25 ต.ค. 2023 เวลา 04:21 • นิยาย เรื่องสั้น

ตอน เบาะแสจากเด็กสองขวบ

เรื่องเล่า ไขคดีปริศนาในเมืองเดลฟท์
ตอนที่ 36 เบาะแสจากเด็กสองขวบ
ผู้แต่ง เกรแฮม แบรค
ผู้เล่า สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
"อาจารย์อย่าลืมว่าอาจารย์มีนัดกับทีมรักษาความปลอดภัยนะครับ และผมก็ยังได้เรียนแม่ชีอาวุโสที่คอนแวนต์แล้วว่าอาจารย์จะแวะไปเยี่ยม ตามที่ท่านนายกเทศมนตรีนัดหมาย"
"ที่เดลฟท์ยังมีคอนแวนต์อยู่หรือครับ?"
ที่เมอร์คิวเรียสถามเช่นนี้เพราะว่าเมืองใดที่โปรเตสแตนต์เข้มแข็ง แม่ชีคาทอริกจะใช้ชีวิตอยู่ยาก คอนแวนต์หลายแห่งถูกเอาไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นเสียเป็นส่วนมากแล้ว
"ใช่ครับ เดลฟท์ยังมีคอนแวนต์อยู่ ก็คือที่แบกจินฮอฟ"
แคลส์ยังอธิบายต่อไปอีกว่า
"แม่ชีที่นี่มักจะไม่ได้บวชตลอดชีวิต แต่จะบวชแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตชาวบ้านปกติ"
เมอร์คิวเรียสคิดว่าบางทีที่นี่อาจเหมาะกับ'อเลดิส'ลูกสาวของเฟอร์เมร์แม้ว่าจะไม่ตรงกับความต้องการของเธอเสียทีเดียว
"ยังมีคอนแวนต์อื่นอีกไหมครับ?"
"ยังมีอีกที่หนึ่งครับ ที่นี่จะมีแม่ชีทำหน้าที่ดูแลหญิงชราชาวคาทอริกพวกที่เป็นโสดหรือเป็นแม่หม้าย เราเรียกที่นี่ว่า'โอแรนแพลนเทจ' มันอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้"
เมอร์คิวเรียสและแคลส์เดินไปถึงตลาดนัดค้าม้า จากนั้นก็เดินต่อไปยังคอนแวนต์ เมอร์คิวเรียสพบว่าที่นี่อยู่ใกล้กับกังหันลมสองหลังและก็ใกล้กับบ้านของครอบครัวเปียเตอร์ซูน
"แคลส์ ผมเชื่อว่าน่าจะมีคนสูงอายุหลายคนอยากมาร่วมงานศพเกอร์ทรูย์ดในวันเสาร์พรุ่งนี้แต่ไม่สะดวกในการเดินทาง ผมคิดว่าเราน่าจะจัดหารถม้าหรือเกวียนรับพวกเขามาร่วมพิธีนะ"
จริงๆ แล้วเมอร์คิวเรียสคิดถึงแต่ครอบครัวเปียเตอร์ซูน แต่ก็มั่นใจว่ายังมีครอบครัวคนสูงอายุอื่นอีกที่เป็นเหมือนเปียเตอร์ซูน
"ผมคิดว่าท่านนายกเทศมนตรีก็คงคิดเหมือนอาจารย์ แต่ทางที่ดีผมจะนำข้อเสนอของอาจารย์เรียนให้ท่านนายกฯทราบก่อนที่ท่านจะพูดเปิดงานซ้อมผจญเพลิงกับทีมรักษาความปลอดภัย เราจะได้รู้ว่ามีใครที่สามารถเอารถม้าหรือเกวียนไปช่วยรับคนสูงอายุมาร่วมพิธีศพครับ"
แคลส์พูดจบก็มองไปไกลๆ ตรงที่เป็นที่ตั้งคอนแวนต์แล้วพูดต่อ
"ผมว่าวันงานพิธีพวกแม่ชีคอนแวนต์ต้องมาก่อนใครเพื่อน พวกเธอไม่เคยพลาดงานพิธีศพ ตัวผมเองยังทำอย่างพวกเธอไม่ได้เลย พวกแม่ชีมักใช้เวลาช่วยเหลือคนป่วยใกล้ตาย พวกเธอจะรู้ดีว่างานศพจะมีวันไหนบ้าง"
เมอร์คิวเรียสเข้าใจความรู้สึกของแม่ชีได้ดี พวกเธอได้ดูแลผู้ป่วยจนถึงวันสุดท้ายที่พวกเขาจากไป พวกเธอจึงอยากไปร่วมพิธีศพเพื่อส่งดวงวิญญาณของผู้ตายให้ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า
แต่แล้วเมอร์คิวเรียสก็หวนกลับมาคิดถึงเรื่องภาระรับผิดชอบของตัวเองตอนนี้ เขารู้สึกผิดที่มัวแต่คิดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับภาระกิจตามหาเด็กสาวสองคน แต่ถึงนาทีนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้หนทางที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่รู้ว่าเขาควรไปพบใครที่จะให้เบาะแสที่มีประโยชน์
"แคลส์" เมอร์คิวเรียสเอ่ยชื่อ
"สมมติว่าหากแคลส์เป็นผมในตอนนี้ แคลส์อยากทำอะไรต่อไป"
แคลส์แปลกใจที่อยู่ดีๆเมอร์คิวเรียสก็มาถามเขาแบบนี้ แต่ก็อดภูมิใจลึกๆ ไม่ได้ว่าอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมาเอ่ยปากขอความเห็นจากเขา แคลส์จึงตั้งใจเสนอความเห็นอย่างเต็มที่
"อาจารย์ครับ ผมคิดว่าอาจารย์ควรจะไปพบกับคุณลีเว่นส์พ่อของเกอร์ทรูย์ด พอเขารู้ว่าลูกสาวหายตัวไป ลีเว่นส์ได้ระดมสมัครพรรคพวกช่วยกันค้นหา ถ้าหากคุณลีเว่นส์บอกอาจารย์ว่าวันนั้นเขาไปค้นหาที่ไหนมาบ้าง บางทีมันอาจช่วยให้เราจำกัดพื้นที่ค้นหาให้แคบลงได้นะครับ"
แววตาเมอร์คิวเรียสเปล่งประกายทันทีที่ได้ฟัง แคลส์พูดได้ถูกต้อง เขาอยากจะเตะตัวเองที่คิดเรื่องนี้ไม่ออก ลีเว่นส์สามารถระดมเพื่อมาร่วมงานและเพื่อนบ้านภายในเวลาไม่กี่นาทีที่รู้ว่าบูกสาวหายตัวไป ถ้าหากเมอร์คิวเรียสได้รู้ว่าลีเว่นส์ไปค้นหาตรงจุดไหนบ้างแล้ว โดยเฉพาะบริเวณแนวคลองที่อาจเป็นที่ซุกซ่อนตัวเด็กสาวทั้งสองคน
"แคลส์ ผมทราบมาว่าลีเว่นส์เป็นคนงานทำอิฐ คุณพอจะรู้ไหมว่าเขาทำอยู่ที่โรงงานไหน?"
"อาจารย์...โรงงานอิฐมีอยู่หลายแห่ง ทางที่ดีเราไปถามแม่เกอร์ทรูย์ดดีกว่าไหมครับ"
เมอร์คิวเรียสพยักหน้าตอบเห็นด้วย และคิดว่าจะไปหาแม่เกอร์ทรูย์ดคนเดียว ส่วนแคลส์นั้นเมอร์คิวเรียสขอร้องให้รีบไปจัดการเรื่องหารถม้าและเกวียนไปรับคนสูงอายุไปร่วมพิธีศพวันพรุ่งนี้
เมอร์คิวเรียสเดินมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเดลฟท์ เมื่อไปใกล้ถึงบ้านแม่ของเกอร์ทรูย์ด เมอร์คิวเรียสผ่านบ่อน้ำใกล้ๆ ตรงนั้นมีประตูน้ำซึ่งเอเดรียนเคยบอกเขาว่าเช้าวันเกิดเหตุมันยังปิดอยู่ เมอร์คิวเรียสมองไปบริเวณลานกว้างใกล้บ่อน้ำเห็นว่าดินบริเวณนั้นยังแห้งอยู่ เมื่อมองไปยังบ้านแถวนั้นเห็นมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน
เมอร์คิวเรียสกวักมือเรียก เด๋กชายจ้องมองหน้าเมอร์คิวเรียสขณะที่มืกำลังหยิบของกินใส่ปากเคี้ยวหมับๆ
"หนูคงจะเป็นนิโคใช่ไหม?" เมอร์คิวเรียสเรียกชื่อเด็ก แต่พอเด็กได้ยินก็เกิดกลัวขึ้นมาจึงลุกขึ้นแล้วหนีเข้าไปในบ้าน สักครู่หนึ่งก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับเด็ก ในมือของเธอถือไม้ซักผ้าไว้ด้วย
"คุณเป็นใคร? ต้องการอะไร?" เธอพูดจาห้วนๆ
"ขอโทษด้วย ผมคือ..."
"ขอโทษเรื่องอะไร? มีอะไรที่ต้องขอโทษฉัน? แต่ฉันขอเตือนคุณนะ ถ้าคุณมาทำอะไรลูกฉันล่ะก็ ฉันรับรองได้เลยว่าคุณต้องโดนไม้ซักผ้าฟาดหัวแน่นอน"
เมอร์คิวเรียลสรอจนให้หญิงสาวคลายความหวาดระแวงลงจึงได้เริ่มเอ่ยปาก
"คุณผู้หญิงครับ ผมมาแถวนี้เพื่อมาพบภรรยาของคุณลีเว่นส์เพื่อจะถามเธอว่าคุณลีเว่นส์ทำงานอยู่ที่ไหน ผมชื่อเมอร์คิวเรียส ผมได้รับมอบหมายตากท่านนายกเทศมนตรีให้ช่วยสืบหาเด็กสาวที่หายตัวไป"
หญิงสาวยังคงทำหน้าแสดงความสงสัย
"แล้วลูกฉันเจ้านิโคมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้คะ?"
"นั่นเป็นเพราะแม่ของเกอร์ทรูย์ดเคยบอกผมว่าเจ้าหนูนิโคน่าจะได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่เกอร์ทรูย์ดถูกลักพาตัวไปครับ"
"แต่ลูกฉันยังเด็กอยู่เลยนะ เด็กอายุสองขวบจะไปรู้เรื่องอะไร"
"นั่นก็อาจจะใช่ครับ แต่การได้คุยกับหนูนิโคก็ไม่ได้เสียหายอะไรใช่ไหมครับ"
เมอร์คิวเรียสนึกขึ้นได้ว่าแม่ทุกคนชอบที่จะได้ยินคนชมว่าลูกตัวเองเก่ง เขาจึงพูดขึ้นว่า
"ผมได้ยินมาว่าหนูนิโคเป็นเด็กฉลาดกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน"
"ฉันก็เชื่ออย่างนั้น" แม่นิโคตอบด้วยความภูมิใจ
"ผมว่าบางทีเราสามารถคุยกับนิโคในสิ่งที่เขาได้เห็นในวันนั้นได้นะครับ"
หญิงสาวอุ้มนิโคขึ้นมา เธอถามนิโคว่ารู้จักเกอร์ทรูย์ดไหม ปรากฏว่านิโคพยักหน้าตอบว่ารู้จักโดยไม่ลังเล
"ลูกจ๋า เกอร์ทรูย์ดเป็นพี่สาวของคลาร่ายังไง"
นิโคพยักหน้าตอบ ทำให้เมอร์คิวเรียสเชื่อมั่นว่านิโคสามารถเป็นพยานยืนยันการเห็นเหตุการณ์วันนั้นได้
"ลูกรู้ใช่ไหมว่าพี่เกอร์ทรูย์ดตอนนี้ไปอยู่กับพระเยซูบนสวรรค์แล้ว"
นิโคทำหน้างงๆ ตามประสาเด็กแต่ก็พยักหน้าราวกับว่าเขาเข้าใจความหมายของแม่
"เอาล่ะ ลูกคนเก่งของแม่ ลูกจำวันสุดท้ายที่เห็นพี่เกอร์ทรูย์ดได้ไหม? วันนั้นเป็นวันของพระเจ้าตอนเช้า"
นิโคเอานิ้วโป้งเข้าปากดูดแล้วทำหน้าเหยเพราะรสชาติไม่อร่อย
"ตอนที่พี่เกอร์ทรูย์ดเดินไป ลูกจำคนที่ไปกับเธอได้ไหม? หน้าตาคนคนนั้นเป็นอย่างไร?"
