7 ธ.ค. 2022 เวลา 10:54 • ไลฟ์สไตล์
เข้าใกล้ภาวะตื่นรู้แล้วหลงรักรุ่นพี่?
ความรักจากสายใยจิตวิญญาณที่ใกล้ชิดกันดึงดูดกันหรือไม่?
คล้ายคลึงกับความรักแบบหนุ่มสาวหรือไม่?
ความรักในภาวะตื่นรู้คือความรักที่ไม่ครอบครอง?
Love of Awakener
ในระดับสัจจะ มันไม่มีหรอกความรักที่ดึงดูดกัน
ถ้ามันดึงดูดกันจริง ในตัวของคนคนหนึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีทั้งความรักและความเกลียดชังอยู่ในตัวเอง เพราะมันคงถูกอีกฝ่ายดูดออกไปหมดแล้วและเหลืออยู่เพียงแต่ความรักเพียวๆ และความเกลียดชังเพียวๆ
แต่ในความเป็นจริงในตัวของคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเขาจะสามารถมีความรักอยู่ในนั้นได้หรือไม่?
ในตัวของคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเองเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะสามารถมีความรักอยู่กับเรื่องบางเรื่อง สิ่งของบางอย่าง หรือกับคนบางคนได้หรือไม่?
ในระดับสัจจะ ความรักมันยังไม่รู้ตัวของมันเองเลยว่ามันคือความรัก
ก็เหมือนกับความดี/ความเลว ความสุข/ความทุกข์นั่นแหล่ะ มันเป็นแค่สเตทใดสเตทหนึ่งตามธรรมชาติเท่านั้น (state)
เป็นเพราะว่ามี "เรา" ต่างหาก
พอมี "เรา" ก็เลยมี "ความคิด"
พอมีความคิด (thinking thought) ก็เลยมีความเห็น (opinion)มันก็เลยมีอัตตาขึ้นมา
เพราะมีอัตตาเป็นพื้นฐาน ความชอบ/ไม่ชอบก็เลยมีตามมาซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
เราไปเจอะเข้ากับสเตทนี้แล้วชอบ เจอะสเตทนี้แล้วไม่ชอบ แปะป้ายลงไปว่านี่แหล่ะแบบนี้เรียกว่าความรักแบบนี้เรียกว่าความเกลียดชังแบบนี้เรียกว่าความดีแบบนี้เรียกว่าความเลว
ความรักมันก็เป็นแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ที่เราไปกำหนดว่าสวยงาม) ของมันเองเฉยๆ จะมีเราหรือไม่มีเรามันก็เป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว
พอเราไปเห็น เราชอบ เราอยากเอากลับบ้าน แล้วไปบอกไปโทษว่าเราถูกดึงดูด?
ใครเป็นคนดึง?
ความรักมีความคิดหรือไม่?
แท้จริงแล้วใครเป็นคนดึงกันแน่?
โทษว่าความรักดึงดูดกันแต่ไม่ได้ดูว่าใครเป็นคนไปยุ่งกับมัน
มันปรุงแต่งทั้งนั้น
ซึ่งกลายเป็นว่ามันไม่ได้อยู่ในระดับสัจจะแล้ว แต่ไปอยู่ในระดับความคิด
เราไปเห็นสิ่งจริงแท้ในระดับสัจจะ แต่กลับถูกอัตตาดึงมาเล่นในสนามของความคิด
มันถูกต้องเลย ความรักในภาวะตื่นรู้ก็คือรักที่ไม่ครอบครอง แต่มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ความรักหรอก นี่เป็นองค์ของการพ้นทุกข์เลย ทุกอย่างในโลกก็เป็นเหมือนกันแบบนี้เช่นกัน ไม่เฉพาะกับแค่ความรัก ความเกลียดชัง ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความกลัว ความสุข ฯลฯ มันก็เป็นสเตทเหมือนกัน ดูดีดีแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แค่มีลักษณะที่ต่างกัน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เป็นแค่เพียงสิ่งใดสิ่งนั้น มันเป็นธรรมชาติที่ไร้การครอบครองเหมือนกัน
ทำไมจึงไร้การครอบครอง?
ลองถามโทรศัพท์มือถือของตัวเองดูว่ามันเป็นของใคร?
มันตอบออกมาหรือไม่ว่ามันเป็นของเรา?
มันรู้ตัวหรือไม่ว่ามันเป็นโทรศัพท์มือถือ?
มันเข้าใจกติกาของการซื้อขายหรือไม่?
ใครกำหนดกติกา?
คนกำหนดกติกากันเองแล้วเกี่ยวอะไรกับมัน?
ความเป็นเจ้าของมีอยู่จริงไหม?
ความรักเองก็เหมือนกัน มันเป็นเพียงสเตทในธรรมชาติในโลกเท่านั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราดันไปยุ่งกันมันเอง ตั้งกติกาแห่งความเป็นเจ้าของขึ้นมาแล้วก็ยึดติดไปกับกติกาที่มัน abstract เลื่อนลอยด้วยสมมุติ เลื่อนลอยด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
แล้วถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่ามันดึงดูดกันนั้น มันมีอยู่จริงมั้ย?
สิ่งที่ดึงดูดกันมันก็มีนั่นแหล่ะ แต่ไม่ใช่สเตท
สิ่งที่ดึงดูดกันแล้วทำให้เข้าใจผิดตรงนี้ก็คือความคิดกับความเห็น มันก็คือตัวเราเองนี่แหล่ะ
คือ สังขาร ความคิดปรุงแต่งของเราเองบนพื้นฐานของอัตตาที่อยากจะตีความธรรมชาติให้เป็นไปในแบบที่เราต้องการให้เป็น แล้วก็ไปสมหวังหรือเจ็บปวดกับสิ่งต่างๆที่ตามมาจากความคาดหวังนั้น
ดังนั้นจึงมีแต่ความคิดกับความเห็นที่ดึงดูดกันเองด้วยความชอบ/ไม่ชอบเพราะเป็น product ของความคิดกับความเห็น
อย่างคนที่คิดเหมือนกันมารวมตัวกัน ทั้งๆที่ในตัวคนคนนั้นก็มีทั้งความรักและความเกลียดอยู่ในตัวนั่นแหล่ะแต่ก็ยังมารวมตัวกันได้
ดังนั้นจากในข้อความที่ถามมา ใครจะตกหลุมรักใครมันก็เป็นเรื่องของความคิดและอยู่ใน thinking level
ใครจะตกหลุมรักรุ่นพี่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักในระดับสัจจะระดับจิตเดิมแท้
พอจะมองออกได้มั้ยว่าใครเป็นคนรัก ใครเป็นคนดึงดูด?
เพราะการ form-up ของอัตตาที่พาทุกอย่างมารวมกัน (หรือจะใช้คำเท่ห์ๆว่าดึงดูดกัน) ก็เหมือนกับการหมุนของสิ่งใหญ่ๆ อย่างโลกใบนี้ที่ดึงดูดวัตถุธาตุทุกอย่างให้มารวมติดอยู่กับตัวมันแม้จะโยนขึ้นไปนั่นแหล่ะ ทั้งบ้านเรือน รถรา ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล ฯลฯ
แต่อากาศก็ไม่เห็นจะโดนดูด
ดังนั้นไม่ใช่สเตทที่มันดึงดูดกันเอง แต่ต้องดูว่ามันถูกอะไรดึงดูดอยู่
อัตตาสร้างความคิดที่ไปคว้าเอาสเตทมาดึงดูดกันเพราะความชอบ/ไม่ชอบ ใช่/ไม่ใช่ ดี/ไม่ดี เอา/ไม่เอา เราก็เลยเต็มไปด้วยทั้งสเตทและความคิดที่หลากหลายรวมอยู่ในตัวเอง เหมือนโลกที่ดึงดูดทุกอย่าง
เห็นแบบนี้แล้วเราจะพ้นจากมันไปได้อย่างไร?
อัตตามันยิ่งใหญ่ (น่ากลัวและอันตราย) ถึงระดับนั้น
ส่วนจิตวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วมันไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่มันเป็นเนื้อเดียวกันเลย
มันเหมือนน้ำที่กระจายทั่วไปอยู่บนโลกไม่ว่าจะเป็นน้ำอะไรก็ตามจะหยดเดียวหรือปริมาณเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อไหลไปลงทะเลแล้วก็กลายเป็นเนื้อทะเลเดียวกัน
ลองหยดน้ำหยดหนึ่งลงไปในทะเลแล้วลองเอามันกลับขึ้นมาคืน น้ำหยดนั้นมันกลายเป็นน้ำทะเลไปแล้ว
ผู้ที่เห็นน้ำเพียงบางส่วนในที่ขาดแคลนก็จะเข้าใจไปแบบหนึ่ง ผู้ที่เห็นน้ำบางส่วนในที่สมบูรณ์ก็จะเข้าใจไปแบบหนึ่ง ผู้ที่เห็นน้ำเยอะส่วนแล้วก็เข้าใจไปอีกแบบหนึ่ง ผู้ที่เห็นน้ำทั้งหมดแล้วก็จะเลิกหาคำอธิบาย ก็มันหายสงสัย ดังนั้นเมื่อเห็นน้ำแค่หยดเดียวก็เข้าใจถึงเนื้อน้ำทะเลได้
ความรักมันก็เป็นแบบนั้น มันเป็นสเตทที่กระจายอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในคนหรืออยู่ในสัตว์หรือระหว่างคนกับสัตว์
แต่ไม่ว่ามันจะไปกระจายหรือกระจุกตัวอยู่ที่ไหนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเดียวกันเหมือนเดิม มันเป็นแค่สเตทใดสเตทหนึ่ง
ดังนั้นคนที่เห็นจิตเดิมแท้อันประภัสสรแล้ว เขาก็จะรักคนอื่นอภัยให้คนอื่นง่ายขึ้น เพราะเขาเห็นความเหมือนกันในระดับเนื้อแท้แห่งธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา สิ่งที่เรียกว่าคนอื่น และสิ่งที่คนทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งอื่นที่รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกเนื้อหนังแห่งกายข้าฯ
เขาก็รู้ว่าเราไม่ได้แตกต่างกันในระดับเนื้อแท้เลย
(เพียงแต่แตกต่างกันในระดับผิวน้ำที่มีคลื่นไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่ใช่ประเด็น)
ยัง ยังไม่หมด
ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือจากความรักแต่มาลงรอยเป็นเนื้อเดียวกันด้วย
อย่างชีวิต (life)
อย่างจิตสำนึก (conscious)
อย่างจิตสำนึกร่วม (collective conscious)
ฯลฯ
ไม่ได้มีแค่ความรักที่มารวมเป็นน้ำเนื้อเดียวกัน
ก็มีบ้างสำหรับคนที่ยังหุงไม่สุกดีตื่นรู้ยังไม่ถ้วนทั่วก็จะมองไม่เห็นถึงระดับนี้ ก็มันยังอยู่ในโลก มันก็เป็นไปตามบทบาทที่โลกให้เล่น พอเล่นไปๆ มันก็ลืมหุงต่อให้สุกถ้วน
แต่สิ่งที่จะหายไปแน่ๆ สำหรับคนที่เห็นจิตเดิมแท้แล้วก็คือความสัมพันธ์กับตนเอง
เขาจะไม่มีความสัมพันธ์กับตนเองอีกต่อไปแล้ว
เพราะเหตุใดน่ะหรือ?
ไม่บอก เพราะสปอยล์มาเยอะแล้ว เมื่อโดยสปอยล์ซะแล้วจุดนี้ที่จะทำให้ตื่นได้ก็จะเสียไป ก็จะใช้การไม่ได้ ดังนั้นจะไม่สปอยล์เพิ่ม ฝากไว้ให้คิด
เขียนยาวมากแต่ไม่รู้ว่าตอบคำถามหรือไม่ สรุปสั้นๆ คือการที่เราจะตกหลุมรักใครมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักและการเข้าถึงจิตเดิมแท้หรือการตื่นรู้หรอก สเตทต่างๆ เป็นสมบัติของโลกและไม่มีเจ้าของแต่เรานำไปใช้ได้และคนส่วนมากยึดติดและไปเกิดไปตายกับมัน และคนที่เห็นจิตเดิมแท้แล้วก็จะไม่มีความสัมพันธ์กับตัวเองอีกต่อไปแล้ว
โฆษณา