14 ต.ค. 2023 เวลา 14:48 • นิยาย เรื่องสั้น

ตอน เหตุเกิดในวันกู๊ดฟรายเดย์

เรื่องเล่า ไขคดีปริศนาในเมืองเดลฟท์
ตอนที่ 35 เหตุเกิดในวันกู๊ดฟรายเดย์
ผู้แต่ง เกรแฮม แบรค
ผู้เล่า สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
จากการที่เมอร์คิวเรียสเป็นนักบวชทั้งนิกายโปรเตสแตนต์โดยเปิดเผยและนิกายคาทอลิกโดยการปิดบัง ส่งผลต่อการปฏิบัติตัวของเมอร์คิวเรียส
ดังเช่นในวันศุกร์ประเสริฐหรือที่เรียกว่ากู๊ดฟรายเดย์ซึ่งโดยทั่วไปชาวคาทอลิกจะปฏิบัติตัวในวันนี้ด้วยการสารภาพบาปและการทรมานตัวเองเพื่อระลึกถึงวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ตัวอย่างเช่นการอดอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ การสวดมนต์ภาวนาและการไตร่ตรองเรื่องที่ทำมา การสละความสุขสบายด้วยการสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบกระด้าง ป้าของเมอร์คิวเรียสเคยให้เสื้อแบบนี้แก่เขาตัวหนึ่งซึ่งเขายังเก็บรักษาไว้แต่จำไม่ได้ว่าไว้ที่ไหน
เมอร์คิวเรียสเคยเห็นนักบวชบางคนอดอาหารได้ทั้งวัน บางคนทรมานตนเองด้วยการอาบน้ำเย็นจัด สำหรับเมอร์คิวเรียสแล้วเขาเป็นคนไม่เคร่งครัดจึงแค่เพียงงดกินเนื้อสัตว์และสารภาพบาป ซึ่งปกติเขาก็ไม่ค่อยมีบาปให้ต้องสารภาพเท่าใดนักเพราะนักบวชอย่างเขาไม่ได้คิดสะสมเงินทอง ไม่คิดจะมีครอบครัว ทำให้ห่างไกลจากโอกาสทำบาปไปได้มาก การสารภาพบาปจึงใช้เวลาที่ไม่นานนัก
แต่สำหรับวันศุกร์เมื่ออยู่เดลฟท์แล้ว เมอร์คิวเรียสเลือกที่จะไม่สารภาพบาปเพราะเขาไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ว่าเขาเป็นคาทอลิก อีกทั้งเขาไม่มีเวลารวบรวมบาปที่จะต้องสารภาพ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้สารภาพนั่นคือเขาฝันถึงลูซี่ แต่มันเป็นความฝันที่เลือนลางและวันไหนที่เขาไม่ได้เจอหน้าลูซี่แล้วเขารู้สึกหงุดหงิด
เช้าวันนี้เมอร์คิวเรียสตั้งใจทรมานตัวเองด้วยการใข้น้ำเย็นจัดในการโกนหนวด แต่ขณะกำลังโกนหนวดอยู่นั้นลูซี่ก็ได้เคาะประตูและถือโถใส่น้ำอุ่นเข้ามาให้เมอร์คิวเรียส ทำให้เขาต้องล้มเลิกความคิดที่จะทรมานตนด้วยน้ำเย็นเพราะไม่อยากให้ลูซี่เสียใจที่ตั้งใจเอาน้ำอุ่นมาให้แล้วเปล่าประโยชน์
สำหรับอาหารมื้อเช้า เมอร์คิวเรียสตั้งใจเต็มที่ที่จะงดเนื้อสัตว์แต่ปรากฏว่าลูซี่ได้แอบสอดชิ้นเนื้อไว้ในขนมปัง เธอสร้างความลำบากใจให้เขาอีกแล้วโดยเธอไม่รู้ตัว และอีกเช่นเคยเมอร์คิวเรียสไม่อยากทำร้ายน้ำใจลูซี่เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการแอบซ่อนชิ้นเนื้อไว้ในปลอกแขน ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ขอทานแต่ก็ไม่วายกังวลใจว่าถ้าเกิดไปให้ขอทานที่เป็นคาทอลิกก็จะเป็นเหตุให้ขอทานคนนั้นต้องระเมิดการอดอาหาร เขาจึงเปลี่ยนใจเอาไปให้หมาแทน
ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าเดินไปศาลาว่าการ เขาได้เจอหมาตัวหนึ่ง พอจะเอามือล้วงเข้าไปในปลอกแขน เจ้าหมาดันไม่รอให้เขาหยิบเนื้อออกมา มันได้งับเอาแขนของเขาจนชิ้นเนื้อหล่นลงมา
ขณะนั้นมีชาวสะมาริตันกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาพอดี หนึ่งในนั้นได้เอาไม้เท้าช่วยไล่หมาให้หนีไป อีกสองคนพาเมอร์คิวเรียสไปร้านขายยาแถวนั้น ป้ายหน้าร้านมีสัญญลักษณ์จิ้งจกสลาแมนเดอร์
คนขายยาเป็นคนหนุ่มได้ช่วยปฐมพยาบาลโดยเอาไวน์มาทำความสะอาดแผลแล้วพันด้วยผ้ามัสลินเนื้อละเอียดจากตะวันออกกลาง เมอร์คิวเรียสขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือเขา และขอให้ร้านคิดค่ารักษาแต่ปรากฏว่าร้านขายยาไม่ยอมคิดเงิน เมอร์คิวเรียสคิดในใจว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าเจ้าของโรงแรมที่เขาพักจะมีน้ำใจดีเหมือนชาวสะมาลิตันและคนขายยา
เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว เมอร์คิวเรียสรีบเดินไปศาลาว่าการ เมื่อไปถึงแคลส์ได้ร้องทักว่า
"อาจารย์ไปโดนอะไรมาครับ?"
"ไม่มีอะไรหรอก จริงๆ นะ"
"โดนมีดบาดมาหรือครับ?"
"ไม่ได้โดนมีดบาดครับแต่เป็นรอยของฟัน"
"อุ้งตีนสัตว์แบบไหนกันคล้ายกับฟันครับ?"
"อ๋อ! มันไม่ใช่อุ้งตีนสัตว์หรอก"
"หรือว่าเป็นฝีมือผู้ร้ายใช่ไหมครับ?"
"บอกใบ้ให้ก็ได้ ผู้ร้ายที่มีสี่ขาและมีหาง"
"ใช่หมาป่าไหมครับ?"
"เป็นหมาธรรมดานี่เอง มันเล่นงานผมตอนเดินออกจากโรงแรม"
"แล้วอาจารย์ไปทำอีท่าไหนมันถึงกัดได้ล่ะครับ?'
"ถ้าผมบอกแล้วเหยียบไว้เลยนะ ผมเอาชิ้นเนื้อซ่อนไว้ที่ปลอกแขน หมามันคงได้กลิ่นเนื้อที่ผมซ่อนไว้"
พอแคลส์ได้ฟังเช่นนั้นเขาอ้าปากเพื่อจะถามว่าเมอร์คิวเรียสทำอย่างนั้นทำไมแต่แล้วเปลี่ยนใจเอามือมาป้องที่ปากแทนเพราะเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองสักหน่อย
เมอร์คิวเรียสเห็นแคลร์สงสัยก็กะว่าจะอธิบายเหตุผลแต่นึกดูอีกทีถ้าอธิบายแล้วแคลส์ก็จะรู้ว่าเขาเป็นคาทอลิก จึงตัดสินใจไม่อธิบายปล่อยให้แคลส์คิดว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาดดีกว่า
"อาจารย์ครับ ผมได้ให้ช่างไม้ที่มีฝีมือทำกล่องใส่เอกสารสำคัญของท่านนายกเทศมนตรีซึ่งรวมถึงรูปภาพของแมกดาเลนา ซึ่งกล่องนี้สามารถใส่กุญแจได้ครับ"
"คุณแคลส์ช่างรอบครอบจริงๆ"
"อาจารย์ครับ สำเนารูปภาพที่พิมพ์ออกมามีความชัดเจนดีครับ ส่วนภาพต้นฉบับที่เฟอร์เมร์วาดพอผมเห็นแล้วผมถึงกับตกตะลึงเพราะจริงๆ แล้วผมเห็นเธอบ่อยมากบนท้องถนน เธอน่าจะเดินคู่กับแม่ เธอได้หาบถังใส่ปลาปลาและหอยไว้บนบ่าของเธอเที่ยวเล่ขายไปตามถนน ดูเธอแข็งแรงมากไม่เหมือนเด็กสาวอายุแปดขวบเลยครับ ผมขอสวดภาวนาให้เธอปลอดภัย"
"ผมก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ละวันที่ผ่านไปผมก็เป็นห่วงเธอมากขึ้น ผมกวังว่าเจ้าคนที่พาเธอไปคงตะไม่ปล่อยให้เธอหนาวจนทนไม่ไหว"
"ตราบใดที่เรายังไม่เจอศพ เรายังมีความหวังว่าพวกเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ครับ"
"ความหวังเป็นสิ่งที่ดี แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าแต่ละวันเธอจะต้องเจอสิ่งเลวร้ายอะไรบ้าง แต่เราก็มั่นใจได้ว่าเธอไม่ได้ถูกลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ในเมืองเดลฟท์ยากที่จะมีครอบครัวไหนจนกว่าครอบครัวของเธอแล้ว"
"แต่ผมว่าตกอยู่ในมือพวกโจรเรียกค่าไถ่ยังดีกว่าตกอยู่ในมือพวกบ้ากามนะครับ"
"คุณแคลส์ โปรดรีบแจกรูปแมกดาเลนาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร็วที่สุด อ้อ!แล้วตอนนี้พวกตำรวจประจำอยู่ที่ไหนบ้างครับ?"
"ตอนนี้ตำรวจถูกวางกำลังให้เดินสำรวจทั้งตามถนนและลำคลองครับ"
"ผมคิดว่ามันออกจะช้าไป บางทีเธออาจถูกพาออกไปจากเดลฟท์แล้ว"
"ถ้าเป็นเหยื่อสองรายแรกก็อาจจะใช่ครับ แต่ไม่น่าใช่สำหรับหนูแอนนา เพราะตำรวจเริ่มตรวจอย่างเข้มงวดก่อนที่แอนนาจะหายตัวไปครับ ดังนั้นตอนนี้หนูแอนนาน่าจะยังอยู่ในเดลฟท์ครับ"
"เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมถึงเพิ่งมาบอกผมตอนนี้ล่ะ!"
"ก็อาจารย์ไม่ได้ถามนี่ครับ"
เมอร์คิวเรียสรู้สึกว่ากรรมได้ตอบสนองเขาแล้ว
"ถ้าแอนนายังอยู่ในเมือง ผมคิดว่าแมกดาเลนาก็คงยังอยู่ในเมืองเช่นกัน" เมอร์คิวเรียสออกความเห็น
"หรือไม่แมกดาเลนาก็อาจเสียชีวิตแล้ว คนร้ายคงไม่แยกพวกเธอออกจากกันเพราะคนร้ายไม่สามารถอยู่พร้อมกันทั้งสองแห่งได้ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ตำรวจได้ตรวจค้นเรือทุกลำแล้ว"
"เวลานี้ไม่มีใครดีกว่าตำรวจแล้วครับอาจารย์"
"แต่ผมเห็นว่ามันยังมีวิธีอื่นที่จะออกจากเมืองนะ"
"ใช่ครับอาจารย์ มันยังมีหนทางอื่นที่จะออกจากเมือง แต่ตำรวจก็วางกำลังตรวจดูครอบคลุมพื้นที่แล้ว แม้แต่บนอาคารกังหันลมก็มีตำรวจไปอยู่ข้างบนสามารถเห็นคนได้ง่าย ส่วนเรือที่ผ่านเข้ามาก็ถูกเรียกให้จอดเพื่อตรวจค้น"
"แต่ว่าตอนที่ผมไปที่กังหันลม ผมไม่เห็นมีตำรวจอยู่บนอาคารกังหันลมเลยนะ"
"อาจเป็นเพราะตำรวจขึ้นไปบนกังหันลมหลังจากอาจารย์เดินออกมาแล้วกระมัง นอกจากนี้ในยามกลางคืนตำรวจก็ยังเฝ้าสังเกตุการณ์ทั้งคืน พวกอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยก็ยังเอาโซ่ใหญ่ไปขวางคลองส่วนที่กว้างที่สุดแถวๆ ซูอิดพอร์ทเพื่อหยุดเรือและขอตรวจค้น"
เมอร์คิวเรียสพยายามขบคิดแต่ทำได้ไม่ดีเพราะมีแคลส์คอยพูดใส่หูตลอดเวลา
คนร้ายจะต้องอยู่ในเมืองสองสัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ฝังศพเกอร์ทรูย์ดในวันอาทิตย์และในวันอาทิตย์ล่าสุดที่ลักพาแอนนา น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีการตรวจค้นผู้ที่เข้ามาในเมือง เพราะถ้ามีการตรวจคนที่เข้าเมืองเราก็จะมั่นใจได้ว่าศพเกอร์ทรูย์ดไม่ได้ถูกย้ายออกนอกเมืองก่อนที่เธอจะถูกฝัง แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจเอาศพไปฝังที่อื่นก่อนแล้วจึงออกนอกเมือง จากนั้นจึงกลับมาฝังที่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็แปลกมากที่คนร้ายไม่เอาศพไปฝังนอกเมืองซึ่งน่าจะง่ายกว่ามาก
ทำไมคนร้ายต้องมาเสี่ยงที่จะถูกตรวจเจอ คนร้ายน่าจะอยู่ใกล้ๆ แค่เอื้อมและแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้คนทั่วไป ถ้าเด็กสาวทั้งสองยังมีชีวิตอยู่พวกเธอก็น่าจะยังอยู่ในเมือง
จบตอนที่ 35
โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากกดติดตามเพจ สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
และให้ความเห็นด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
โฆษณา