10 ธ.ค. 2022 เวลา 05:00 • ไลฟ์สไตล์
¤ ปริจเฉทที่ 10 (ตอน ๒)
อภิสัมโพธิปริวรรต
บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
**********
~ อาสวักขยญาณ ~
ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้น
ถึงพร้อมด้วยวิชชาทั้งสอง คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
๒. จุตูปปาตญาณ
จึงน้อมมาเป็นที่ตั้งแห่งวิปัสสนา
เพื่อ... อาสวักขยญาณ
พระมหาบุรุษนั้น ได้กระทำความสังเวชสลดจิต
ปรารภถึง... ชรา พยาธิ มรณะ
อันเป็นปฐมเหตุ จึงได้เสด็จออกจากฆราวาสสุขสมบัติแล้ว
ทรงบรรพชาออกมหาภิเนษกรมณ์
แสวงหาสันติวรบท (พระนิพพาน)
ทางความระงับอันประเสริฐ
**********
เมื่อพระองค์ทรงถึงข้อสังเวชเดิมนั้น
ด้วยวิชชาทั้ง ๒ แล้วนั้นเป็นอารมณ์
ทรงพระดำริว่า
โลกคือหมู่สัตว์นี้หนอ มาถึงแล้วซึ่งความทุกข์ยาก
ย่อมเกิดด้วย แก่ด้วย มรณะทำลายขันธ์ด้วย
จุติเคลื่อนจากภพด้วย
อุปบัติเข้าไปถึงภพถือเอาความเกิดอีกด้วย
วนเวียนอยู่อย่างนี้
หารู้แจ้งประจักษ์ซึ่งความที่จะดับทุกข์
คือ ชรา มรณะ นี้ให้ออกไปเสียได้ไม่
เมื่อไรเล่าหนอ นิสสรณะความขับไล่ทุกข์
คือ ชรา มรณะ นี้ออกไปเสียได้
จักปรากฏ...
พระมหาบุรุษเจ้าทรงดำริ
แสวงหาปัจจัยแห่ง ชรา มรณะ
(ธรรมที่เป็นปัจจัย ฝ่ายเหตุ "สมุทยวาร")
(พิจารณา สาวหาเหตุ เบื้องหลังอย่างนี้ เรียก "ปฏิโลม")
ว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ...
ชรา มรณะ... จึงมี...
ชรา มรณะ... มีเพราะอะไรเป็นปัจจัย...
อาศัยพระมหาบุรุษ
ทรงทำในจิตโดยแยบคายอุบายที่ชอบ
ก็เกิดอภิสมัยความตรัสรู้พร้อม
เฉพาะด้วยปัญญาว่า
ชรา มรณะ... มีเพราะ... ชาติ เป็นปัจจัย.
ชาติ (ความเกิด) มีเพราะ... ภพ เป็นปัจจัย
(ภพ = กรรมเครื่องเกิด และอุบัติ)
ภพ มีเพราะ... อุปาทาน เป็นปัจจัย
(อุปาทาน = ความยึดมั่น)
อุปาทาน มีเพราะ... ตัณหา เป็นปัจจัย
(ตัณหา = ความทะยานอยาก)
ตัณหา เกิดเพราะ... เวทนา (รับรู้เสวยอารมณ์) เป็นปัจจัย
(เวทนา = ความรู้สึก เสวยอารมณ์)
เวทนา มีเพราะ... ผัสสะ เป็นปัจจัย
(ผัสสะ - ความที่ทวาร และวิญญาณ มากระทบกับอารมณ์)
ผัสสะ มีเพราะ... สฬายตนะ (อายตนะ ๖) เป็นปัจจัย
(อายตนะ ๖ - จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ)
อายตนะ ๖ มีเพราะ... นามรูป เป็นปัจจัย
นามรูป มีเพราะ... วิญญาณ เป็นปัจจัย
วิญญาณ มีเพราะ... สังขาร เป็นปัจจัย
สังขาร มีเพราะ... อวิชชา เป็นปัจจัย
(อวิชชา = ความไม่รู้ หรือ ธรรมชาติที่ยังไม่รู้)
**********
แล้วทรงพิจารณา "อนุโลม" ต่อไปว่า
(พิจารณา สาวออกไปหาผล เบื้องหน้า)
เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย มีสังขาร
เพราะ สังขาร เป็นปัจจัย มีวิญญาณ
...
เพราะ วิญญาณ... มีนามรูป...
มีสฬายตนะ... มีผัสสะ...
มีเวทนา... มีตัณหา...
มีอุปาทาน... มีภพ...
...
เพราะ... ชาติความเกิด เป็นปัจจัย
ชรา มรณะ อันเป็นนิยตทุกข์
ความโศก และร่ำไร
ทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลายเหล่านี้
ปกิรณกทุกข์ ก็ย่อมเกิดมี
...
กองทุกข์ทั้งสิ้น มีเพราะ... ชาติความเกิด เป็นปัจจัย
...
จักษุญาณปรีชารู้แจ้งชัดสว่างว่า
สมุทโย สมุทโย เกิดขึ้นพร้อม เกิดขึ้นพร้อม ดังนี้
(นี้เป็นภาคอันหนึ่ง เรียก "สมุทยวาร")
(ธรรมที่เป็นปัจจัย ฝ่ายเหตุ)
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระมหาบุรุษเจ้า
ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์
ไม่ได้ยินได้ฟังมา ณ กาลก่อนเลย.
**********
ครั้งนั้นพระมหาบุรุษทรงแสวงหา
ความดับสนิท แห่ง ชรา มรณะนั้นต่อไปว่า
(ธรรมที่เป็นปัจจัย ฝ่ายดับ "นิโรธวาร")
(พิจารณา "ปฏิโลม" ความดับแห่งผล)
เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ...?
ชรา มรณะ จึงไม่มี !
เพราะดับไม่เหลือแห่งอะไร...?
ชรา มรณะ จึงจะดับไป โดยไม่เหลือ !
ทรงทำในจิตโดยอุบายชอบ ก็เกิดความตรัสรู้
ด้วยปัญญาว่า
เมื่อ "ชาติความเกิด" ไม่มีแล้ว... "ชรา มรณะ" ก็ไม่มี
ทรงทำในจิตโดยอุบายชอบ ก็เกิดความตรัสรู้
ด้วยปัญญาว่า
ชรา มรณะ จึงจะดับสนิทได้ เพราะ... ชาติ ดับสนิท
ชาติ จึงจะดับสนิท เพราะ... ภพ ดับสนิท
...
ภพ ดับสนิท... อุปาทาน ดับสนิท...
ตัณหา ดับสนิท... เวทนา ดับสนิท...
ผัสสะ ดับสนิท... อายตนะ ๖ ดับสนิท...
นามรูป ดับสนิท... วิญญาณ ดับสนิท...
...
วิญญาณ จึงจะดับสนิท เพราะ... สังขาร ดับสนิท
สังขาร จึงจะดับสนิท เพราะ... อวิชชา ดับสนิท
ครั้นเกิดความตรัสรู้ฉะนี้แล้ว
ก็ทรงสันนิษฐาน ว่า
"มรรคา เพื่อจะตรัสรู้นี้ เราได้แล้ว
ข้อซึ่งธรรมที่เป็นปัจจัยดับสนิทลงแล้ว
ธรรมที่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยนั้น จึงดับสนิทไป
อันนี้เป็นหนทางเพื่อจะตรัสรู้"
**********
แล้วทรงพิจารณาไปตาม "อนุโลม" ความดับแห่งเหตุ
เพราะ อวิชชา ดับสนิท... สังขาร จึงจะดับสนิทโดยไม่เหลือ
เพราะ สังขาร ดับสนิท... วิญญาณ จึงจะดับสนิท
เพราะ วิญญาณ ดับสนิท... นามรูป จึงจะดับสนิท
เพราะ นามรูป ดังสนิท... อายตนะ ๖ จึงจะดับสนิท
เพราะ อายตนะ ๖ ดับสนิท... ผัสสะจึงจะดับสนิท
เพราะ ผัสสะ ดับสนิท... เวทนาจึงจะดับสนิท
เพราะ เวทนา ดับสนิท... ตัณหาจึงจะดับสนิท
เพราะ ตัณหา ดับสนิท... อุปาทานจึงจะดับสนิท
เพราะ อุปทาน ดับสนิท... ภพจึงจะดับสนิท
เพราะ ภพ ดับสนิท... ชาติ จึงจะดับสนิทโดยไม่เหลือ
เพราะ ชาติ ดับสนิท... ชรา มรณะ และความโศกและร่ำไร
และทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลายย่อมดับโดยไม่เหลือ
เพราะดับสนิทลงแห่ง "ชาติ"
ข้อซึ่ง "กองทุกข์" ทั้งสิ้นมา ดับสนิทไป
ย่อมมีย่อมเป็นด้วยประการฉะนี้.
จักษุญาณปรีชารู้แจ้งชัดสว่างว่า
นิโรโธ นิโรโธ ดับไม่เหลือ ดับไม่เหลือ ดังนี้
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระโพธิสัตว์ในธรรมทั้งหลาย
ที่พระองค์ไม่เคยได้ยินได้ฟังมา ณ กาลก่อน.
ทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒
(หรือ ปฏิจจสมุปบาท = สภาพอันอาศัยกันเกิดขึ้น)
โดยอนุโลมและปฏิโลม ด้วยอำนาจวัฏฏะ และวิวัฏฏะ
**********
ครั้นพระมหาบุรุษได้ตรัสรู้แจ้ง
ใน สมุทัย นิโรธ ได้มรรคา เพื่อจะตรัสรู้ฉะนี้แล้ว
จึงน้อมจิตเพื่ออาสวักขยญาณ
ทรงเจริญวิปัสสนา...
พิจารณาซึ่งความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมความดับ
ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อยู่ด้วยไม่ประมาท และความเพียรอันกล้าหาญ
ก็บังเกิดธรรมจักษุญาณปรีชาหยั่งทราบอริยสัจ ๔
แจ้งประจักษ์ตามจริง
**********
หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง
จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด
ก็พระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลก ที่ให้บันลือลั่นหวั่นไหวแล้ว
ได้ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ
ในเวลาอรุณขึ้น
เมื่อพระมหาบุรุษนั้น
ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว
**********
หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นได้มีการประดับตกแต่งแล้ว
รัศมีของธงชัย และธงปฏากที่ยกขึ้น
ณ ปากขอบจักรวาลทิศตะวันออก
กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก
ขอบปากจักรวาลทิศเหนือ
กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศใต้
ส่วนรัศมีของธงชัย และ ธงปฏากที่ยกขึ้น
ณ พื้นปฐพี ได้ตั้งอยู่จรดพรหมโลก.
ต้นไม้ดอกในหมื่นจักรวาลก็ผลิดอก
ต้นไม้ผลก็ได้เต็มไปด้วยพวงผล
ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น
ปทุมชนิดกิ่งก้านก็ออกดอกที่กิ่งก้าน
ปทุมชนิดเครือเถาก็ออกดอกที่เครือเถา
ปทุมชนิดห้อยก็ออกดอกในอากาศ
ปทุมชนิดเป็นช่อได้เจาะทำลายช่อหินตั้งขึ้นซ้อนๆ กันช่อละ ๗ ชั้น
หมื่นโลกธาตุได้หนุนไป
เหมือนกลุ่มด้ายที่คลายออก
และเหมือนเครื่องปูลาดที่จัดวางไว้ดีแล้วฉะนั้น.
โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์
ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย
ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ ๗ ดวง
ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน
มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน
แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล
คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป
คนหนวกแต่กำเนิดได้ยินเสียง
คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดเดินได้
กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น
แห่งบรรดาเครื่องจองจำคือขื่อเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป.
**********
พระมหาบุรุษอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาด้วยสมบัติอัน
ประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ด้วยประการอย่างนี้
เมื่ออัจฉริยธรรมอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายมีประการต่าง ๆ
ปรากฏแล้ว ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ
จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงว่า
"เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำเรือน
เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย
ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์..."
"ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว
ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป
ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว
ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน) แล้ว
เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว"
**********
พึงทราบว่า ชื่อ อวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.
ที่มาจาก :
- พุทธประวัติ - นักธรรมตรี - ปฐมสมโพธ
- พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑
- พระสุตตันตปิฎก อรรถกถาพุทธวงศ์
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา