6 ม.ค. 2023 เวลา 04:32 • นิยาย เรื่องสั้น

ตอน จิตรกรผู้โอบอ้อมอารี

เรื่องเล่าไขคดีปริศนาในเมืองเดลฟท์
ตอนที่ 34 จิตรกรผู้โอบอ้อมอารี
ผู้แต่ง:เกรแฮม แบรค
เมอร์คิวเรียสมาถึงบ้านเฟอร์เมร์ซึ่งอยู่บนถนนอูเดอแลงเกนดิคก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าจะเคาะประตูตอนที่ระฆังดังห้าโมงตรง พอดีคนรับใช้ที่ชื่อแทนเน็คเห็นเมอร์คิวเรียสยืนอยู่หน้าบ้านจึงร้องทักเมอร์คิวเรียส
"ขอโทษครับท่านที่ผมไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู สงสัยเป็นเพราะเด็กในบ้านเล่นกันเสียงดัง"
เมอร์คิวเรียสไม่รู้สึกแปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าเฟอร์เมร์มีลูกถึงเก้าคน ตอนเช้าที่เขาแวะมาก็ยังไม่มีโอกาสเห็นเด็กๆอยู่พร้อมหน้ากันทั้งเก้าคนเลย
เฟอร์เมร์ออกมาต้อนรับและพาเมอร์คิวเรียสไปที่ห้องรับแขก
"อาจารย์คงไม่ว่านะครับที่ต้องทานมื้อเย็นร่วมกับครอบครัวผม ผมต้องขอโทษอาจารย์หากลูกๆผมส่งเสียงดังรบกวน"
"อย่ากังวลไปเลย ผมถือเป็นเกียรติที่ได้ร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวโยฮันเนส"
เฟอร์เมร์เรียกลูกทั้งหมดมายืนเรียงกันและบอกให้แต่ละคนแนะนำตัวเอง เริ่มตั้งแต่มาเรีย อลิซาเบธ คอร์เนเรีย อเลดิส เบียทริกซ์ โยฮันเนสจูเนียร์ เกอร์ทรู์ด ฟรานซีสดัส แคธรีน
เมอร์คิวเรียสเห็นว่าฟรานซีสดัสซึ่งมีอายุหกขวบเป็นเด็กที่ซุกซนที่สุด เดี๋ยวโผล่ตรงโน้นทีตรงนี้ที
เฟอร์เมร์แนะนำให้เมอร์คิวเรียสรู้จักภรรยาของเขา เธอชื่อแคธรีน เธอมีใบหน้าที่สวยงามสมวัย ดั้งจมูกยาวกว่าหญิงทั่วไปเล็กน้อย แม้จะมีลูกถึงเก้าคนสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ยังดูกระหนุงกระหนิง
"ท่านคะ แม้ว่าสามีดิฉันจะเก่งเรื่องการวาดภาพแต่เขากลับไม่สามารถทาสีผนังบ้านที่ดูเก่าให้กลับมาใหม่ได้"
ทั้งสามยืนคุยกันได้สักพักหนึ่งประตูห้องก็เปิดออก หญิงสูงวัยถือไม้เท้าเดินเข้ามาในห้อง เธอเป็นคนเดียวกับที่เมอร์คิวเรียสเห็นเมื่อตอนเช้านี้ เฟอร์เมร์รีบจัดที่นั่งให้เธอ
"แม่ครับผมขอแนะนำให้รู้จักอาจารย์เมอร์คิวเรียสจากมหาวิทยาลัยไลเดน ท่านเป็นทั้งอาจารย์และนักบวช อาจารย์ได้รับมอบหมายให้เข้ามาช่วยสืบหาเด็กสาวที่สูญหายครับ"
"อาจารย์ครับผมขอแนะนำให้รู้จักแม่ยายผมครับ ท่านชื่อมาเรีย ทินส์"
คุณนายทินส์ยื่นมือให้เมอร์คิวเรียสจับแต่พอนึกได้ว่าเขาเป็นนักบวช เธอจึงชักมือกลับ
เมอร์คิวเรียสสังเกตได้ว่าแม่ยายเฟอร์เมร์ดูไม่ค่อยต้อนรับเขาเท่าใด แต่พอเฟอร์เมร์เข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างท่าทีของเธอก็ดูเปลี่ยนไป เธอยิ้มให้เมอร์คิวเรียสและเริ่มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
คุณนายทินส์เป็นคนพูดจาเสียงดัง เธออ้างว่าเธอหูตึง แต่เมอร์คิวเรียสไม่ค่อยเชื่อ สังเกตจากตอนที่อลิซาเบธกระซิบมาเรีย ทั้งสองนั่งห่างจากเธอ แต่เธอก็สามารถพูดกับทั้งสองรู้เรื่อง
เมอร์คิวเรียสพอจะรู้มาบ้างว่าคุณนายทินส์เป็นหญิงที่ฉลาด เธอเป็นลูกสาวเศรษฐีจากเมืองกัวดาซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเดลฟท์ เธอเล่าว่าใครๆหาว่าเธอเป็นหญิงหม้าย แต่เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้เป็นหญิงหม้ายเพราะเธอยังไม่ได้หย่า เธอเพียงแต่แยกกันอยู่กับสามี
เมื่อแทนเนคเตรียมอาหารเสร็จ แคธรีนจึงเชิญทุกคนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เฟอร์เมร์เลือกนั่งคั่นระหว่างแม่ยายกับเมอร์คิวเรียสเพื่อป้องกันการโต้เถียงกัน
คุณนายทินส์ขอร้องให้เมอร์คิวเรียสนำสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร ซึ่งเมอร์คิวเรียสไม่ขัดข้อง
เมอร์คิวเรียสไม่เคยรู้สึกประทับใจกับการมีครอบครัว แต่ครั้งนี้เขารับรู้ถึงความอบอุ่นที่ครอบครัวนี้มอบให้แก่กันและกัน ลูกสาวคนโตสองคนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย สามารถช่วยแม่ดูแลน้องๆยกเว้นแคธรีนน้อยคนเล็กสุดปล่อยให้ผู้เป็นแม่ดูแลเอง
คุณนายทินส์คุยอวดความสามารถการวาดรูปของลูกเขยให้เมอร์คิวเรียสฟัง นอกจากนี้เธอบอกอีกว่าเธอชอบมีหลานเยอะๆ การเฝ้าดูหลานๆค่อยๆเติบโตทำให้เธอมีความสุข
ในการพูดคุยกับแม่ยายเฟอร์เมร์นั้น เมอร์คิวเรียสต้องเตือนตัวเองไม่ให้พูดจาแบบนักบวช อีกทั้งต้องไม่ออกความเห็นในแนวทางโปรเตสแตนต์เป็นอันขาดเพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว แทนเนคได้นำแพนเค้กออกมาเสิร์ฟตบท้าย เด็กๆดีใจมากรีบลุกมายืนห้อมล้อมแทนเนค เฟอร์เมร์รีบบอกให้ลูกๆหยุดแย่งกันโดยให้รอแทนเนคตักแพนเค้กให้เมอร์คิวเรียสก่อน เมื่อเมอร์คิวเรียสรับแพนเค้กมาเขาตั้งใจจะส่งต่อให้คุณนายทินส์ แต่เฟอร์เมร์ได้ส่งแพนเค้กให้แม่ยายเขาเรียบร้อยแล้ว เธอรับแพนเค้กพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีความสุข
แพนเค้กอร่อยมากจนทุกคนกินหมดเกลี้ยง จากนั้นเฟอร์เมร์ได้บอกให้ลูกๆออกไปเล่นกันที่อื่น ส่วนคุณนายทินส์เรียกแทนเนคให้ชงชาร้อนมาให้ดื่ม
"อาจารย์คะ ชาที่ฉันดื่มจะมีส่วนผสมของสมุนไพรชื่อวาเลอเรียนมันช่วยให้หลับสบายค่ะ"
เมอร์คิวเรียสเคยชิมชาที่ผสมสมุนไพรแล้ว เขาไม่ชอบสีและกลิ่นของมัน ถ้าชานี้ไปวางอยู่ในห้องนอนเขา แน่นอนว่าเขาคงนอนไม่หลับทั้งคืน
ช่วงหนึ่งของการสนทนามีการพูดถึงความนิยมแต่งตัวของผู้หญิงเมืองไลเดน ซึ่งเป็นเรื่องที่นักบวชอย่างเมอร์คิวเรียสจนปัญญาที่จะพูดด้วย
คุณนายทินส์ถามเมอร์คิวเรียสว่ามีความสนใจด้านดนตรีหรือเปล่า เมอร์คิวเรียสตอบไปว่าเขาสนใจที่จะเป็นคนฟังดนตรีมากกว่าที่จะเป็นคนเล่นหรือเป็นคนร้อง ความจริงแล้วคุณนายทินส์ถามนำเพื่อต้องการอวดว่าลูกเขยตัวเองนอกจากจะเป็นนักวาดภาพที่มีฝีมือแล้วยังเก่งเรื่องการร้องเพลงอีกด้วย เพียงแต่ยังไม่มีใครเปิดโอกาสให้เขาแสดงฝีมือ คำพูดนี้ทำเอาเฟอร์เมร์รู้สึกอึดอัดใจกลัวถูกแม่ยายขอให้ร้องเพลงคู่กับแคธรีน เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
"อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยากสูบไปป์เชิญได้เลยนะคะแม้ว่าสามีดิฉันไม่ได้สูบก็ตาม" แคธรีนพูด
"ขอบคุณครับ พอดีผมก็ไม่ได้สูบเหมือนกัน"
"สามีเคยบอกดิฉันว่าควันจากไปป์ทำลายแสงสว่างขณะวาดรูปค่ะ"
"ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ แสงสว่างสำคัญสำหรับนักวาดภาพพอๆกับการที่หุ่นต้องนั่งนิ่งๆให้วาด ซึ่งผมก็เห็นว่าวันนี้หนูเบียทริกซ์ทำได้ดีทีเดียว"
"อาจารย์หมายถึงลูกสาวดิฉันหรือคะ?"
"ก็ไม่นิ่งเสียทีเดียว" เฟอร์เมร์พูดเสริม
"ทำไมต้องให้เบียทริกซ์เป็นหุ่นด้วย?"
"แล้วทำไมจะเป็นไม่ได้ล่ะ ผมก็ให้ลูกๆเป็นหุ่นอยู่บ่อยๆ"
"สามีคุณแคธรีนได้มีส่วนช่วยเหลือผมอย่างมากในการวาดรูปเหยื่อที่หายตัวไป นับได้ว่าเขาเป็นผู้มีจิตสาธารณะโดยแท้"
"ดิฉันเองเชื่อโดยสนิทใจว่าสามีดิฉันเป็นคนเช่นนั้น แต่ฉันก็อยากให้ชาวเมืองเดลฟท์รับรู้ด้วยว่าในปีนี้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมช่างจิตรกรนักบุญลูกา (Guild of Saint Luke)"
"ที่รัก นี่มันเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆไม่ได้สลักสำคัญถึงขนาดที่ต้องไปบอกใครๆให้รู้นะ"
แคธรีนไม่ยอมหยุดพูด
"คิดๆแล้วมันน่าเจ็บใจ คนอย่างพวกเรายังรู้จักเสียสละเวลาทำเพื่อส่วนรวม แต่พวกเศรษฐีอย่างคุณแวนเสตเตนกลับไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมเลย"
"อันที่จริงพวกเราที่อาศัยอยู่ในเดลฟท์สมควรเสียสละตัวเองในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังของแต่ละคน ยิ่งได้รับประโยชน์จากเดลฟท์มากเท่าใดยิ่งต้องตอบแทนคืนเดลฟท์ให้มากเท่านั้น" คุณนายทินส์ออกความเห็น
"ครอบครัวแวนเสตเตนชอบทำตัวแยกจากชาวบ้าน ขนาดเวลาที่อยู่ในโบสถ์ก็ยังจับกลุ่มเฉพาะพวกตัวเอง คุณนายแวนเสตเตนมีอายุมากกว่าดิฉันไม่กี่เดือน เราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่เธอกลับสร้างกำแพงกั้นจนดิฉันไม่มีโอกาสเข้าหาเธอ ดิฉันคิดว่าการที่เธอมีลูกก็เป็นเพราะเธอต้องทำหน้าที่ให้กำเนิดทายาทสืบสกุลแค่นั้น พอลูกคลอดออกมาเธอก็หมดหน้าที่"
"แต่ผมได้ยินมาว่าครอบครัวแวนเสตเตนเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉานะครับ"
คุณนายทินส์พอได้ยินประโยคนี้เธอถึงกับหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะเชิงดูถูกครอบครัวแสตเตน
"มันก็ใช่อยู่หรอก ตระกูลแสตเตนร่ำรวยจนน่าอิจฉา คุณนายเสตเตนแต่งเข้ามาในตระกูลนี้เธอไม่ได้มาแต่ตัว เธอยังมีมรดกจากครอบครัวของเธอที่ไม่ถือเป็นสินสมรสอีกด้วย ดูเหมือนว่าแวนเสตเตนผู้สามีจะเอาแต่ทำงาน เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่กรุงเฮก คุณนายเสตเตนเคยไปอยู่กับสามีที่กรุงเฮกชั่วเวลาหนึ่ง และเธอก็ให้กำเนิดแอนนาที่นั่น"
"ทั้งสองแต่งงานกันมานานหลายปีก็ยังไม่มีลูกสักที อาจเป็นเพราะเวลาส่วนใหญ่ทั้งสองต้องอยู่ห่างกัน แต่ในที่สุดทั้งสองก็หาเวลาอยู่ร่วมกันและทำสำเร็จจนสามารถมีแอนนาได้" แคธรีนพูดเสริม
เมอร์คิวเรียสไม่อยากให้การพูดคุยอยู่แต่เรื่องตระกูลเสตเตนจึงได้พูดเรื่องอื่นแทน
"ผมเห็นว่าลูกสาวคนโตกับคนที่สองดูสวยเหมือนแม่เลยนะครับ"
"บางครั้งมุมมองของนักวิชาการหรือนักบวชเกี่ยวกับสตรีอาจไม่ถูกต้องตามจริงเท่าใดนะคะ " คุณนายทินส์พูดสวนขึ้นมา
เมอร์คิวเรียสถึงกับอึ้งกับคำพูดที่เหมือนอาวุธพุ่งมาที่เขา ในใจเขาไม่คิดว่ามันถูกต้องเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งกลับ
"อาจารย์คะ ลูกสาวดิฉันคนที่ชื่ออเลดิสเธอบอกดิฉันว่าเธออยากเป็นแม่ชีใช้ชีวิตอยู่ในคอนแวนต์ค่ะ ดิฉันจึงอยากขอร้องอาจารย์พูดคุยกับเธอเพื่อให้แน่ใจว่าเธออยากเป็นแม่ชีจริงๆไม่ใช่แค่ความฝันแบบเด็กๆ"
จริงๆแล้วเมอร์คิวเรียสไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสังคมของแม่ชี โชคดีที่ท่านนายกเทศมนตรีเคยแนะนำเขาให้ไปทำความรู้จักกับแม่ชีที่คอนแวนต์ในวันที่มีการซ้อมผจญเพลิงซึ่งเป็นวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เขาจึงบอกแคธรีนว่าจะพาอเลดีสไปให้รู้จักความเป็นอยู่ของแม่ชีที่คอนแวนต์ และจะอธิบายให้เธอเข้าใจมากขึ้น
"ดิฉันต้องขอขอบคุณในน้ำใจที่อาจารย์ให้กับพวกเราค่ะ"
คุณนายทินส์ชิงพูดขอบคุณขึ้นก่อนที่แคธรีนจะพูด ซึ่งเมอคิวเรียสสังเกตเห็นแคธรีนบ่นพึมพำเบาๆเดาเอาว่าคงไม่พอใจแม่ตัวเอง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเคร่งเครียดเขาจึงหันไปมองดูภาพวาดที่แขวนบนฝาผนังแทน มีอยู่ภาพหนึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นรูปผู้หญิงสาวสวยกำลังยืนอ่านจดหมาย ใบหน้าเธอดูคุ้นหน้าคุ้นตา เหนือศีรษะเธอยังมีรูปวาดกามเทพถือคันธนูดูเหมือนว่าภาพนี้จะซ่อนปริศนาอะไรบางอย่าง
ภาพชื่อ"Girl Reading a Letter at an Open Window" ผลงาน Vermeer ภาพจาก wikipedia
"นั่นเป็นหนึ่งในภาพวาดที่ดีที่สุดของเขาเลยค่ะ แต่จะดีกว่านี้ถ้าได้นางแบบที่เป็นมืออาชีพ" แคธรีนออกความเห็น
'ใข่แล้วหญิงสาวในรูปก็คือแคธรีนนี่เอง ต่างกันก็เพียงทรงผมแค่นั้น ส่วนภาพกามเทพก็น่าจะเป็นการบอกให้รู้ถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงในภาพ' เมอร์คิวเรียสคิดในใจ
"อาจารย์คะ ในเวลานี้ดิฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกๆมากค่ะ คิดว่าลูกๆจะปลอดภัยกว่าถ้าไปอยู่กับญาติดิฉันที่กัวด้า แต่ปัญหาก็คือพวกกเขาสามารถดูแลลูกๆดิฉันได้แค่สี่หรือห้าคนเท่านั้น"
"ตอนนี้เรายังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของคนร้าย เด็กหญิงทั้งสามล้วนมีอายุประมาณแปดขวบ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมคนร้ายถึงเลือกแต่เด็กสาวที่มีอายุประมาณแปดขวบ คนร้ายลักพาตัวเด็กสาวทั้งสามตอนที่พวกเธออยู่คนเดียว ดังนั้นคำแนะนำของผมก็คืออย่าให้ลูกๆของคุณอยู่นอกบ้านคนเดียวโดยเด็ดขาด"
"ฟังอาจารย์แนะนำแบบนี้ดิฉันค่อยสบายใจขึ้นค่ะ" แคธรีนตอบ
"อาจารย์เมอร์คิวเรียสไม่ทำให้พวกเราผิดหวังเลย นี่เป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ในระหว่างรอให้เจ้าคนร้ายถูกจับแขวนคอ
'จริงสินะถ้าทางการจับคนร้ายได้ เขาน่าจะได้นับโทษประหารชีวิตด้วยการจับแขวนคอประจานให้คนไม่เอาเยี่ยงอย่าง แม้แต่ในศาสนจักรก็ยังเห็นด้วยกับการทำโทษผู้ทำผิดด้วยความตาย นักบุญคาลวินได้สอนลูกศิษย์ว่าแม้พระเยซูได้ให้อภัยแก่บาปของมนุษย์แต่พระองค์ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมาย ยิ่งกว่านั้นนักบุญลูเธอร์ถึงกลับกล่าวว่าพวกนอกรีตและพวกดูหมิ่นศาสนาสมควรตาย' เมอร์คิวเรียสคิด
"เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายอาจเป็นคนวิกลจริต?" เฟอร์เมร์เสนอความเห็น
"หา! คนร้ายเป็นคนบ้าน่ะหรือ?" แคธรีนอุทาน
"เป็นคนบ้าแล้วยังไงต่อล่ะ? เธอถามเฟอร์เมร์
เฟอร์เมร์ไม่ตอบภรรยาแต่หันไปพูดกับเมอร์คิวเรียส
"อาจารย์ครับผมคิดว่าหากเขาเป็นคนวิกลจริตแล้วล่ะก็เขาคงไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ทำร้ายเด็กๆได้ จริงๆแล้วเขาสมควรได้รับความสงสารและได้รับการรักษา ไม่ใช่การลงโทษด้วยการแขวนคอ อาจารย์ว่าใช่ไหมครับ?"
"อื่ม!..ผมว่า.." เมอร์คิวเรียสยังไม่ทันได้พูดต่อ แคธรีนก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจสามีตัวเอง
"ที่รัก ฉันรับไม่ได้กับความเห็นของเธอในการไม่ลงโทษคนร้ายหากเขาเป็นคนบ้า ลองคิดให้ดีนะ หากเด็กที่ถูกฆ่าเป็นลูกหลานของเราล่ะเธอยังจะคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า ตัวฉันเองนี่แหละจะขออาสาเป็นคนเตะเก้าอี้ออกจากขาของคนร้ายปล่อยให้มันห้อยต่องแต่งจนตาย แล้วถ้าใครจะมาแสดงความสงสารโดยช่วยยกขาของมัน ฉันก็จะผลักคนคนนั้นออกไปห่างๆ"
แคธรีนยังคงพูดต่อ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นลงไปที่หน้าเฟอร์ฯเมร์
"ที่รัก เธอน่ะใจดีเกินไป มันไม่ต่างอะไรกับการให้ยาพิษแก่คนร้ายให้ตายทันทีโดยไม่ทรมานแล้วค่อยเอามันไปแขวนคอ ทำแบบนี้คนร้ายจะไม่รู้สึกทุรนทุรายก่อนตายเลยซึ่งมันดูไม่สาสมกับความผิดของมัน"
เฟอร์เมร์ยักไหล่ทำราวกับว่าความเห็นของแคธรีนกับของตนไม่ได้แตกต่างกัน เมอร์คิวเรียสโล่งใจที่ไม่ต้องตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่เขาโล่งใจได้แค่แพล็บเดียวเมื่อคุณนายทินส์พูดว่า
"แล้วอาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรคะ?"
เมอร์คิวเรียสภาวนาให้มีใครก็ได้เคาะประตูเรียกเพื่อขัดจังหวะแต่ดูเหมือนว่า ปาฏิหาริย์ไม่ยอมเกิดขึ้นยามเขาต้องการ
"ผมคิดว่าเราจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการตัดสินคนที่เสียสติ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขารู้ว่ารู้ตัวดีในขณะที่กระทำผิดแล้วล่ะก็ เขาก็สมควรได้รับการลงโทษในความผิด เพื่อให้เห็นภาพผมขอเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง...
ตอนที่ผมยังเด็ก ครอบครัวเราเลี้ยงหมาสีดำตัวเล็กๆตัวหนึ่ง มันเป็นหมาที่ฉลาด
มีอยู่วันหนึ่งซึ่งเป็นวันคริสต์มาส แม่ผมวางหมูย่างไว้บนโต๊ะขณะที่แม่มัวไปทำกับข้าวอย่างอื่นอยู่ ปรากฏว่าเจ้าหมาตัวนี้มันคาบชิ้นหมูย่างไปจากโต๊ะ...
ตอนแรกพ่อของผมไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมัน จนเมื่อไปเห็นชิ้นเนื้อบนที่นอนของมันถึงได้ยอมรับ และเมื่อมันเดินมามันทำตาน่าสงสารพร้อมสั่นหางไปมาเหมือนกับจะบอกว่ามันยอมรับว่ามันทำผิด"
"อาจารย์ยกตัวอย่างได้ดีมากค่ะ" คุณนายทินส์พูดพร้อมกับปรบมือ
"โยฮันเนส ถ้าคนร้ายรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็สมควรถูกแขวนคอหรือไม่ก็ปล่อยให้ทำผิดซ้ำอีก เธอคิดเห็นอย่างไร?" คุณนายทินส์ถาม
"คนร้ายอาจจะทำผิดซ้ำอีก" เฟอร์เมร์ตอบ
"หรือไม่ทำผิดอีกก็ได้ ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้หรอก ว่าแต่เจ้าหมาถูกทำโทษหรือเปล่าคะ? อาจารย์"
"พ่อผมลงมือตีมันด้วยตัวเองเลยครับ"
"แล้วมันยังทำผิดซ้ำอีกหรือเปล่าคะ?" คุณนายทินส์ถาม
"มันก็ยังทำผิดซ้ำอีกครับ"
"แล้วอย่างนี้การทำโทษจะมีประโยชน์อะไรเล่าครับ?" เฟอร์เมร์ถาม
"โยฮันเนส..มันต้องเริ่มจากการเลือกวิธีการลงโทษให้ถูกต้องก่อน ถ้าเจ้าหมาตัวนี้ถูกแขวนคอมันก็จะไม่สามารถขโมยของได้อีก"
'ความเห็นของคุณนายทินส์เป็นความเห็นที่เมอร์คิวเรียสได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่นๆหลายครั้งแล้ว สำหรับตัวเขาแล้วเขาไม่เห็นด้วยที่จะต้องประหารชีวิตคนทำผิดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้คนผิดได้ทำผิดซ้ำอีก ทั้งๆที่ยังมีทางเลือกอื่นอีก เข่นการตัดสินจำคุก แต่ก็ยังมีผู้โต้แย้งอีกว่าการที่ต้องเอาคนผิดมาขังคุกทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมาเลี้ยงดูนักโทษ เพราะเงินทองเหล่านี้ก็มาจากภาษีของประชาชน การประหารชีวิตถือเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าการจำคุกมาก
ยิ่งกว่านั้นยังมีคำพูดในเชิงประชดประชันว่าโรงเรียนแพทย์ยังต้องการศพคนตายจำนวนมากเพื่อใช้สอนนักเรียนแพทย์ ถ้าหากทางการสามารถหยุดยั้งคนทำผิดได้แล้วต่อไปนักเรียนแพทย์จะเอาศพที่ไหนมาศึกษา?'
หลังจากจบการถกเถียงเรื่องเครียดๆแล้วเวลาที่เหลือก็เป็นเรื่องของการสรวลเสเฮฮา เฟอร์เมร์พยายามหลีกเลี่ยงในการพูดผลงานภาพวาดของตนเอง แต่แคธรีนกลับเอาแต่ยกย่องชื่นชมภาพวาดของสามีไม่หยุดหย่อนจนเฟอร์เมร์รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เขาจึงหันเหจากเรื่องของตนเองโดยเชิญเมอร์คิวเรียสไปดูภาพเขียนผลงานของคาเรล ฟาบริเทียสผู้ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ในเดลฟท์ในปี 1954
คุณนายทินส์วิจารณ์ราคาภาพวาดของฟาบริเทียสและบราเมอร์เปรียบกับของเฟอร์เมร์ให้เมอร์คิวเรียสฟัง เธอบอกว่าลูกเขยเธอไม่ใช่นักธุรกิจ เขาพอใจกับราคาที่ถูกเสนอตั้งแต่ราคาแรก ซึ่งทำให้หลายครั้งภาพเขียนของเขามีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
เฟอร์เมร์อธิบายให้เมอร์คิวเรียสฟังว่าทั้งฟาบริเทียสและบรสเมอร์ต่างก็มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งเนเธอร์แลนด์ ส่วนตัวเขานั้นมีชื่อเสียงก็เฉพาะในเดลฟท์
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เมอร์คิวเรียสได้ฟังมาจากคนอื่นๆ หาว่าเฟอร์เมร์มีปัญหาทางการเงิน แต่ดูจากที่เขาสัมผัสได้ในวันนี้แล้วข่าวลือดังกล่าวไม่น่าเป็นจริง แคธรีนเล่าให้ฟังว่าโรงแรมของพ่อฟอร์เมร์ที่ตกเป็นมรดกนั้นเฟอร์เมร์ได้ให้คนเช่าทำโรงแรมต่อและได้เก็บค่าเช่าในราคาที่สูงเป็นที่พอใจ แต่ที่ดินของคุณนายทินส์ถูกน้ำท่วมเพราะฝายกั้นน้ำพังทำให้เธอสูญเสียรายได้พอสมควร
เสร็จจากงานเลี้ยงที่บ้านเฟอร์เมร์ เมอคิวเรียสเดินกลับโรงแรมท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจับใจ แต่ถึงแม้จะโดนลมหนาวปะทะตลอดทางแต่เสื้อคลุมอันหนาของเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี
เมื่อกลับถึงห้องพักเมอร์คิวเรียสรู้สึกแปลกใจที่ยังเห็นลูซี่นอนหลับอยู่ภายในห้องของเขาทั้งๆที่เขาเคยบอกเธอไม่ให้มานอนในห้องแล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เธอมานอนเพราะภายในห้องอบอุ่นด้วยเตาผิงที่ลูซี่ได้เตรียมไว้เรียบร้อย เมอร์คิวเรียสสมควรปลุกเธอแล้วไล่เธอให้ไปนอนที่ห้องของเธอแทน แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ปลุกเธอด้วยเหตุผลสี่ข้อ
ข้อแรกเธอกำลังหลับอย่างสนิทถ้าปลุกให้ตื่นตอนนี้ดูจะใจร้ายกับเธอเกินไป ข้อสองคืนนี้อากาศข้างนอกหนาวมากและห้องนี้น่าจะอุ่นกว่าห้องนอนเล็กๆของเธอ ข้อสามตัวเขารู้สึกเมาและง่วงนอนมากจนไม่คิดว่าเธอจะรบกวนการนอนของเขา และข้อสุดท้ายเธอนอนบนพื้น ไม่ได้มาแย่งนอนบนเตียงเหมือนคืนก่อน
ในที่สุดเมื่อหัวถึงหมอนเมอร์คิวเรียสก็หลับสนิทตลอดทั้งคืน
- - - - - - - - - - - - -
จบตอนที่ 34
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกท่าน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
โฆษณา