ปรากฏว่านิโคชี้มาที่เมอร์คิวเรียสอย่างไม่ลังเล ดีที่ตอนนี้ไม่มีตำรวจอยู่ เพราะในสถานการณ์อย่างนี้เป็นใครก็ต้องเข้าใจว่าเมอร์คิวเรียสเป็นคนลักพาเด็กซึ่งตำราวจอาจเข้าจับกุมเขาทันที
"ลูกหมายความว่าคนที่พาพี่เกอร์ทรูย์ดไปเป็นนักบวชใช่ไหม?" แม่ถาม
ชุดของนักบวชดัตช์ในศตวรรษที่ 17 ภาพจาก 1st art gallery com
นิโคมองหน้าเมอร์คิวเรียสแล้วก็กลับมาอมนิ้วโป้งอีก
"ลูกหมายถึงคนที่พาพี่เกอร์ทรูย์ดไปแต่งตัวเหมือนนักบวชและใส่หมวกดำด้วยใช่ไหม?" แม่ถามย้ำอีกที
เมอร์คิวเรียสโล่งใจเมื่อนิโคพยักหน้าตอบแม่ นั่นแสดงว่าเจ้าหนูนิโคไม่ได้หมายถึงตัวเมอร์คิวเรียส
"แล้วคนคนนั้นมีปมสีดำใช่ไหม?" แม่ถามต่อ
นิโคทำหน้าคิ้วขมวดไม่รู้จะตอบอย่างไร
เมอร์คิวเรียสคิดว่าถ้าคนร้ายใส่หมวกจริง นิโคคงมองไม่เห็นเส้นผมของคนร้ายได้หรอก
"นิโคลูกแม่ แม่คิดว่าเราสองคนไปโบสถ์ด้วยกันแล้วลูกมองดูนักบวชในโบสถ์ว่ามีคนไหนแต่งคัวเหมือนกับคนที่ลูกเห็นวันนั้นดีไหมลูก"
นิโคฟังแม่พูดเสร็จแล้วเอาตัวเองไปซุกกับอกแม่ ดูเหมือนว่านิโคพอจะรู้แล้วว่าแม่เห็นด้วยกับเขาและแม่กับเมอร์คิวเรียสไม่ได้เป็นศัตรูกัน
นิโคเอื้อมมือไปจับเสื้อกันหนาวของเมอร์คิวเรียสตรงหัวไหล่ แม่นิโคจึงเอ่ยปากพูดว่า
"หรือว่าคนร้ายจะใส่เสื้อหนาวสีดำ?"
สำหรับข้อสันนิษฐานนี้กลับทำให้ตามหาคนร้ายยากขึ้นเพราะผู้ชายในเดลฟท์ต่างก็ใส่เสื้อหนาวสีดำ เมอร์คิวเรียสเริ่มถอดใจเตรียมจะกล่าวคำอำลา แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใตเมื่อแม่นิโคพูดว่า
"ฉันคิดว่านิโคกำลังจะจับเสื้อหนาวของท่านขึ้น นิโคคงคิดว่ามันยกขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นมันอาจไม่ใช่เสื้อแต่เป็นผ้าคลุมมากกว่า ใช่แล้วต้องเป็นผ้าคลุมแน่ๆ"
เมอร์คิวเรียสนึกขึ้นได้ว่าสาวๆ ทีาอาศัยแถวปั๊มน้ำเคยบอกเขาว่าผู้ชายที่พาแมกดาเลนาไปด้วยกันก็สวมผ้าคลุมกันหนาวเหมือนกัน ทำให้คิดได้ว่าคนร้ายทั้งสองเหตุการณ์เป็นคนเดียวกัน
เมอร์คิวเรียสกล่าวขอบคุณแม่นิโคและขอบใจหนูน้อยนิโคที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
เมอร์คิวเรียสเดินตรงไปที่บ้านของเกอร์ทรูย์ด เมื่อเคาะประตูเรียกได้สักครู่หนึ่งแม่ของเกอร์ทรูย์ดซึ่งมีชื่อว่าแจนเน็ตจ์ ดิรัคส์ก็เดินออกมาต้อนรับและเชิญเมอร์คิวเรียสเข้าไปคุยกันในบ้าน
เมอร์คิวเรียสบอกแจนเน็ตจ์ว่าต้องการคุยกับสามีของเธอ เธอจึงได้อธิบายทางที่จะไปหาสามีเธออย่างละเอียด เมอร์คิวเรียสสังเกตได้ว่าแจนเน็ตจ์ดูโทรมไปมากเมื่อเทียบกับที่เขาพบเธอเมื่อสองวันก่อน
"ท่านคะ ฉันอยากขอร้องให้ท่านสวดมนต์ขอพรให้ฉันและสามีด้วยเถอะค่ะ สามีฉันเครียดกับการตายของเกอร์ทรูย์ดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ"
"ผมก็เห็นว่าคุณแม่ของเกอร์ทรูย์ดดูเหนื่อยและเศร้าหมองอย่างมากเช่นกัน ผมเต็มใจที่จะสวดมนต์ให้แน่นอน ว่าแต่อยากให้ผมสวดมนต์ขออะไรครับ?"
แจนเน็ตจ์เอามือป้องปากเหมือนจะพูดแต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวอะไรบางอย่าง แต่แล้วเธอก็ยอมพูดออกมา
"สามีฉันตอนนี้ดูไม่เหมือนคนเดิมที่ฉันรู้จัก ตอนกลางคืนเขาจะตื่นขึ้นมาร้องไห้สะอึกสะอื้นค่ะ"
"คุณแม่เองก็ดูเหมือนคนอดหลับอดนอนเหมือนกันนะครับ"
เมอร์คิวเรียสเผลอพูดออกไปตรงๆ ทำเอาแจนเน็ตจ์รีบเอามือมาจัดผมให้เรียบร้อยและเอามือลูบใบหน้าให้ดูสดชื่นขึ้น
เมอร์คิวเรียสพูดต่อ
"คุณแม่จะต้องเข้าใจในความทุกข์ของสามี ต่อหน้าคุณเขาอาจพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อให้คุณแม่สบายใจ แต่ภายในจิตใจเขาไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้ตลอดเวลาจึงต้องหาทางระบายมันออกมา"
"แต่ฉันไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของเขาเลยนะคะ ฉันยังจำได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นใจ ปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขาในครั้งแรกที่เรารู้จักกัน ตอนนี้เขากลับจมอยู่แต่ความคิดเรื่องหาตัวคนร้าย เขาพร่ำพูดแต่เรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน"
เมอร์คิวเรียสเอื้อมมือไปกุมมือของแจนเน็ตจ์พร้อมทั้งพูดปลอบใจ
"เมื่อผมเจอเขาผมจะพยายามอธิบายให้เขามั่นใจว่าทางการจะสามารถหาตัวคนร้ายได้อย่างแน่นอน และผมจะชวนเขาให้ร่วมมือกับทางการในการช่วยหาตัวคนร้าย มันจะทำให้เขามีความหวังและเห็นว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมด้วย และผมเองก็จะสวดมนต์ให้คุณทั้งสอง วิงวอนให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรให้คุณและสามีข้ามพ้นความทุกข์ในครั้งนี้"
จบตอนที่ 36
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกท่าน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
โฆษณา