20 ม.ค. 2023 เวลา 12:54 • ไลฟ์สไตล์

๏ ปริเฉทที่ ๒๕

อัครสาวกนิพพานปริวรรต
พระสารีบุตรปรินิพพาน
**********
~ พระสารีบุตรสงเคราะห์มารดา ~
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกจากหมู่บ้านเวฬุวะ
ทรงดำริว่า เราจะไปเมืองสาวัตถี
แล้วเสด็จไปเมืองสาวัตถีโดยลำดับ แล้วเสด็จไปพระเชตวัน.
พระธรรมเสนาบดี แสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วไปที่พักกลางวัน.
เพื่อนเหล่าอันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว
ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่นหนัง
ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ.
ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผล
สมาบัตินั้น ตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า
"พระพุทธเจ้าทั้งหลายจักปรินิพพานก่อนหรือหนอ
หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน"
แต่นั้นรู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน
แล้วจึงตรวจดูอายุสังขารของตน.
รู้แล้วว่า อายุสังขารของเราจักเป็นไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น
จึงคิดว่า เราจะปรินิพพานที่ไหน.
ลำดับนั้นจึงคิดแล้วคิดอีกว่า พระราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์พิภพ
พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ปรินิพพานที่สระฉัททันต์
เราจะปรินิพพานที่ไหน ดังนี้
จึงเกิดความสังเวชปรารภมารดาว่า
มารดาของเราก็เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์
ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เลย
ท่านมีอุปนิสัยหรือไม่หนอ ได้เห็นอุปนิสัยแห่งพระโสดาปัตติมรรค
จึงตรวจดูว่า จักบรรลุด้วยเทศนาของใคร
ทราบว่า จักบรรลุด้วยธรรมเทศนาของเราเท่านั้น มิใช่ของใครอื่น
ก็ถ้าเราพึงขวนขวายน้อย ก็จักมีคนกล่าวกับเราว่า
พระสารีบุตรเถระ เป็นที่พึ่งของคนที่เหลือทั้งหลาย
บัดนี้ ท่านไม่อาจที่จะเปลื้องแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาของตนได้
จริงอย่างนั้น ในวันแสดง "สมจิตตสูตร" ของท่าน
เทวดาพันโกฏิ บรรลุพระอรหัต
เทวดาที่แทงตลอดมรรคทั้ง ๓ ก็นับไม่ถ้วน
ปรากฏการตรัสรู้ในที่อื่น ๆ อีกมาก
และตระกูลแปดหมื่นทำใจให้เลื่อมใสในพระเถระ
ก็ได้เกิดในสวรรค์ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องมารดาจากความ
เห็นผิดแล้วปรินิพพานในห้องที่เกิดนั่นแหละ
**********
~ พระสารีบุตรถวายบังคมลา ~
จึงคิดแล้วว่า วันนี้เทียว
เราจะขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วออกไป ดังนี้
จึงเรียกพระจุนทเถระมาว่า
"จุนทะ เธอจงให้สัญญาแก่ภิกษุบริษัท ๕๐๐ รูปของเราว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลายจงถือเอาบาตรและจีวรไป
พระธรรมเสนาบดี ประสงค์จะไปบ้านนาฬกะ"
พระเถระก็ได้ทำอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลายจึงเก็บเสนาสนะ
ถือบาตรและจีวร ไปสำนักพระเถระ.
พระเถระเก็บเสนาสนะ กวาดที่พักกลางวัน
และยืนที่ประตูที่พักกลางวัน ตรวจดูที่พักกลางวัน
คิดว่า บัดนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีการมาอีกแล้ว
มีภิกษุ ๕๐๐ รูป แวดล้อมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตข้าพระองค์
ขอพระสุคตเจ้าทรงอนุญาต นี้เป็นกาลปรินิพพานของข้าพระองค์
อายุสังขารข้าพระองค์ปลงลงแล้ว
ก็เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสว่า เธอจงปรินิพพาน
ก็จะกลายเป็นสรรเสริญความตาย
เมื่อตรัสว่า เธออย่าปรินิพพาน คนผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็จะยกโทษว่า
กล่าวสรรเสริญคุณของวัฏฏะ
ฉะนั้น จึงไม่ตรัสคำแม้ทั้งสอง
เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า เธอจักปรินิพพานที่ไหน สารีบุตร.
เมื่อ พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักปรินิพพานในห้องที่ข้าพระองค์เกิดในบ้านนาฬกะ
แคว้นมคธนั้น
จึงตรัสว่า สารีบุตร เธอจงสำคัญเวลาในบัดนี้
ก็การเห็นภิกษุเช่นเธอ ของภิกษุผู้เป็นทั้งพี่และน้อง
ของเธอจักหาได้ยากในบัดนี้ เธอจงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น.
พระเถระรู้แล้วว่า พระศาสดาทรงหวังเฉพาะการแสดงธรรมที่ขึ้นต้น
ด้วยการแสดงฤทธิ์ของเรา
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเหาะขึ้นไปประมาณชั่วต้นตาล
เหาะลงแล้วถวายบังคมพระบาทพระทศพล
และเหาะขึ้นไปประมาณสองชั่วลำตาลอีกลงแล้ว
ถวายบังคมพระบาทพระทศพล
แล้วเหาะขึ้นไปประมาณเจ็ดชั่วลำตาลโดยทำนองนี้
แสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง แล้วปรารภธรรมกถา.
พระเถระกล่าวธรรมกถาด้วยกายที่ปรากฏบ้าง
ไม่ปรากฏบ้าง ด้วยการเบื้องบน เบื้องล่าง หรือครึ่งกาย
บางทีก็แสดงเป็นรูปพระจันทร์โดยไม่มีใครเห็น
บางครั้งก็เป็นรูปพระอาทิตย์ บางครั้งก็เป็นรูปภูเขา
บางทีก็เป็นรูปทะเล บางทีก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
บางทีก็เป็นเวสวัณมหาราช บางทีก็เป็นท้าวสักกมหาราช
บางทีก็เป็นท้าวมหาพรหม
เมื่อแสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง อย่างนี้
พระเถระจึงกล่าวธรรมกถา ชาวพระนครทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว
พระเถระเหาะลงแล้ว ได้ยืนถวายบังคมพระบาทพระทศพล.
ลำดับนั้น พระศาสดา ได้ตรัสกะพระเถระนั้นว่า สารีบุตร
ธรรมปริยายนี้ ชื่ออะไร.
สารีบุตร : ชื่อ สีหนิกีฬิตะ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา : สารีบุตร เอาเถิด ธรรมปริยายนี้ ชื่อว่า สีหนิกีฬิตะ
สารีบุตร เอาเถิด กระบวนธรรมนี้ชื่อว่า สีหนิกีฬิตะ.
พระเถระได้เหยียดมือมีสีดังครั่งสด แล้วจับที่ข้อพระบาท
เช่นกับลายเต่าทอง ของพระศาสดา พลางกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์บำเพ็ญบารมีมาหนึ่งอสงไขย
กำไรแสนกัป ก็เพื่อถวายบังคมพระบาททั้งสองนี้ของพระองค์
มโนรถของข้าพระองค์ถึงที่สุดแล้ว
บัดนี้ แต่นี้ไปการประชุมกันในที่เดียวกันด้วยอำนาจ
ปฏิสนธิจะมิได้มีอีกแล้ว สมาคมก็จะมิได้มี ความคุ้นเคยกันได้ขาดแล้ว
ข้าพระองค์จักเข้าเมือง คือ พระนิพพาน
ที่ไม่แก่ ไม่ตาย เกษม มีสุข เย็นสนิท ไม่มีภัย
ที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์เข้าไปแล้ว
ถ้าว่า พระองค์ไม่ทรงชอบพระทัย โทษไร ๆ ของข้าพระองค์
ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจา ขอพระองค์ทรงอดโทษนั้นด้วย
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นี้เป็นการไปของข้าพระองค์แล้ว.
พระศาสดา : สารีบุตร เราอดโทษต่อเธอ ก็โทษไร ๆ ของเธอที่เป็นไปทาง
กาย หรือทางวาจา ที่ไม่ชอบใจเราไม่มีเลย สารีบุตร บัดนี้เธอจงสำคัญ
กาลอันควรเถิด.
เมื่อท่านพระสารีบุตรพอถวายบังคมพระบาทพระศาสดา
ลุกขึ้นในลำดับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว
แผ่นดินใหญ่แม้ที่กำหนดนับด้วยภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล
ภูเขาหิมพานต์ และภูเขาบริภัณฑ์ ร้องขึ้นพร้อมกันดุจกล่าวว่า
เราไม่อาจจะทรงกองแห่งพระคุณนี้ไว้ได้ในวันนี้ ได้ไหวแล้ว
จนถึงน้ำเป็นที่สุด เทพมโหระทึกในอากาศก็บรรเลงขึ้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว
ให้ฝนโบกขรพรรษตกแล้ว.
**********
พระศาสดาทรงดำริว่า
เราจักให้พระธรรมเสนาบดีแสดงโดยเฉพาะ ดังนี้แล้ว
จึงทรงลุกขึ้นจากที่ฟังธรรม เสด็จมุ่งหน้าต่อพระคันธกุฎี
ได้ประทับยืนบนแผ่นแก้ว.
พระเถระทำประทักษิณ ๓ ครั้งแล้ว ถวายบังคมในที่ ๔ แห่ง
กราบทูลแล้วว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เลยไปหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัปแต่กัปนี้ไป
ข้าพระองค์หมอบลงที่ใกล้พระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ปรารถนาเห็นพระองค์
ความปรารถนาของข้าพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว
เป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
การได้เห็นพระองค์ไม่ได้มีอีกแล้ว ดังนี้
แล้วประคองอัญชลี ซึ่งรุ่งเรืองด้วยการประชุมแห่งนิ้วทั้งสิบ
หันหน้าเฉพาะตราบเท่าที่ที่จะเห็นได้
ถอยกลับแล้วถวายบังคมแล้วหลีกไป.
มหาปฐพีไม่อาจจะทรงไว้ได้ ไหวจนถึงน้ำรองรับแผ่นดิน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุที่ยืนแวดล้อมว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงติดตามพี่ชายของพวกเธอเถิด
ขณะนั้น บริษัท ๔ ละพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไว้พระองค์เดียวในพระเชตวัน ออกไปไม่เหลือเลย.
**********
~ มหาชนอาลัยพระเถระ ~
ฝ่ายชาวพระนครสาวัตถี พากันพูดว่า
ข่าวว่า พระสารีบุตรเถระทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ประสงค์จะปรินิพพานออกไปแล้ว พวกเราจะไปเยี่ยมท่าน
พากันถือเอาของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น
ออกไปจนแน่นประตูเมือง สยายผม ร้องไห้ คร่ำครวญ
โดยนัยเป็นต้นว่า บัดนี้พวกเราเมื่อถามว่า ท่านผู้มีปัญญามากนั่งที่ไหน
พระธรรมเสนาบดีนั่งที่ไหน ดังนี้ จะไปสำนักของใคร
จะไปวางสักการะในมือของใคร
พระเถระหลีกไปแล้ว จึงได้ติดตามพระเถระ.
พระเถระเพราะความที่ตนดำรงอยู่ในปัญญามาก คิดแล้วว่า
ทางนี้คนทั้งหมดไม่ควรก้าวเลยมา
แล้วโอวาทมหาชนว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย แม้พวกท่านจงหยุด
อย่าถึงความประมาทในพระทศพลเลย แล้วให้หมู่ภิกษุกลับ
หลีกไปกับบริษัทของตน.
พวกมนุษย์เหล่าใดต่างคร่ำครวญว่าครั้งก่อน
พระผู้เป็นเจ้าเที่ยวจารึกไปแล้วก็กลับมา
บัดนี้ การไปนี้เป็นการไปเพื่อไม่กลับมาอีก
จึงพากันติดตามอยู่อย่างนั้น.
พระเถระกล่าวกะมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย
พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท
ชื่อว่า สังขารทั้งหลายย่อมเป็นอย่างนี้ จึงให้กลับแล้ว.
ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรทำการสงเคราะห์พวกมนุษย์ตลอดเจ็ดวัน
ในระหว่างทางพักแรมคืนเดียว ในที่ทุกแห่ง ถึงบ้านนาฬกะเวลาเย็น
ได้ยืนที่โคนต้นนิโครธใกล้ประตูบ้าน.
**********
ลำดับนั้น หลานของพระเถระ ชื่อว่า อุปเรวตะ ไปนอกบ้าน
ได้เห็นพระเถระแล้ว จึงเข้าไปยืนไหว้อยู่แล้ว.
พระเถระจึงกล่าวกับเขาว่า ยายของเธออยู่ในเรือนหรือ.
อุปเรวตะ : ครับ ท่านผู้เจริญ.
พระสารีบุตร : เธอจงไปบอกว่าเรามาที่นี้.
เมื่อยายกล่าวว่า มาเพราะเหตุอะไร?
จงกล่าวว่า ข่าวว่า พระเถระจะอยู่ในบ้านตลอดวันหนึ่งในวันนี้
ท่านจงจัดแจงห้องที่พระเถระเกิด
และข่าวว่า ท่านจงรู้ที่เป็นที่อยู่ของภิกษุ ๕๐๐ รูป.
เขาไปแล้วบอกว่า ยาย ลุง ของผมมาแล้ว.
ยาย : เวลานี้ อยู่ที่ไหน.
อุปเรวตะ : ประตูบ้าน.
ยาย : มีใครอื่นมาบ้างไหม.
อุปเรวตะ : มีภิกษุ ๕๐๐ รูป.
ยาย : มาทำไม.
เขาบอกความเป็นไปนั้น.
นางพราหมณี คิดอยู่ว่า ลูกชายเราทำไม?
จึงให้เตรียมที่อยู่แก่พวกภิกษุเท่านี้ ท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่ม
ตอนแก่อยากจะสึกละกระมัง จึงให้จัดแจงห้องคลอด
ให้ทำที่เป็นที่พักของภิกษุ ๕๐๐ รูป
ให้จุดเทียนและตะเกียงส่งไปถวายพระเถระ ๆ
พร้อมกับพวกภิกษุขึ้นปราสาทเข้าไปนั่งยังห้องคลอด
พอนั่งลงแล้วก็ส่งพวกภิกษุไปว่า พวกท่านจงไปพักผ่อนกันเถิด
พอพวกภิกษุไปแล้วเท่านั้น อาพาธอย่างกล้าก็เกิดขึ้นแก่พระเถระ
เวทนาปางตายเพราะถ่ายเป็นโลหิต
ต้องเอาภาชนะหนึ่งเข้าไป (รองรับ) เอาภาชนะหนึ่งออกมา.
นางพราหมณี คิดว่า เราไม่ชอบใจความเป็นไปแห่งบุตรของเราเลย
ได้ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน.
**********
~ ท้าวมหาราชทั้ง๔ ท้าวสักกะ ท้าวมหาพรหม มาเยี่ยมพระเถระ ~
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูอยู่ว่า พระธรรมเสนาบดีอยู่ที่ไหน?
เห็นแล้วว่า นอนบนเตียงเป็นที่ปรินิพพาน.
ในห้องที่ตนคลอดในบ้านนาฬกะ พวกเราจักไปเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย
มาแล้วได้ ยืนไหว้อยู่แล้ว.
สารีบุตร : พวกท่านเป็นใคร.
มหาราช : เป็นท้าวมหาราชขอรับ.
สารีบุตร : มาเพราะเหตุไร.
มหาราช : จักบำรุงท่านผู้เป็นไข้.
สารีบุตร : ช่างเถิด ผู้บำรุงเราผู้เป็นไข้มีอยู่ พวกท่านจงไปเถิด แล้วได้ส่งไป
คล้อยหลังท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไปแล้ว
ท้าวสักกะจอมเทพก็มาแล้วโดย
นัยนั้นนั่นแหละ
ก็เมื่อท้าวสักกะไปแล้ว
ท้าวมหาพรหมก็มา พระเถระก็ได้ส่งท่านเหล่านั้นไป
เหมือนอย่างนั้นนั่นแล.
เมื่อนางพราหมณี เห็นพวกเทวดาพากันมาจึงคิดว่า
เทวดาเหล่านี้ ไหว้บุตรของเราแล้วก็ไป
เพราะเหตุอะไรหนอแล ?
จึงไปยังประตูห้องพระเถระแล้วถามว่า
พ่อจุนทะมีความเป็นไปอย่างไร.
พระจุนทะ บอกความเป็นไปนั้นแล้วจึงเรียนพระเถระว่า
ท่านผู้เจริญ มหาอุบาสิกมา.
พระเถระจึงถามว่า เพราะเหตุไรจึงมาในเวลาไม่เหมาะ.
นางจึงกล่าวว่า พ่อ แม่มาเพื่อเยี่ยมลูก
แล้วจึงถามว่า พ่อ พวกใครมาก่อน?
**********
~ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหมือนเด็กวัด ~
สารีบุตร : ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มหาอุบาสิกา
มารดา : เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือพ่อ.
สารีบุตร : อุบาสิกา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหมือนเด็กวัด ตั้งแต่พระศาสดา
ของพวกเราถือปฏิสนธิ ก็ถือพระขรรค์ รักษาแล้ว.
**********
~ ท้าวสักกะ ก็เช่นเดียวกับสามเณร ~
มารดา : พ่อ คล้อยหลังท้าวมหาราชไปแล้วใครมาเล่า.
สารีบุตร : ท้าวสักกะจอมเทพ.
มารดา : เจ้าใหญ่กว่าจอมเทพหรือ พ่อ.
สารีบุตร : อุบาสิกา ท้าวสักกะก็เช่นเดียวกับสามเณรผู้ถือสิ่งของ
เวลาที่พระศาสดาของพวกเรา เสด็จลงจากดาวดึงสพิภพ
ก็ได้ถือบาตรจีวรตามลงมา.
**********
มารดา : พ่อ หลังจากที่ ท้าวสักกะนั้นไปแล้ว ดูเหมือนสว่างไสว ใครมา.
สารีบุตร : อุบาสิกา นั่นก็คือมหาพรหม ผู้เป็นพระเจ้าและศาสดาของโยม.
มารดา : พ่อยังใหญ่กว่ามหาพรหมพระเจ้าของโยมหรือ.
สารีบุตร : ใช่ อุบาสิกา เล่ากันมาว่า ชื่อว่ามหาพรหม ๔ เหล่านั้น วันที่
พระศาสดาของพวกเราประสูติ เอาข่ายทองรองรับพระมหาบุรุษ.
**********
~ มารดาบรรลุพระโสดาบัน ~
ขณะนั้น เมื่อนางพราหมณีคิดว่า เพียงลูกของเรายังมีอานุภาพเท่านี้
พระศาสดาซึ่งเป็นพระเจ้าของลูกเราจักมีอานุภาพขนาดไหนหนอ
พลันปีติ ห้าอย่าง เกิดขึ้นแผ่ไปทั่วสรีระ.
พระเถระคิดว่า ปีติโสมนัสเกิดขึ้นแล้วแก่มารดาเที่ยว
บัดนี้เป็นเวลาสมควรแสดงธรรม
จึงกล่าวว่า มหาอุบาสิกา ท่านกำลังคิดอะไร?
มารดา : พ่อ แม่กำลังคิดถึงเหตุนี้ว่า เพียงลูกเรายังมีคุณถึงเพียงนี้
แล้วศาสดาของลูกนั้นจะขนาดไหน.
สารีบุตร : มหาอุบาสิกาในขณะที่พระศาสดาของอาตมาประสูติ
ในขณะเสด็จออกผนวช ในขณะตรัสรู้ และในขณะประกาศธรรมจักร
หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวแล้ว
ขึ้นชื่อว่าผู้ที่เสมอด้วยศีลสมาธิ
ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะไม่มี
แล้วก็แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระคุณของพระพุทธเจ้า
ที่ขยายให้พิสดารว่า แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น ดังนี้ เป็นต้น.
เวลาจบธรรมเทศนาของพระสารีบุตร (ลูกรัก)
นางพราหมณี ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว
**********
~ พระสารีบุตรปรินิพพาน ~
นางพราหมณี จึงกล่าวกับลูกว่า
พ่ออุปติสสะ ทำไม พ่อจึงทำอย่างนี้
พ่อไม่ได้ให้อมตธรรมเห็นปานนี้ แก่แม่ตลอดกาลเท่านี้.
พระเถระคิดว่า บัดนี้เราให้เท่านี้ก็ควรแก่มารดาแล้ว
ค่าเลี้ยงดู สำหรับแม่พราหมณีสารี จักควรด้วยเหตุเท่านี้
จึงกล่าวว่า มหาอุบาสิกา ท่านจงไปเถิด
ส่งนางพราหมณีไป
จึงกล่าวว่า จุนทะ เวลาเท่าไร.
จุนทะ : จวนสว่างแล้ว ขอรับ.
สารีบุตร : เธอจงประชุมภิกษุสงฆ์.
จุนทะ : ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอรับ.
สารีบุตร : เธอจงประคองเราให้นั่ง จุนทะ.
พระจุนทะ ประคองให้นั่งแล้ว.
พระเถระจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่าอาวุโส
เมื่อพวกท่านทั้งหลายเที่ยวไปกับผมตลอด ๔๔ ปี
กรรมใดของผมที่เป็นไปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี
ซึ่งพวกท่านไม่ชอบใจ ขอให้พวกท่านจงอดโทษแก่ผมด้วย.
ภิกษุ : ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่มีแก่พวกข้าพเจ้า
ผู้ไม่ละท่านเที่ยวไป ดุจเงาของท่าน ตลอดกาลเท่านี้.
แต่ว่า ขอท่านจงอดโทษให้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด.
ลำดับนั้น พระเถระดึงมหาจีวรมาปิดหน้า นอนโดยข้างขวา
เข้าสมาบัติ ๙ ตามลำดับสมาบัติทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม
เหมือนพระศาสดา แต่ว่าเข้าตั้งต้นแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ให้มหาปฐพีสั่นสะเทือนในทันใดนั้นเอง
ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
อุบาสิกาคิดว่า ลูกของเราไม่กล่าวอะไรเลยหรือหนอ
ลุกขึ้นนวดหลังเท้ารู้ว่าปรินิพพานแล้ว เปล่งเสียงดังหมอบที่เท้า
กล่าวว่า พ่อพวกเราไม่รู้คุณของพ่อ ก่อนแต่นี้
ก็บัดนี้แม่ไม่ได้เพื่อนิมนต์ภิกษุหลายร้อยหลายพัน หลายแสน
ตั้งต้นแต่พ่อให้นั่งฉันในนิเวศน์นี้ ไม่ได้เพื่อให้นุ่งห่มด้วยจีวร
ไม่ได้เพื่อให้สร้างวิหารเป็นพัน
ดังนี้ คร่ำครวญอยู่แล้ว จนถึงอรุณขึ้น.
**********
~ วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตเรือนยอดห้าร้อย ~
เมื่ออรุณพอขึ้นเท่านั้น นางก็ให้เรียกช่างทองมาให้เปิดห้องเก็บทอง
ให้ชั่งด้วยตาชั่งใหญ่ ส่งไปด้วยกล่าวว่า
พ่อทั้งหลาย จงทำเรือนยอดห้าร้อย เรือนต้อนรับแขกห้าร้อย.
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสว่า
พ่อพระธรรมเสนาบดี ปรินิพพานแล้ว
พ่อจงเนรมิตเรือนยอดห้าร้อย เรือนต้อนรับแขกห้าร้อย.
เรือนที่มหาอุบาสิกาให้สร้างแล้ว
รวมกับที่พระวิษณุกรรมเนรมิตเข้าด้วยกัน เป็นสองพัน ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น คนทั้งหลายจึงให้สร้างมหามณฑปล้วนด้วยของสาระ
วางเรือนยอดใหญ่ไว้ท่ามกลางมณฑป
แล้ววางของที่เหลือโดยสังเขปว่าเป็นบริวาร
ปรารภการเล่นอย่างดีระหว่างพวกเทวดาได้มีเหล่ามนุษย์
ระหว่างเหล่ามนุษย์ได้มีพวกเทวดา.
อุปัฏฐายิกาของพระเถระคนหนึ่งชื่อ เรวดี
คิดว่า เราจักบูชาพระเถระ จึงให้ทำเสาดอกไม้ทอง ๓ ต้น.
ท้าวสักกเทวราชคิดว่า เราจักบูชาพระเถระ
มีนักฟ้อนสองโกฏิห้าแวดล้อม เสด็จลงแล้ว.
มหาชนหันหน้ากลับด้วยคิดว่า ท้าวสักกะเสด็จลง.
แม้อุบาสิกานั้นในที่นั้นถอยกลับอยู่ เพราะมีภาระหนัก
ไม่อาจจะถอยไป ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
ล้มลงแล้วในระหว่างพวกมนุษย์.
พวกมนุษย์ไม่เห็นอยู่ได้เหยียบอุบาสิกานั้นแหละไปแล้ว
นางตายในที่นั้น เกิดในวิมานทอง ภพชั้นดาวดึงส์.
ขณะที่เกิดนั่นเทียว นางได้มีอัตภาพ ๓ คาวุตโดยประมาณ
เหมือนท่อนแก้ว นางประดับด้วยเครื่องประดับประมาณเต็มหกสิบเล่มเกวียน
มีนางฟ้าพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว.
นางฟ้าทั้งหลาย จึงวางกระจกสำหรับกายทั้งหมด
อันเป็นทิพย์ไว้ข้างหน้านาง.
นางเห็นสิริสมบัติของตน คิดอยู่ว่า เราทำกรรมอะไรหนอ
ด้วยสมบัติอันมาก ได้เห็นแล้วว่า เราได้ทำการบูชาพระเถระ
ด้วยเสาดอกไม้ทองสามต้น ในที่ปรินิพพานของพระสารีบุตรเถระ
มหาชนเหยียบเราแล้ว แต่นั้นเราได้ตายในที่นั้น
เกิดแล้วในที่นี้ เราจะกล่าวผลบุญที่เราอาศัยพระเถระ
ได้แล้วในบัดนี้แก่พวกมนุษย์ จึงลงมาพร้อมทั้งวิมานทีเดียว.
มหาชนเห็นแต่ไกล แลดูสำคัญอยู่ว่า ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นสองดวงหรือหนอ
เมื่อวิมานมาอยู่ ลักษณะเรือนยอดก็ปรากฏ.
กล่าวกันแล้วว่า นี่มิใช่ดวงอาทิตย์ นั่นเป็นวิมานหลังหนึ่ง.
แม้วิมานนั้น มาแล้วในขณะนั้น ลอยอยู่เหนือเชิงตะกอนไม้ของพระเถระ.
เทพธิดา จึงหยุดวิมานไว้ในอากาศนั่นแล แล้วลงมาสู่แผ่นดิน.
มหาชนถามแล้วว่า ผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นใคร.
เราชื่อนางเรวดี บูชาพระเถระด้วยเสาประดับด้วยดอกไม้ทอง ๓ ต้น
ถูกพวกมนุษย์เหยียบแล้วตายไป เกิดในดาวดึงสพิภพ
เชิญท่านทั้งหลายดูสิริสมบัติของเรา
บัดนี้ ถึงพวกท่านก็จงให้ทานทำบุญเถิด.
ครั้นนางกล่าวสรรเสริญการทำกุศล
แล้วประทักษิณเชิงตะกอนพระเถระแล้ว
ได้ไปเทวสถานของตนนั่นเทียว.
ฝ่ายมหาชนเล่นอย่างเรียบร้อยอยู่ ๗ วันแล้ว
ได้ทำเชิงตะกอนด้วยของหอมทั้งปวง.
เชิงตะกอนประกอบด้วยแก้ว ๙๙ ชนิด.
คนทั้งหลาย จึงยกสรีระของพระเถระขึ้นเชิงตะกอนแล้ว
เผาด้วยกำหญ้าแฝก การฟังธรรมย่อมเป็นไปตลอดราตรีทั้งหมดในป่าช้า.
พระอนุรุทธเถระจึงเอาน้ำหอมทุกชนิดดับเชิงตะกอนพระเถระ.
พระจุนทเถระใส่ธาตุลงในผ้ากรองน้ำแล้ว
คิดว่า บัดนี้เราไม่อาจจะเก็บไว้ที่นี้ได้
จักกราบทูลว่า พระสารีบุตรผู้เป็นธรรมเสนาบดี
พี่ชายของเราปรินิพพานแล้ว แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ถือเอาผ้ากรองน้ำที่ห่อธาตุและบาตรจีวรพระเถระไปเมืองสาวัตถี.
และไม่พักเกิน ๒ คืนในที่หนึ่ง ๆ ถึงเมืองสาวัตถี
ด้วยการอยู่ที่ละคืนหนึ่งในที่ทั้งปวงนั่นเทียว.
**********
ครั้งนั้น สามเณรจุนทะถือเอาบาตรและจีวรของท่านพระสารีบุตร
เข้าไปหาพระอานนท์ยังพระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี
นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว
นี้บาตรและจีวรของท่าน.
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสจุนทะ
นี้เป็นมูลเรื่องที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่
มาไปกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระองค์.
สามเณรจุนทะรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว.
**********
~ คุณของพระสารีบุตร ~
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กับสามเณรจุนทะ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ฝ่ายพระเถระ (พระอานนท์) ก็กราบทูลชี้แจงเฉพาะอย่าง ๆ ทีเดียวว่า
นี้บาตรจีวรของท่าน และนี้ผ้ากรองน้ำห่อธาตุของท่าน.
พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ รับเอาผ้ากรองน้ำห่อธาตุ
วางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใดวันก่อนทำปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง
ขออนุญาตปรินิพพาน
บัดนี้ ธาตุทั้งหลายเปรียบด้วยสีสังข์เหล่านี้ของเธอปรากฏอยู่
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้บำเพ็ญบารมีมาหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัป
ให้ธรรมจักรที่เราให้เป็นไปเป็นแล้ว เธอเป็นผู้สอนองค์ที่สองที่เราได้เฉพาะ
เป็นผู้ให้สาวกสันนิบาตครบ ภิกษุนี้เว้นเราเสีย
หาผู้เสมอด้วยปัญญาในหมื่นจักรวาลไม่ได้
เธอมีปัญญามาก
มีปัญญาหนาแน่น
มีปัญญากล่าวให้บันเทิงได้
มีปัญญาแล่นไปเร็ว
มีปัญญากล้า
มีปัญญาในการแทงตลอด
เธอมีความปรารถนาน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลี
ปรารภความเพียร เป็นผู้ตักเตือน ติเตียนความชั่ว
เธอละมหาสมบัติที่ได้แล้วโดยเฉพาะ
บวชแล้วห้าร้อยชาติ มีความอดทนเสมอด้วยแผ่นดินในศาสนาของเรา
เช่นกับโคอุสภะที่มีเขาขาด มีจิตอ่อนโยน เช่นบุตรคนจัณฑาล
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูธาตุของผู้มีปัญญามาก
มีปัญญาหนาแน่น มีปัญญากว้าง มีปัญญาแล่นไปเร็ว มีปัญญากล้าแข็ง
มีปัญญาแห่งผู้ควรแทงตลอด ผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ สงัด
ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร ผู้ตักเตือนติเตียนความชั่ว.
"สารีบุตรใด ละกามทั้งหลายอันเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
บวชแล้วห้าร้อยชาติ พวกเธอจงไหว้พระสารีบุตรนั้น
ผู้ปราศจากราคะ มีอินทรีย์สำรวมดีแล้ว ปรินิพพานแล้วเถิด"
"สารีบุตรใด มีความอดทนเป็นกำลัง เสมอด้วยแผ่นดิน
ย่อมไม่หวั่นไหวทั้งไม่เป็นไปในอำนาจจิต
ด้วยมีความอนุเคราะห์ เป็นผู้ประกอบด้วยกรุณา ปรินิพพานแล้ว"
"พวกเธอจงไหว้สารีบุตรนั้นเถิด.
ลูกคนจัณฑาล เข้าไปพระนครแล้วมีใจเจียมตัว
ถือกระเบื้องเที่ยวไป ฉันใด
สารีบุตรนี้ก็อยู่ ฉันนั้น พวกเธอจงไหว้
สารีบุตรผู้ปรินิพพานแล้วเถิด"
"ก็โคอุสภะตัวมีเขาและหูขาดแล้วไม่เบียดเบียน
เที่ยวไปภายในเมืองฉันใด
สารีบุตรนี้ก็อยู่ฉันนั้น พวกเธอจงไหว้สารีบุตร
ผู้ปรินิพพานแล้วเถิด"
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญพระเถระ
ด้วยพระคาถาห้าร้อยด้วยประการฉะนี้
**********
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญคุณพระเถระ (พระสารีบุตร)
โดยประการใด ๆ พระเถระ (พระอานนท์)
ก็ไม่อาจจะดำรงอยู่โดยประการนั้น ๆ
หวั่นไหว เหมือนไก่ วิ่งไปข้างหน้าแมว ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระอานนทเถระ
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมงมไป
แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์
แม้ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์
เพราะได้ฟังว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว.
**********
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์
สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์
หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปรินิพพานไปด้วยหรือ.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า
ท่านพระสารีบุตรมิได้พาศีลขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ฯลฯ
มิได้พาวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปรินิพพานไปด้วย.
ก็แต่ว่าท่านพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวสอนให้รู้ชัดแสดงให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม
อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
ข้าพระองค์ทั้งหลายมาตามระลึกถึงโอชะแห่งธรรม
ธรรมสมบัติและการอนุเคราะห์ด้วยธรรมนั้นของท่านพระสารีบุตร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้น
เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า
จักต้องมีความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น.
จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักชอบใจนี้แต่ที่ไหน.
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น ตั้งอยู่
ลำต้นใดซึ่งใหญ่กว่า ลำต้นนั้นพึงทำลายลง ฉันใด
เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ซึ่งมีแก่น ดำรงอยู่
สารีบุตรปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน.
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
เพราะฉะนั้นแหละ. เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อยู่อย่างไร...?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย.
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ. มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มี
สิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ.
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อยู่อย่างนี้แล.
ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี
ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
พวกภิกษุเหล่านี้นั้นที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา
จักเป็นผู้เลิศ.
**********
[ที่มา]
- อรรถกถา เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค อรรถกถาจุนทสูตร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา