8 ม.ค. 2023 เวลา 03:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Puss in Boots: The Last Wish (2022) - การผจญภัยในชีวิตสุดท้ายของแมว 9 ชีวิต
ชีวิตที่พลาดได้กับชีวิตที่พลาดไม่ได้ มีความแตกต่างกัน... การมี 9 ชีวิต อาจไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับการมีชีวิตเดียวที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและไม่เสียใจในภายหลัง
สวัสดีครับทุกท่าน ! เมื่อปลายปีที่แล้ว นอกจากจะมี Avatar: The Way of Water (2022) เข้าฉาย ยังมีหนังอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ นั่นคือ Puss in Boots: The Last Wish (2022) แม้ว่าจะโดนกระแสของ Avatar กลบไป แต่ในแง่คำวิจารณ์นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว
คะแนนความชอบใน Roten Tomatoes สูงลิบลิ่วทั้งในฝั่งนักวิจารณ์ (96%) และผู้ชมทั่วไป (93%) ส่วนใน IMDB ได้รับ Rating คะแนนอยู่ที่ 7.8 นอกจากนี้ คะแนนจาก Metascore ยังได้สูงถึง 75/100 (นักวิจารณ์ค่อนข้างชอบกัน) ยังไม่นับรวมการเข้าชิงรางวัลในสถาบันต่าง ๆ รวมไปถึงลูกโลกทองคำ (Golden Globes 2023) สาขา Animation
คะแนน Puss in Boots: The Last Wish ใน Rotten Tomatoes
วันนี้ผมจึงอยากจะมาแชร์รีวิว แบ่งปันความคิดเห็นนะครับ อาจจะรีวิวเลทไปนิดนึง แต่ก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจนะครับ
[ เรื่องย่อ ]
Puss in Boots: The Last Wish ได้รับการกำกับโดย Joel Crawford
เนื้อเรื่องเล่าถึง พุซ (Antonio Banderas) มหาโจร (แมว) ผู้มี 9 ชีวิต ด้วยการใช้ชีวิตที่เลยเถิด ทำให้พุซพลาดท่าตาย จนเหลือเพียง 1 ชีวิตสุดท้าย ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวถึงการมาของ "ดาวอำนวยพร (The Wishing Star)" ซึ่งจะดลบันดาลให้ผู้ที่อธิษฐานสมปรารถนาในทุกเรื่อง พุซจึงเริ่มออกเดินทาง เพื่อตามหาหนทางที่จะทำให้เขากลับมามี 9 ชีวิตได้อีกครั้ง
[ ความรู้สึกหลังชม ]
- ยอมรับว่า ไม่ได้ตามหนังจักรวาล Shrek มากเท่าไรในระยะหลัง ทำให้ไม่ได้ดู Puss in Boots (2011) ภาคแรกด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากเห็นคำวิจารณ์ที่ดีในภาคนี้ จึงตัดสินใจมาชม
ต้องบอกเลยว่า "ไม่ผิดหวัง" Puss in Boots 2 เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าติดตาม ความคิดสร้างสรรค์ ไปจนถึงประเด็นหลักของเรื่องที่หนักหน่วงและอาจทำให้บางคนน้ำตาซึม
สไตล์งานภาพดูโฉบเฉี่ยว
- จุดแรกที่ประทับใจ คือ "ความสร้างสรรค์ในการยำโลกเทพนิยาย (Fairy Tales)" ส่วนนี้เป็นเอกลักษณ์สำคัญที่สุดของแอนิเมชั่นจักรวาล Shrek ที่จะจับตัวละครจากนิทานหรือโลกเทพนิยายมายำ พร้อมกับล้อเลียนเสียดสีด้วยความขบขัน
 
Puss in Boots ในภาคนี้ ยังคงเอกลักษณ์นี้ไว้อย่างเหนียวแน่น โดยสังเกตได้จากกลุ่มตัวละครหลักในเรื่อง
  • Goldilocks and the Three Bears จากวรรณกรรมประเทศอังกฤษ ถูกเปลี่ยนให้เป็น "Goldilocks and the Three Bears Crime Family" ที่ไล่ล่าเอาลายแทง The Wishing Star จากพุซ
  • Little Jack Horner จากเพลงกล่อมเด็กในศตวรรษที่ 18 ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น "Big" Jack Horner
  • หรือแม้แต่ Puss in Boots จริง ๆ แล้วก็มาจากวรรณกรรมอิตาลีในศตวรรษที่ 16-17
ส่วนธีมเรื่องในภาคนี้ มีโทนออกละตินเยอะ ก็มีการนำสไตล์หนังคาวบอย Western เข้ามาผสม (มีซีนดวลกัน 1-1 เหมือนดวลปืนด้วย 😂) ซีน Cameo ของตัวละครเก่าจากเรื่อง Shrek มีผสมเข้ามาบ้างเป็นน้ำจิ้ม
พาร์ทมุกตลกในเรื่อง มีทั้งมุกธรรมดาและมุกเสียดสี / ตลกร้าย บางมุกดาร์กเกินกว่าที่จะเป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็ก อย่างไรก็ตาม จุดนี้เป็นผลบวกกับหนัง เพราะ ทำให้หนังมีความหนักแทนที่จะเป็นแอนิเมชั่นสนุก ๆ ธรรมดาทั่วไป แถมมุกที่ใส่มาค่อนข้างตลกและจี้จุดโดนใจ
โดยรวมน่าชื่นชมที่ผู้สร้างสามารถนำตัวละคร / กิมมิค / ธีมเรื่องต่าง ๆ มาผสมผสานกันอย่างลงตัว เต็มไปด้วยไอเดียน่าสนใจ
Goldilocks and the Three Bears ในโหมดครอบครัวนักก่ออาชญากรรม 😂
- จุดประทับใจถัดมา คือ "แก่นเรื่องที่สะเทือนอารมณ์" Puss in Boots ภาคนี้ มีประเด็นหลักที่หนักหน่วง อย่างการพูดถึง "ความน่าหวาดหวั่นของความตาย และการเรียนรู้ถึงความหมายของชีวิต"
 
พุซใช้ชีวิตด้วยความโอ่อ่า โลดโผน ชีวิตของพุซเต็มไปด้วยชื่อเสียงและคำยกย่อง เมื่อพุซเหลือเพียงชีวิตสุดท้าย เขาเริ่มรับรู้ถึงความน่ากลัวของความตาย ซึ่งพร้อมจะพรากชีวิตและเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองไป
พุซและผองเพื่อนร่วมทาง
นับว่าโชคดีที่สุดท้าย พุซก็ได้เรียนรู้ถึง "ชีวิตที่พลาดได้ กับชีวิตที่พลาดไม่ได้" ชีวิตที่พลาดได้ คือ ชีวิตที่พุซสูญเสียไปแล้ว ส่วนชีวิตที่พลาดไม่ได้ ก็คือ ชีวิตปัจจุบันของพุซที่ต้องใช้อย่างไม่ประมาท
การมีถึง 9 ชีวิต จึงอาจไม่คุ้มค่าเท่ากับการมีชีวิตเดียวที่เปี่ยมด้วยความหมาย ชีวิตที่มีคนเดินเคียงข้าง ชีวิตที่มีมิตรให้ไว้ใจ ชีวิตที่ไม่มีวันเสียใจภายหลัง
- ประเด็นรองที่น่าสนใจ ก็เช่น เรื่องราวชีวิตของ หมาน้อย "เปอริโต้ (Harvey Guillén)" ที่เติมเต็มหนังให้หนังมีชีวิตชีวา เปอริโต้ช่วยเปลี่ยนหัวใจอันด้านชาของพุซให้อ่อนโยน แถมการมองโลกแง่ดีของเปอริโต้ ยังช่วยให้ภารกิจของพุซสำเร็จลุล่วงง่ายขึ้น
นี่ก็เป็นสารหนึ่งที่หนังพยายามบอกเราให้ตระหนักถึง "การมีจิตใจที่งดงาม จิตใจอันบริสุทธิ์" แม้วันนี้ใจเราจะโรยรา แต่การปลูกความบริสุทธิ์ให้งอกเงยในใจไม่เคยสาย เช่นเดียวกับหัวใจของพุซที่ถูกเปลี่ยนให้ชุ่มช่ำอีกครั้งด้วยน้ำใจไมตรีของเปอริโต้
- นอกจากความสร้างสรรค์และประเด็นเรื่อง งานสร้างก็แปลกตากว่าที่เคย มุมกล้องที่โฉบเฉียบ และใช้เทคนิคงานสร้างที่คล้ายกับ Spider-Man: Into the Spider-Verse (2018) ตัวละครอยู่ในลักษณะ 3D ขณะที่ฉากพื้นหลังผสมสไตล์ 2D เข้ามา ทำให้ดูครีเอทีฟไปอีกแบบ
พุซในเวอร์ชั่นน่ารักตาแป๋ว
- พาร์ตตัวละคร รู้สึกชอบตัวละครแต่ละตัวที่มีเสน่ห์ ทั้งน่ารักและกวนในเวลาเดียวกัน อีกส่วนที่เตะตาเป็นพิเศษ ก็เป็นเรื่องการออกแบบตัวละครหมาป่า มาทีไรก็ขนลุกทุกที (มีความ Horror 😂)
 
สำหรับพาร์ทนักแสดง ขอยกนิ้วให้กับ Antonio Banderas ที่พากย์เสียงพุซได้แหบมีเสน่ห์ ช่วยให้ตัวละครพุซโดดเด่น
 
- จุดสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เป็นเรื่องเพลงประกอบ อย่างเพลง Fearless Hero ที่ขับร้องโดย Antonio Banderas ตัวเพลงติดหูและบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของพุซอย่างน่าจดจำ
[ สรุป ]
Puss in Boots: The Last Wish (2022) ถือเป็นแอนิเมชั่นจากค่าย DreamWorks ที่น่าประทับใจในปี 2022 หากไม่เคยดูภาค 1 มาก่อนก็ดูภาคนี้รู้เรื่อง
หนังผสมผสานองค์ประกอบค่อนข้างลงตัว ทั้งในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และความสนุกของเรื่องราว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้รับความนิยมทั้งจากฝั่งนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไป อีกทั้งตัวหนังยังมีเอกลักษณ์การยำเทพนิยายสไตล์ Shrek ที่โดดเด่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หนังตระกูลนี้ แตกต่างจากแอนิเมชั่นเรื่องอื่น ๆ
ดูไปแล้ว ก็น่าเข้าชิงออสการ์ แต่ไม่รู้ว่าจะไปถึงขั้นคว้ารางวัลเลยหรือเปล่า เพราะคู่แข่งที่น่ากลัวก็มีอยู่หลายเรื่อง อย่างน้อยก็เรื่อง Guillermo del Toro’s Pinocchio (2022) ดังนั้นต้องติดตามกันว่าหนังจะไปได้ถึงขั้นไหน
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่อ่านรีวิวมาถึงตรงนี้นะครับ... Puss in Boots: The Last Wish เป็นแอนิเมชั่นที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้รับชม เชื่อว่าทุกคนจะหลงรักครับ !
ป.ล. Puss in Boots ภาคแรก รับชมได้บน Netflix นะครับ
อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม
IG: benjireview

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา