8 ธ.ค. 2022 เวลา 05:06 • ไลฟ์สไตล์
ปริเฉทที่ ๙ (ตอน ๒)
มารวิชัยปริวรรต
พระโพธิสัตว์ชนะหมู่มาร
**********
พระโพธิสัตว์ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
โดยให้ลำต้นโพธิ์อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง)
เป็นผู้มีพระมนัสมั่นคง
ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์
ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่แตกทำลาย
โดยทรงอธิษฐานว่า
"แม้ เนื้อ และเลือดในสรีระนี้แม้ทั้งสิ้น จงเหือดแห่งไป
จะเหลือแต่หนังเอ็น และกระดูก ก็ตามที่.
หากเราไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
บนบัลลังก์นี้... จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้"
(จะไม่ลุกขึ้น... ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ)
**********
สมัยนั้น
เทวปุตตมารคิดว่า
"สิทธัถกุมารประสงค์จะก้าวล่วงอำนาจของเรา
บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้นล่วงพ้นไปได้... "
จึงไปยังสำนักของพลมารบอกความนั้น
ให้โห่ร้องอย่างมาร แล้วพาพลมารออกไป
ก็เสนามารนั้น มีข้างหน้ามาร ๑๒ โยชน์
ข้างขวาและข้างซ้ายข้างละ ๑๒ โยชน์
ส่วนข้างหลังเสนามารตั้งจรดขอบจักรวาล
สูงขึ้นด้านบน ๙ โยชน์
ซึ่งเมื่อบันลือขึ้น เสียงบันลือจะได้ยินเหมือน
เสียงแผ่นดินทรุด ตั้งแต่ที่ประมาณพันโยชน์
**********
ลำดับนั้น
เทวปุตตมารขึ้นขี่ข้างชื่อคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์
นิรมิตแขนพันแขนถืออาวุธนานาชนิด
แม้ในบริษัทมารนอกนี้
มาร ๒ คนจะไม่ถืออาวุธเหมือนกัน
เป็นผู้มีหน้าต่างๆ คนละอย่างกันพากันมา
เหมือนดังจะท่วมทับพระมหาสัตว์
**********
ก็เทวดาในหมื่นจักรวาลได้ยืนกล่าวชมเชยพระมหาสัตว์
ส่วนท้าวสักกเทวราชได้ยืนเป่าสังข์วิชัยยุตร
ได้ยินว่า สังข์นั้นมีขนาด ๑๒๐ ศอก
เพื่อให้เก็บลมไว้คราวเดียว แล้วเป่า
จะมีเสียงอยู่ถึง ๔ เดือนจึงจะหมดเสียง
มหากาลนาคราชได้ยืนกล่าวสรรเสริญคุณเกินกว่าร้อยบท
ท้าวมหาพรหมได้ยืนกั้นเศวตฉัตร
แต่เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมัณฑ์
บรรดาเทวดาเป็นต้นเหล่านั้น
แม้คนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้
ต่างพากันหนีไปเฉพาะในที่ที่ตรงหน้า ๆ
กาลนาคราชดำดินลงไปยังนาคภพ
อันมีมณเฑียรประมาณ ๕๐๐ โยชน์
นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า
ท้าวสักกะเอาสังข์วิชัยยุตรไว้ข้างหลัง
ได้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล.
ท้าวมหาพรหมจับปลายเศวตฉัตรไปยังพรหมโลกทันที
แม้เทวดาคนหนึ่งซึ่งว่าผู้สามารถดำรงอยู่มิได้
มีพระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับนั่งอยู่.
**********
ฝ่ายมารก็กล่าวกะบริษัทของคนว่า
"พ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่น
เช่นกับสิทธัตถะโอรสของพระเจัาสุทโธทนะ ย่อมไม่มี
พวกเราจักไม่อาจทำการสู้รบซึ่งหน้า
พวกเราจักสู้รบทางด้านหลัง"
ฝ่ายพระมหาบุรุษก็เหลียวดูแม้ทั้ง ๓ ด้าน
ได้ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า...
เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด
ได้ทรงเห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านเหนืออีก
ทรงพระดำริว่า ชนนี้มีประมาณเท่านี้
มุ่งหมายเราผู้เดียวกระทำความพากเพียรพยายามอย่างใหญ่หลวง.
ในที่นี้ ไม่มีบิดามารดา บุตร ธิดา
พี่น้องชาย หรือญาติไร ๆ อื่น
มีแต่ "บารมี ๑๐" นี้เท่านั้น
จะเป็นเช่นกับบุตรแลบริวารชนของเราไปตลอดกาลนาน
เพราะฉะนั้น เราจะกระทำบารมีให้เป็นโล่
แล้วประหารด้วยศัสตราคือบารมีนั่นแหละ
กำจัดหมู่พลนี้เสียจึงจะควร
จึงทรงนั่งระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ อยู่
**********
ลำดับนั้นเทวปุตตมารได้
บันดาลมณฑลประเทศแห่ง "ลม" ให้ตั้งขึ้น
ด้วยคิดว่า
"เราจักให้สิทธัตถะ
หนีไปด้วย 'ลม' นี้ทีเดียว"
ขณะนั้นเองลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้นได้ตั้งขึ้น
แม้สามารถทำลายยอดเขาขนาด
กึ่งโยชน์ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ และ ๓ โยชน์
ถอนรากไม้ กอไม้ และต้นไม้เป็นต้น
กระทำตามและนิคมรอบด้าน
ให้เป็นจุรณวิจุรณ (แหลกสลาย) ไปได้
ด้วยเดช อานุภาพแห่งบุญ ของมหาบุรุษ
พอ "ลม" มาถึงพระโพธิสัตว์
ก็ไม่อาจทำแม้สักว่าชายจีวรให้ไหว
**********
ลำดับนั้นเทวปุตตมาร
ได้บันดาลให้ห่า "น้ำฝนใหญ่"
ตั้งขึ้นด้วยหวังว่าจักให้น้ำท่วมตาย
ด้วยอานุภาพของเทวปุตตมารนั้น
เมฆฝนอันมีหลืบ ได้ร้อยหลืบ พันหลืบ เป็นต้น
เป็นประเภทตั้งขึ้นในเบื้องบนแล้วตกลงมา
แผ่นดินได้เป็นช่องๆ ไปด้วยกำลังแห่งสายธารน้ำฝน
มหาเมฆลอยมาทางด้านบนป่าไม้ และต้นไม้เป็นต้น
ด้วยอานุภาพแห่งบุญ ของมหาบุรุษ
น้ำฝนทั้งหลาย แม้สักเท่าหยาดน้ำค้าง
ไม่อาจทำให้เปียก ที่จีวรของพระมหาสัตว์
**********
จากนั้น ได้บันดาลให้ห่า "ฝนหิน" ตั้งขึ้น
ยอดภูเขาใหญ่ ๆ คุกรุ่นเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ
ลอยมาทางอากาศ
พอถึงพระโพธิสัตว์
ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์
**********
จากนั้นได้บันดาลให้ห่า "ฝนเครื่องประหาร"
ศัสตราวุธ มีดาบ หอก และลูกศรเป็นต้น
มีคมข้างเดียวบ้าง มีคมสองข้างบ้าง
คุกรุ่นเป็นควัน ลุกเป็นเปลวไฟ
ลอยมาทางอากาศ
พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์
**********
จากนั้นได้บันดาลให้ห่า "ฝนถ่านเพลิง"
ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว
ลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นดอกไม้ทิพย์
โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
**********
จากนั้นได้บันดาลให้ห่า "ฝนเถ้าร้อน" ตั้งขึ้น
เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นฝุ่นไม้จันทน์
ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
**********
จากนั้น ได้บันดาลให้ห่า "ฝนทราย" ตั้งขึ้น
ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ
คุเป็นควันลุกเป็นไฟ
ลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นดอกไม้ทิพย์
ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
**********
จากนั้น จึงบันดาลห่า "ฝนเปือกตม" ให้ตั้งขึ้น
เปือกตมคุเป็นควันลุกเป็นไฟ
ลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นเครื่องลูบไล้ทิพย์
ตกลงที่บาทมูลของพระโพธิสัตว์
**********
จากนั้นได้ บันดาล "ความมืด" ให้ตั้งขึ้น
ด้วยคิดว่า เราจักทำให้ตกใจกลัวด้วยความมืดนี้
แล้วให้สิทธัตถะหนีไป
ความมืดนั้น เป็นความมืดตื้อ ประดุจประกอบด้วยองค์ ๔
[คือแรม ๑๔ ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบ และเที่ยงคืน]
พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป
เหมือนความมืด ที่ถูกขจัดด้วย แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์
**********
มารไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์หนีไป ด้วย
๑) ลม
๒) ฝน
๓) ห่าฝนหิน
๔) ห่าฝนเครื่องประหาร
๕) ห่าฝนถ่านเพลิง
๖) ห่าฝนเถ้ารึง
๗) ห่าฝนทราย
๘) ห่าฝนเปือกตม
๙) ห่าฝนคือความมืด
รวม ๙ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้
**********
จึงสั่งบริษัทนั้นว่า
"พวกท่านจะหยุดอยู่ทำไม
จงจับสิทธัตถกุมารนี้...
จงฆ่า... จงทำให้หนีไป..."
ส่วนตนเองนั่งบนคอช้างคีรีเมข
ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า
"สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้
บัลลังก์นี้ไม่ใช่ของท่าน... บัลลังก์นี้ของเรา"
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้น
จึงได้ตรัสว่า
"ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญ
บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐
และปรมัตถบารมี ๑๐
ทั้งไม่ได้บริจาคมหาบริจาค ๕
ไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา
โลกัตถจริยาและพุทธัตถจริยา
บัลลังก์นี้จึงไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ได้ถึงแก่เรา"
มารโกรธอดกลั้นกำลังความโกรธไว้ไม่ได้
จึงขว้างจักราวุธใส่พระมหาสัตว์
เมื่อพระมหาสัตว์นั้นทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่
จักราวุธนั้น ได้ตั้งเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในส่วนเบื้องบน
**********
ได้ยินว่าจักราวุธนั้นคมกล้านัก
มารนั้นโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น ๆ
จะตัดเสาหินแต่งทึบ เหมือนตัดหน่อไม้ไผ่
แต่บัดนี้ เมื่อจักราวุธนั้น
กลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่
บริษัทมารนอกนี้คิดว่า
สิทธัตถกุมารจักลุกจากบัลลังก์หนีไปในบัดนี้
จึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ๆ ลงมา
เมื่อพระมหาบุรุษทรงรำพึงถึง "บารมี ๑๐ ทัศ"
แม้ยอดเขาหินเหล่านั้น
ก็ถึงภาวะเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงยังภาคพื้น
เทวดาทั้งหลายผู้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล
ยืดคอชะเง้อศีรษะออกดูด้วยคิดกันว่า
"ท่านผู้เจริญ อัตภาพอันถึงความงาม
แห่งพระรูปโฉมของสิทธัตถกุมารฉิบหายเสียแล้วหนอ
สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำอย่างไรหนอ..."
**********
ลำดับนั้น
พระมหาบุรุษตรัสว่า
"บัลลังก์ได้ถึงแก่เรา ในวันที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
บำเพ็ญบารมีแล้วตรัสรู้ยิ่ง ดังนี้"
แล้วตรัสถึงมาร
"ดูก่อนมาร ใครเป็นสักขีพยานในความที่ท่านให้ทานแล้ว"
มารเหยียดมือไป ตรงหน้าหมู่มาร โดยพูดว่า
"มารเหล่านั้นมีประมาณเท่านี้ เป็นพยาน"
ขณะนั้นเสียงของบริษัทมารซึ่งเป็นไปว่า
เราเป็นพยาน เราเป็นพยาน ดังนี้
ได้เป็นเช่นกับเสียงแผ่นดินทรุด.
ลำดับนั้น มารจึงกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า
"ดูก่อนสิทธัตถะ.
ในภาวะที่ท่านให้ทาน... ใครเป็นสักขีพยาน?"
พระมหาบุรุษตรัสว่า
"ก่อนอื่น ในภาวะที่ มารท่านให้ทาน
พลมารทั้งหลาย ผู้มีจิตใจเป็นพยาน"
"แต่สำหรับเรา
ใคร ๆ ผู้มีจิตใจ... ชื่อว่าจะเป็นพยานให้ ย่อมไม่มีในที่นี้"
ทานที่เราให้แล้วในอัตภาพอื่น ๆ จงยกไว้
ก็ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้ว
ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ให้สิ่งของอย่างละ ๗๐๐
มหาปฐพีอันหนาทึบนี้
แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้ก่อน
จึงทรงนำออก เฉพาะพระหัตถ์ขวา
จากภายในกลีบจีวร
แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรงหน้ามหาปฐพี
พร้อมกับตรัสว่า
"ในคราวที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพ
เป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสตกมหาทาน
ท่านได้เป็นพยาน หรือไม่ได้เป็น..."
**********
ในขณะนั้น
นางพระธรณี ก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้
ด้วยอานุภาพแห่งบารมีอันยิ่งใหญ่ ของพระมหาสัตว์
อุบัติผุดขึ้นจากพื้นปฐพี ยืนประดิษฐานเฉพาะพระโพธิสัตว์ร้องกราบทูล ว่า
"ข้าแต่พระมหาบุรุษ ข้าพระบาททราบ
ซึ่ง 'บารมี' ที่พระองค์สั่งสม อบรมบำเพ็ญมา
แล้วหลั่ง น้ำทักษิโณทก... (กรวดน้ำ)
ตกลงชุ่มอยู่ในเกศา... ข้าพระพุทธเจ้านี้
ก็มากมายหาประมาณมิได้...
ข้าพระองค์ จะบิดน้ำทักษิโณทก
ให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้"
แล้วนางพระธรณี ก็บิดน้ำในโมลี (มวยผม) แห่งตน
กระแสน้ำก็หลั่งไหล
ออกจากเกศโมลี (มวยผม) แห่งนางพระธรณี
เป็นท่อธาร นองท่วมไปในที่ทั้งปวง
ประดุจดังมหาสมุทร...
**********
ขณะนั้นนั่นเอง
ลม และ น้ำที่รองแผ่นปฐพี
ซึ่งหนา หนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสี่พันโยชน์ ก็ไหว
ต่อจากนั้น มหาปฐพีนี้
ซึ่งหนา สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็ไหว ๖ ครั้ง.
สายฟ้าแลบ และอสนีบาตหลายพัน
เบื้องบนอากาศ ก็ผ่าลงมา.
**********
ครั้งนั้น
หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้
ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น
ส่วนช้างคีรีเมขของพระยาวัสวดี
ก็มิอาจ ตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธาร
ไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...
พระยาวัสวดีมารที่นั่งบนคอช้างคิรีเมขละ
ก็ถูกพัดให้ตกลงไป...
เหล่าเสนามารทั้งหลายถูกพัด ถูกทำลาย
ล้มลงเกลื่อนกลาด...
กระจัดกระจายไปในทิศน้อยใหญ่
เหมือนกำแกลบ ที่กระจายไปฉะนั้น.
**********
พระยามาราธิราชได้เห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น
ก็ยังจิตครั่นคร้าม...
ในเดช อานุภาพของพระโพธิสัตว์เป็นอันมาก
จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธ
ประนมหัตถ์ทั้ง 2,000
อัญชลีนอบน้อมต่อพระโพธิสัตว์
กล่าวคาถาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้บุรุษอาชาไนย
เป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้
ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายอัญชลี
พร้อมด้วย ทวารทั้ง 3
คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร
แนบต่อเบื้องพระบาท
บุคคลผู้ใด ในมนุษย์โลก กับทั้งเทวโลก
ที่จะประเสริฐเสมอพระองค์นั้นมิได้มี
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เห็นแจ้งในอริยสัจแล้ว
เป็นผู้มีชัยชนะ เหนือหมู่มาร
เป็นครูผู้สอนของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสาร
รื้อขนเวไนยสัตว์ ให้พ้นจากโอฆกันดาร
ให้บรรลุถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน
อันปราศจากทุกข์..."
เมื่อพระยาวัสวดีมาร กล่าวถึงคุณพระมหาบุรุษ
ด้วยจิตเลื่อมใส ผลกุศลนั้น
จึงส่งผลให้พระยาวัสวดีมารตรัสรู้ พระปัจเจกโพธิญาณ
ในอนาคตกาลภายหน้า
(หมายเหตุ: ในอนาคตวงศ์ ว่าไว้ว่า
จะได้ตรัสรู้ พระโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต)
**********
ลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลาย
เห็นพระยาวัสวดีมาร และพลมาร
พ่ายแพ้ หนีไปแล้ว... จึงกล่าวกันว่า
"มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว
สิทธัตถกุมารมีชัยชนะแล้ว
พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด"
ดังนี้ พวกนาคก็ประกาศแก่พวกนาค
พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ
พวกเทวดาก็ประกาศแก่พวกเทวดา
พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม
พวกวิชชาธร (ก็ประกาศแก่พวกวิชชาธร)
ต่างมีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์
สำนักของพระมหาบุรุษ.
ก็เมื่อมารและพลมารเหล่านั้น หนีไปอย่างนี้แล้ว
ในกาลนั้น หมู่นาค หมู่ครุฑ
หมู่เทพ หมู่พรหม... มีใจเบิกบาน
ประกาศความชนะของพระโพธิสัตว์ ณ โพธิมัณฑ์ว่า
"ก็พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชำนะ
ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว"
เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ
บูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้น
ได้ยืนกล่าวสดุดีมีประการต่าง ๆ
เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่อย่างนี้นั่นแล
**********
๏ พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคลานิฯ
พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระยามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน
ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างครีเมขละ
มาพร้อมกับเหล่าเสนามารซึ่งโห่ร้องกึกก้อง
ด้วยวิธีอธิษฐานถึงทานบารมี เป็นต้น,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา