราบทูลแก่พระราชาว่า
ข้าแต่ มหาราช พระราชโอรสของพระองค์ไม่มีพระโรคแล้ว.
พระราชาตรัสว่า
เราย่อมรู้ว่าบุตรของเราไม่ตาย.
**********
~ ไม่ใช่ทางบรรลุ ~
เมื่อพระมหาสัตว์
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ พรรษา
กาลเวลาได้เป็นเหมือนขอดปมในอากาศ.
พระมหาสัตว์นั้นทรงพระดำริว่า
ชื่อว่าการทำทุกรกิริยานี้
ไม่ใช่ทาง (บรรลุ)
จึงเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในคามและนิคมทั้งหลาย
เพื่อต้องการอาหารหยาบ
แล้วนำอาหารมา เพื่อยังอัตภาพ
**********
~ ภิกษุปัญจวัคคีย์ ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ~
ครั้งนั้นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
ของพระโพธิสัตว์นั้นได้กลับเป็นปกติ
พระกายได้มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ
พระภิกษุปัญจวัคคีย์พากันคิดว่า
"พระมหาบุรุษนี้แม้กระทำทุกรกิริยาถึง ๖ ปี
ก็ไม่สามารถแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้
บัดนี้ เที่ยวบิณฑบาตไปในบ้านเป็นต้น
นำอาหารหยาบมา
จักสามารถได้อย่างไร
พระมหาบุรุษนี้กลายเป็นผู้มักมาก
คลายความเพียร"
"ชื่อการคาดคะเนถึงคุณวิเศษ
จากสำนักของพระมหาบุรุษนี้แห่งพวกเรา
ก็เหมือนคนผู้จะสรงสนานศีรษะ
คิดคาดคะเนเอาหยาดน้ำค้างฉะนั้น
พวกเราจะประโยชน์อะไรด้วยพระมหาบุรุษนี้
จึงพากันละพระมหาบุรุษ"
ถือเอาบาตรและจีวรของตน ๆ
เดินทางไปประมาณ ๑๘ โยชน์
เข้าไปยังป่าอิสิปตนะ.
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา