ดังนั้นในปี 1962 NASA จึงได้ส่งพนักงานจัดซื้อของตนออกไปหาซื้อนาฬิกาจับเวลามาอย่างละเรือนสองเรือนเพื่อใช้ในการทดสอบแบบไม่เป็นทางการ การจัดหาก็ทำอย่างง่ายๆ
หลังจากซื้อมาแล้ว Nasa ก็ได้วิเคราะห์นาฬิกาต่างๆและนำมาลองใช้ในโครงการ Mercury จนได้ไอเดียคร่าวๆแล้ว ในปี 1964 Nasa จึงกำหนดข้อต้องการในการจัดซื้อนาฬิกาต่างๆมาทดสอบเพื่อทำการใช้ในโครงการอวกาศ Gemini และ Apollo
จากสเป็คจะเห็นได้ว่า Nasa อาจได้ลองใช้นาฬิกาหลายๆยี่ห้อแล้วติดใจใน Omega เพราะเสป็คที่ออกมาเข้ากับOmega ทุกอย่าง ในขณะนั้นยังไม่มีนาฬิกาจับเวลาแบบ auto หรือใช้ไฟฟ้าออกมา
และบางบริษัทก็ได้ปฎิเสธที่จะส่งนาฬิกาให้เนื่องจากว่าตนไม่ได้ผลิตนาฬิกาที่ตรงกับข้อกำหนดดังกล่าว การทดสอบที่ Nasa จัดขึ้นมาก็แบ่งเป็นชุดๆ หลายๆขั้นตอน พอสิ้นสุดการทดสอบแต่ละครั้ง
ต่อมาปี 1965 Mission Gemini 4 Edward White ก็ได้ใช้ Omega Speedmaster ในการจับเวลาการลอยไปลอยมาในอวกาศ (Space walk) ของตน
ดังนั้นในปี 1966 Omega จึงได้เพิ่มคำว่า PROFESSIONAL ต่อท้ายคำว่า Speedmaster บนหน้าปัดเพื่อเฉลิมฉลองการยอมรับจาก Nasa ให้ใช้ในโครงการอวกาศของตน
Neil Armstrong, Michael Collins and Edwin
ต่อมา มีแรงกดดันจากทำเนียบขาว เนื่องจากทางผู้ผลิตนาฬิกาอเมริกันไม่พอใจที่มีการใช้นาฬิกาสวิสในโครงการอวกาศของอเมริกัน และโครงการส่งคนไปบนดวงจันทร์ ทาง Nasa จึงได้มีการตอบกลับไปพร้อมผลทดสอบว่าได้ทำการทดสอบแล้วพบว่า นาฬิกาที่ผลิตในประเทศไม่ผ่านการทดสอบนี้
และแล้วในปี 1969 มนุษย์กลุ่มแรกก็ถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมด้วย Omega Speedmaster ภายใต้ภารกิจที่ชื่อ Apollo 11 ภารกิจนี้มีนักบินด้วยกันสามคนคือ Buzz Aldlin, Niel ArmStrong และ Michael Collins โดยสองคนแรกลงไปใน Lunar Module เพื่อร่อนลงบนดวงจันทร์
ส่วน Michael Collins ต้องอยู่บนยานแม่ซึ่งโคจรอยู่เหนือดวงจันทร์ ก่อนการแยกยาน นาฬิกาหลักบนยานแม่เกิดขัดข้อง Niel Armstrong จึงต้องทิ้งนาฬิกาของตนไว้บนยานแม่เพื่อใช้สำรองแทนเครื่องที่พัง
ดังนั้นคนที่ใส่นาฬิกาลงไปบนดวงจันทร์คนแรกไม่ใช่ Niel Armstrong แต่เป็น Buzz Aldlin นาฬิกาเรือนถูกใช้จับเวลาที่นักบินทั้งสองปฎิบัติการอยู่ภายนอกยานบนดวงจันทร์ นี่เป็นที่มาของตำนาน The First Watch worn on the moon น่าเสียดายอย่างยิ่งตรงที่ว่าเมื่อ
ส่วนนักบินรัสเซียอีกคนที่ชื่อ Alexandr Polishchuk ก็เลือกใช้ Omega เช่นกันแต่เป็นรุ่น Flight Master ซึ่งเป็นนาฬิกาลูกพี่ลูกน้องของ Speedmaster
Omega Seamaster Professional Diver 300M แสดงในภาพยนต์เรื่อง Golden Eye
ในปี 1995 เกิดจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Seamaster โด่งดันจนเป็นที่จับตามอง เนื่องจาก Pierce Brosnan ที่รับบทเป็นสายลับ James Bond ในขณะนั้นได้สวมใส่ Omega Seamaster Professional Diver 300M
แสดงในภาพยนต์เรื่อง Golden Eye (พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก) และแม้จะผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว Seamaster ก็ยังคงเป็นนาฬิกาที่ James Bond ได้เลือกสวมใส่มาโดยตลอด จึงทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "นาฬิกา James Bond"