Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
23 ธ.ค. 2022 เวลา 05:18 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๗
กปิลวัตถุคมณปริวรรต
เสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์
**********
ครั้งเมื่อ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันอุทยาน นั้นแล...
พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงสดับว่า
"ข่าวว่า... บุตรของเราประพฤติทุกรกิริยา ๖ ปี
บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว
ประกาศธรรมจักรอันบวร
อาศัยเมืองราชคฤห์อยู่ในเวฬุวัน..."
จึงตรัสเรียกอำมาตย์ผู้หนึ่งมาตรัสว่า
"ท่านจงมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร เดินทางไปกรุงราชคฤห์"
กล่าวตามคำของเราว่า
"พระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระบิดา ของพระองค์มีพระประสงค์จะพบ"
แล้วจงพาบุตรของเรามา
อำมาตย์ผู้นั้นรับพระดำรัสของพระราชาด้วยเศียรเกล้าว่า
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า เเล้วมีบุรุษหนึ่งพันเป็นบริวาร
รีบเดินทางไปประมาณ ๖๐ โยชน์
นั่งอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔ ของพระทศพล
แล้วเข้าไปยังวิหารในเวลาแสดงธรรม
อำมาตย์นั้นคิดว่า "พระราชสาสน์ของพระราชาที่ส่งมาจงงดไว้ก่อน"
แล้วยืนอยู่ท้ายสุดบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา
ตามที่ยืนอยู่นั่นแล
ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบุรุษบริวารหนึ่งพัน
จึงทูลขอบรรพชา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า
"ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด"
ในขณะนั้นเอง
คนทั้งหมดทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์
ได้เป็นประหนึ่งพระเถระมีพรรษา ๖๐ ฉะนั้น.
ก็ธรรมดาพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมมีตนเป็นกลาง
จำเดิมแต่เวลาที่ได้บรรลุพระอรหัต
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้กราบทูลสาสน์ที่พระราชาทรงส่งมา
พระราชาตรัสว่า
"อำมาตย์ผู้ไปแล้วก็ยังไม่มา ข่าวสาสน์ก็ไม่ได้ฟัง"
จึงรับสั่งให้อำมาตย์อีกคน เข้าเฝ้า สั่งว่า
"ท่านจงไป"
แล้วส่งอำมาตย์อีกคนไป
แม้อำมาตย์นั้น ไปแล้ว ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งบริษัท โดยนัยก่อนนั่นแหละ
พระราชาทรงส่งอำมาตย์ ๙ คน
ซึ่งมีบริวารคนละหนึ่งพันไป
(รวม ๙,๐๐๐ คน)
โดยทำนองนี้นั่นแล.
อำมาตย์ทุกคนยังกิจของตนให้สำเร็จแล้ว
(บรรลุอรหัตผลแล้ว)
ก็เป็นผู้นิ่งอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั้นนั่นเอง.
**********
~ กาฬุทายีอำมาตย์ ~
พระราชาไม่ได้อำมาตย์ผู้นำแม้มาตรว่า
ข่าวสาสน์มาบอก จึงทรงพระดำริว่า
"ก็ชนมีประมาณเท่านี้ ไม่นำกลับมาแม้มาตรว่าข่าวสาสน์
เพราะไม่มีความรักในเรา... "
"ใครหนอ จักกระทำตามคำของเรา..."
เมื่อทรงตรวจพลของหลวงทั้งหมด
ก็ได้เห็นกาฬุทายีอำมาตย์.
ได้ยินว่า กาฬุทายีนั้นเป็น
อำมาตย์ผู้จัดราชกิจทั้งปวงให้สำเร็จ เป็นคนวงใน
มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
เกิดวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ (สหชาติ)
เป็นสหายเล่นฝุ่นมาด้วยกัน.
ลำดับนั้น
พระราชาตรัสเรียกกาฬุทายีอำมาตย์นั้นมาว่า
"พ่ออุทายี เราปรารถนาจะเห็นบุตรของเรา
จึงส่งบุรุษไป ๙ พัน แม้บุรุษสักคนหนึ่ง
จะมาบอกข่าวสาสน์ก็ไม่มี"
"ก็อันตรายแห่งชีวิตของเรารู้ได้ยากนัก
เรามีชีวิตอยู่ปรารถนาจะเห็นบุตร"
"ท่านจักอาจ หรือไม่หนอ... พาบุตรมาให้แก่เรา"
กาฬุทายีอำมาตย์
กราบทูลว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าจักอาจ
ถ้าจักได้บรรพชา"
พระราชาตรัสว่า
"ดูก่อนพ่อ... ท่านจะได้บวชหรือไม่ได้บวชก็ตาม
จงแสดงบุตรแก่เรา"
กาฬุทายีอำมาตย์นั้นรับพระดำรัสแล้ว
ถือพระราชสาสน์ไปยังกรุงราชคฤห์
ยืนอยู่ท้ายบริษัทในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา
ได้สดับธรรมแล้ว พร้อมทั้งบริวารก็บรรลุพระอรหัตผล
ดำรงอยู่ในความ เป็นเอหิภิกขุ.
**********
ฝ่ายพระศาสดาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ประทับอยู่ ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตลอดภายในพรรษาแรก
ออกพรรษาปวารณาแล้วเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา
ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลานั้น ตลอด ๓ เดือน
ทรงแนะนำชฏิล ๓ พี่น้อง มีภิกษุพันหนึ่งเป็นบริวาร
ในวันเพ็ญเดือนยี่ เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ ๒ เดือน.
โดยลำดับกาลมีประมาณเท่านี้
เป็นเวลา ๕ เดือน
สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จออกจากกรุงพาราณสี
ฤดูเหมันต์ทั้งสิ้นล่วงไปแล้ว
จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว
เวลาได้ล่วงไป ๗๐๘ วัน
...
ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า
"ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา
พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้า ๆ ชุ่ม
แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสะพรั่ง
หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน"
"กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ"
**********
ลำดับนั้น
พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พรรณนาหนทางเสด็จเพื่อต้องการให้พระทศพล
เสด็จไปยังพระนครของราชสกุล
ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บัดนี้ ต้นไม้ทั้งหลายมีดอกแดงสะพรั่ง
มีผลเต็มต้นสลัดใบแล้ว
ต้นไม้เหล่านั้นสว่างไสวดุจมีเปลวไฟโชติช่วงอยู่"
"ข้าแต่พระมหาวีระ
ถึงสมัยที่เหมาะสมแก่การที่พระองค์จะรื่นรมย์
สถานที่ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด ไม่อัตคัดและอดอยากนัก
พื้นภูมิภาคก็มีห้าแพรกอันเขียวสด"
"ข้าแต่พระมหามุนี
กาลนี้เป็นกาลสมควรแล้วที่จะเสด็จไป"
ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะอุทายีเถระว่า
"อุทายีเพราะเหตุไรหนอ
เธอจึงพรรณนาการไปด้วยเสียงอันไพเราะ"
พระอุทายีเถระกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์
มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์
ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์แก่พระญาติทั้งหลายเถิด"
พระศาสดาตรัสว่า
"ดีละ อุทายี"
"เราจักกระทำการสงเคราะห์พระญาติ
เธอจงบอกแก่ภิกษุสงฆ์
ภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้จะไป"
พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์.
**********
~ ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส ~
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วย
ภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์
คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังกะและมคธะหมื่นองค์
ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์
เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์
เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า
จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ทาง ๖๐ โยชน์
โดยเวลา ๒ เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน
ฝ่ายพระเถระคิดว่า
จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้ว
จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระราชา.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้วทรงมีพระทัย
นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันควรค่ามาก
ได้ทรงนำบาตรให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้
เพื่อพระองค์แล้วถวายไป พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป
พระราชาตรัสว่า "จงนั่งฉันเถิดพ่อ"
พระเถระทูลว่า "มหาบพิตร
อาตมภาพจักไปยังสำนักของพระศาสดาแล้วจักฉัน"
พระราชาตรัสว่า "พระศาสดาอยู่ที่ไหนละพ่อ"
พระอุทายีเถระ "ทูลว่า มหาบพิตร
พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร
เสด็จออกจาริกเพื่อจะเห็นพระองค์"
พระราชาทรงดีพระทัยตรัสว่า "ท่านฉันภัตตาหารนี้แล้วจงนำ
บิณฑบาตจากพระราชนิเวศนั้นไปถวายพระโอรสนั้น
จนกว่าพระโอรสของเรา จนถึงพระนครนี้"
พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระแล้ว
อบบาตรด้วยจุรณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม
แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ
โดยตรัสว่า "ท่านจงถวายพระตถาคต"
พระเถระเมื่อชนชาววังทั้งปวงเห็นอยู่นั่นแล
ได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ
ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำบิณฑบาตไปวาง
เฉพาะที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดยตรง
พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น
พระเถระได้นำบิณฑบาตมาทุกวัน ๆ โดยอุบายนี้.
แม้พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตเฉพาะของพระราชาเท่านั้น
ในระหว่างเดินทาง ในเวลาเสด็จภัตกิจทุก ๆ วัน
แม้พระเถระก็กล่าวว่า
"วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา
สิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้
วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้"
ได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้น
ให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา
โดยเว้นการได้เห็นพระศาสดา
ด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ.
ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดา
จึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศ กว่าพระสาวกทั้งหลายของเรา"
"ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส"
**********
~ นิโครธาราม ~
ฝ่ายเจ้าศากยะทั้งหลาย
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงโดยลำดับแล้ว
ได้ปรึกษากันว่า
พวกเราจักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา
จึงประชุมกันพิจารณาสถานที่เป็นที่ประทับ
อยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
กำหนดกันว่าอารามของเจ้านิโครธศากยะน่ารื่นรมย์
จึงให้กระทำวิธีการซ่อมแซมทุกอย่าง
ในอารามนั้น ถือของหอมและดอกไม้
เมื่อจะกระทำการต้อนรับ
จึงส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาวบ้านหนุ่มสาว
ซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่างไปก่อน
จากนั้นจึงส่งราชกุมารและราชกุมารีไป
ตนเองบูชาด้วยของหอม ดอกไม้และจุรณเป็นต้น
อยู่ในระหว่างราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น
ได้พาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังนิโครธารามนั้นเอง
**********
~ ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ~
ในนิโครธารามนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
แวดล้อมด้วยพระขีณาสพ ๒ หมื่น
ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้แล้ว.
ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายผู้มีพระชาติมานะถือตัวจัด
เจ้าศากยะเหล่านั้นทรงพระดำริว่า
สิทธัตถกุมารเป็นเด็กกว่าเราทั้งหลาย
เป็นพระกนิษฐา เป็นพระภาคิไนย
เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดา ของเราทั้งหลาย
จึงตรัสกะราชะกุมารทั้งหลายที่หนุ่ม ๆ ว่า
"ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกเราจักนั่งข้างหลังท่านทั้งหลาย"
เมื่อศากยะเหล่านั้นไม่ถวายบังคมประทับนั่งแล้วอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น
แล้วทรงพระดำริว่า พระญาติทั้งหลายไม่ไหว้เรา
เอาเถอะ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้
จึงทรงเข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท
ออกจากฌานแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส
ปานประหนึ่งโปรยธุลีพระบาทลงบนพระเศียร
ของเจ้าศากยะเหล่านั้น
ได้ทรงกระทำ
ปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับยมกปาฏิหาริย์ที่ควงต้นฑามพพฤกษ์
พระราชาทรงเห็น
ความอัศจรรย์นั้นจึงตรัสว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันที่พระองค์ประสูติ
หม่อมฉันแม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์
ซึ่งหม่อมฉันนำเข้าไปให้ไหว้กาลเทวลดาบส
กลับปาฏิหาริย์ ไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์
ก็ได้ไหว้พระองค์... เป็นครั้งแรก...
ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ.
ปาฏิหาริย์ ที่พระองค์ประทับนั่งสมาธิ ณ ภายใต้ร่มไม้หว้า
ได้ไหว้พระบาท
เป็นการไหว้ครั้งที่สอง... ของหม่อมฉัน...
บัดนี้ แม้ได้เห็นปาฏิหาริย์นี้ ซึ่งไม่เคยเห็น
จึงไหว้พระบาทของพระองค์
นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สาม... ของหม่อมฉัน...
**********
~ ฝนโบกขรพรรษ ~
ก็เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว
แม้เจ้าศากยะพระองค์หนึ่งชื่อว่าผู้สามารถ
เพื่อจะไม่ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วดำรงอยู่...
ไม่ได้มี !
เจ้าศากยะทั้งปวงพากันถวายบังคมทั้งหมด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระญาติทั้งหลาย
ถวายบังคมด้วยประการดังนี้แล้ว
จึงเสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพระอาสน์ที่ลาดไว้
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว
สมาคมพระญาติอันถึงสุดยอดจึงได้มีขึ้น.
เจ้าศากยะทั้งปวงเป็นผู้มีพระทัยแน่วแน่ประทับนั่งแล้ว.
ลำดับนั้น มหาเมฆได้ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมา
น้ำสีแดงมีเสียงไหลไปข้างล่าง
และผู้ประสงค์จะให้เปียกจึงจะเปียก
ฝนโบกขรพรรษ
แม้มาตรว่าหยาดเดียว
ก็ไม่ตกลงบนร่างกายของผู้ที่ไม่ประสงค์จะให้เบียก.
เจ้าศากยะทั้งปวงเห็นดังนั้น เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น
จึงส่งสนทนากันว่า
"โอ ! น่าอัศจรรย์ โอ ! ไม่เคยมี"
พระศาสดาตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกลงในสมาคมแห่งพระญาติของเรา
ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในอดีตก็ได้ตกแล้ว
จึงตรัสเวสสันดรชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้.
**********
เจ้าศากยะทั้งปวงสดับ
พระธรรมเทศนาแล้ว
เสด็จลุกขึ้นถวายบังคมแล้วหลีกไป.
โดยที่ พระราชา หรือ
มหาอำมาตย์ของพระราชาแม้พระองค์เดียว
ไม่ได้มีใคร... กราบทูลอาราธนา
พระพุทธเจ้ารับภัตตาหาร ในวันรุ่งขึ้น...
**********
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย