9 ม.ค. 2023 เวลา 04:42 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๒๔
เทโวโรหนปริวรรต
เสด็จลงจากเทวโลก (พระพุทธเจ้าเปิดโลก)
**********
~ พระพุทธองค์ทรงเปิดโลก ~
พระเถระทูลว่า "ดีละ พระเจ้าข้า" แล้วได้บอกตามรับสั่ง.
พระศาสดาเสด็จจำพรรษา ปวารณาแล้ว
ตรัสบอกแก่ท้าวสักกะว่า "มหาบพิตร อาตมภาพจักไปสู่ถิ่นของมนุษย์."
ท้าวสักกะทรงนิรมิตบันได ๓ ชนิด
คือ บันไดทองคำ บันไดแก้วมณี บันไดเงิน.
เชิงบันไดเหล่านั้นตั้งอยู่แล้วที่ประตูสังกัสสนคร,
หัวบันไดเหล่านั้น ตั้งอยู่แล้วที่ยอดเขาสิเนรุ.
ในบันไดเหล่านั้น
บันไดทอง ได้มีในข้างเบื้องขวา เพื่อพวกเทวดา,
บันไดเงิน ได้มีในข้างเบื้องซ้าย เพื่อมหาพรหมทั้งหลาย,
บันไดแก้วมณีได้มีในท่ามกลาง เพื่อพระตถาคต.
พระศาสดาประทับยืนอยู่บนยอดเขาสิเนรุ.
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก
ทรงแลดูข้างบนแล้ว, สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้วทั้งหลาย
ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก;
ทรงแลดูข้างล่าง. สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้ว
ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงอเวจี;
ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียงทั้งหลาย,
จักรวาลหลายแสน ได้มีเนินเป็นอันเดียวกัน;
เทวดาเห็นพวกมนุษย์,
แม้พวกมนุษย์ก็เห็นพวกเทวดา.
พวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหมด
ต่างเห็นกันแล้วเฉพาะหน้าทีเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีไปแล้ว.
มนุษย์ในบริษัทซึ่งมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์แม้คนหนึ่ง
เมื่อแลดูสิริของพระพุทธเจ้าในวันนั้นแล้ว
ชื่อว่า "ไม่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า มิได้มีเลย"
( ตำราว่า "แม้แต่ มด... ยังปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า")
("แม้แต่สัตว์ในนรก... ก็ยังปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า" )
**********
พวกเทวดาลงทางบันไดทอง,
พวกมหาพรหมลงทางบันไดเงิน;
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงทางบันไดแก้วมณี.
เทพบุตรนักฟ้อนชื่อปัญจสิขะ
ถือพิณสีเหลืองดุจผลมะตูมยืนอยู่ ณ ข้างเบื้องขวา
ทำบูชาด้วยการฟ้อนแด่พระศาสดาลงมา
มาตลิสังคาหกเทพบุตรยืน ณ ข้างเบื้องซ้าย
ถือของหอมระเบียบและดอกไม้อันเป็นทิพย์
นมัสการอยู่ ทำบูชาแล้วลงมา.
ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร,
ท้าวสุยามถือพัดวาลวิชนี.
พระศาสดาเสด็จลงพร้อมด้วยบริวารนี้
หยุดประทับอยู่ที่ประตูสังกัสสนคร.
**********
แม้พระสารีบุตรเถระ มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
เพราะพระศาสดาเสด็จลงด้วยพุทธสิริเห็นปานนั้น
อันท่านไม่เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อนแต่นี้,
เพราะฉะนั้น จึงประกาศความยินดีของตน
ด้วยคาถาทั้งหลายเป็นต้นว่า:-
"พระศาสดา ผู้มีถ้อยคำอันไพเราะ
ทรงเป็นอาจารย์แห่งคณะ (พรหมเทพเทวดา)
เสด็จมาจากดุสิตอย่างนี้
เรายังไม่เห็น หรือไม่ได้ยินต่อใคร ในกาลก่อนแต่นี้"
แล้วทูลว่า "พระเจ้าข้า วันนี้เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งหมด
ย่อมปรารถนายินดี ต่อพระองค์."
(ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า)
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า
"สารีบุตร ชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้ประกอบพร้อมด้วยคุณเห็นปานนี้
ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยแท้."
เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
เย ฌานปฺปสุตา ธีรา เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาปิ เตสํ ปิหยนฺติ สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ.
"พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด เป็นปราชญ์ ขวนขวาย* ในฌาน
ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบ** (นิพพาน) ด้วยสามารถแห่งการออก,
แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมกระหยิ่ม*** (ยินดี)
ต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ."
**********
~ อธิบายความ ~
(*) ความว่า ประกอบแล้ว ขวนขวายแล้วในฌาน ๒ อย่างเหล่านี้
คือ ลักขณูปนิชฌาน อารัมมณูปนิชฌาน
ด้วยการนึกการเข้าการอธิษฐานการออกและการพิจารณา.
(**) บรรพชา อันผู้ศึกษาไม่พึงถือว่า "เนกขัมมะ"
ก็คำ "เนกขัมมะ" นั่น พระองค์ตรัส หมายเอาความยินดีในนิพพาน
อันเป็นที่เข้าไปสงบกิเลส.
(***) ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่ม (ยินดี)
คือ ปรารถนาต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น.
ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าว่า
"น่าชมจริงหนอ แม้เราพึงเป็นพระพุทธเจ้า" ดังนี้
ชื่อว่าย่อมกระหยิ่ม (ยินดี) ต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้มีพระคุณเห็นปานนี้ (มีอานุภาพมาก มีฤทธิ์มาก)
ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยสติ.
**********
ในกาลจบเทศนา
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ประมาณ ๓๐ โกฏิ.
(๓๐ โกฏิ = ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ = สามร้อยล้าน)
ภิกษุ ๕๐๐ สัทธิวิหาริกของพระเถระ (อดีตค้างคาวหนู)
ตั้งอยู่แล้วในพระอรหัต.
**********
~ สังกัสสนครเป็นที่เสด็จลงจากดาวดึงส์ ~
ได้ยินว่า การทำยมกปาฏิหาริย์ แล้วจำพรรษาในเทวโลก
แล้วเสด็จลงที่ประตู "สังกัสสนคร"
อันพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่ทรงละ แล้วแล,
ก็สถานที่พระบาทเบื้องขวาประดิษฐาน ณ ที่เสด็จลงนั้น
มีนามว่า "อจลเจติยสถาน"
พระศาสดาประทับยืน ณ ที่นั้น
ตรัสถามปัญหาในวิสัยของปุถุชนเป็นต้น,
พวกปุถุชนแก้ปัญหาได้ในวิสัยของตนเท่านั้น
ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของ "พระโสดาบัน" ได้.
พระอริยบุคคลทั้งหลายมี พระโสดาบัน เป็นต้นก็เหมือนกัน
ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระอริยบุคคลทั้งหลาย
มี "พระสกทาคามี" เป็นต้น.
พระมหาสาวกที่เหลือ
ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของ "พระมหาโมคคัลลานะ"
พระมหาโมคคัลลานะ
ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของ "พระสารีบุตรเถระ" ได้.
แม้พระสารีบุตรเถระ
ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของ "พระพุทธเจ้า" ได้เหมือนกัน.
พระศาสดาทรงแลดูทิศทั้งปวง ตั้งต้นแต่ปาจีนทิศ.
สถานที่ทั้งปวง ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันทีเดียว,
เทวดาและมนุษย์ใน ๘ ทิศ และเทวดาเบื้องบนจดพรหมโลก
และยักษ์นาคและสุบรรณผู้อยู่ ณ ภาคพื้นเบื้องต่ำ
ประคองอัญชลีกราบทูลว่า
"พระเจ้าข้า ชื่อว่าผู้วิสัชนาปัญหานี้มิได้มีในสมาคมนี้,
ขอพระองค์โปรดใคร่ครวญในสมาคมนี้ทีเดียว."
**********
~ พระสารีบุตรเถระมีปัญญามาก ~
พระศาสดาทรงดำริว่า "สารีบุตรย่อมลำบาก,
ด้วยว่า เธอได้ฟังปัญหาที่เราถามแล้วในพุทธวิสัยนี้ว่า:-
"ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์
เธอมีปัญญารักษาตน อันเราถามถึงความเป็นไปของท่าน
ผู้มีธรรมอันนับพร้อมแล้วทั้งหลาย และพระเสขะทั้งหลาย
ซึ่งมีอยู่มากในโลกนี้ จงบอกความเป็นไปนั้นแก่เรา"
ดังนี้, เป็นผู้หมดความสงสัยในปัญหาว่า
‘พระศาสดาย่อมตรัสถามถึงปฏิปทาเป็นที่มา (มรรคปฏิปทา)
ของพระเสขะและอเสขะกะเรา’ ดังนี้ก็จริง,
ถึงอย่างนั้น สารีบุตรก็ยังหวังอัธยาศัยของเราอยู่ว่า
‘เราเมื่อกล่าวปฏิปทานี้ด้วยมุขไหนๆ ในธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น
จึงจักอาจถือเอาอัธยาศัยของพระศาสดาได้;’
สารีบุตรนั้นเมื่อเราไม่ให้นัย จักไม่อาจแก้ได้,
"เราจักให้นัยแก่เธอ"
เมื่อจะทรงแสดงนัย ตรัสว่า
"สารีบุตร เธอจงพิจารณาเห็นความเป็นจริงนี้."
ได้ยินว่า พระองค์ได้ทรงดำริอย่างนี้ว่า
"สารีบุตรเมื่อถือเอาอัธยาศัยของเราแก้ จักแก้ด้วยสามารถแห่งขันธ์"
ปัญหานั้นปรากฏแก่พระเถระตั้งร้อยนัย พันนัย พร้อมกับการประทานนัย.
ท่านตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทาน แก้ปัญหานั้นได้แล้ว,
ได้ยินว่าคนอื่นยกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย
ชื่อว่าสามารถเพื่อจะทันปัญญาของพระสารีบุตรเถระหามิได้.
นัยว่า เหตุนั้นแล พระเถระจึงยืนตรงพระพักตร์พระศาสดา
บันลือสีหนาทว่า
"พระเจ้าข้า เมื่อฝนตกแม้ตลอดกัลป์ทั้งสิ้น
ข้าพระองค์ก็สามารถเพื่อจะนับ แล้วยกขึ้นซึ่งคะแนนว่า
‘หยาดน้ำทั้งหลายตกในมหาสมุทรเท่านี้หยาด,
ตกบนแผ่นดินเท่านี้หยาด,
บนภูเขาเท่านี้หยาด."
แม้พระศาสดาก็ตรัสกะท่านว่า
"สารีบุตร เราก็ทราบความที่เธอสามารถจะนับได้."
ชื่อว่าข้ออุปมาเปรียบด้วยปัญญาของท่านนั้น ย่อมไม่มี.
เหตุนั้นแล ท่านพระสารีบุตร จึงกราบทูลว่า:-
"ทรายในแม่น้ำคงคา พึงสิ้นไป
น้ำในห้วงน้ำใหญ่ พึงสิ้นไป
ดินในแผ่นดิน พึงสิ้นไป
การแก้ปัญหาด้วยความรู้ของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไปด้วยคะแนน."
**********
มีคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้เป็นที่พึ่งของโลก
ก็ถ้าว่า เมื่อข้าพระองค์แก้ปัญหาข้อหนึ่งแล้ว"
"บุคคลพึงใส่ทรายเมล็ดหนึ่ง
หรือหยาดน้ำหยาดหนึ่ง หรือดินร่วนก้อนหนึ่ง
เมื่อข้าพระองค์แก้ปัญหาร้อย หรือพัน หรือแสนข้อ
พึงใส่คะแนนทั้งหลายมีทรายเป็นต้น
ทีละหนึ่งๆ ณ ส่วนข้างหนึ่งในแม่น้ำคงคา,"
"คะแนนทั้งหลายมีทรายเป็นต้นในแม่น้ำคงคาเป็นต้น
พึงถึงความสิ้นไปเร็วกว่า: การแก้ปัญหาของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไป."
**********
ภิกษุแม้มีปัญญามากอย่างนี้
ก็ยังไม่เห็นเงื่อนต้น หรือเงื่อนปลาย
แห่งปัญหาที่พระศาสดาถามแล้วในพุทธวิสัย
ต่อตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทานแล้ว จึงแก้ปัญหาได้.
ภิกษุทั้งหลายฟังดังนั้นแล้ว สนทนากันว่า
"แม้ชนทั้งหมด อันพระศาสดาตรัสถามปัญหาใด ไม่อาจแก้ได้,
พระสารีบุตรเถระผู้เป็นธรรมเสนาบดีผู้เดียวเท่านั้น แก้ปัญหานั้นได้."
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้วตรัสว่า
"สารีบุตรแก้ปัญหา ที่มหาชนไม่สามารถจะแก้ได้ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้;
แม้ในภพก่อน เธอก็แก้ได้แล้วเหมือนกัน"
ดังนี้แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสชาดก "ปโรสหัสสชาดก"
(ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๓๒.) นี้โดยพิสดารว่า:
"แม้จะมีผู้มาประชุมกันตั้งพันกว่า
พวกเหล่านั้นก็ไม่มีปัญญา พึงคร่ำครวญไปตั้ง ๑๐๐ ปี
บุรุษผู้มีปัญญารู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าวแล้ว
ผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า" ดังนี้.
**********
(ที่มา : อรรถกถา เล่ม ๔๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 287)
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา