16 ม.ค. 2023 เวลา 15:49 • ประวัติศาสตร์

อูโบลท์ ( HUBLOT ) ค.ศ. 1980

แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสที่ก่อตั้งโดยชาวอิตาเลียน
Hublot ก่อตั้งขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์โดยชายชาวอิตาเลียนที่ชื่อ Carlo Crocco เมื่อปี ค.ศ. 1980 เขาเป็นผู้บุกเบิกการนำเอาแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกาเพื่อใช้กับนาฬิกาตัวเรือนทองคำ
ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนเพราะใครจะคิดว่าผู้คนจะยอมรับและใส่นาฬิกาเรือนทองกับสายยางได้ แต่เขาก็ทำสำเร็จและเป็นการจุดประกายให้เกิดปรัชญา “The Art of Fusion” หรือศิลปะแห่งการผสมผสานให้กับ Hublot ได้ยึดถือปฏิบัติและเป็นแนวทางในการบุกเบิกคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ
มาใช้ในการผลิตนาฬิกามาจนถึงทุกวันนี้ ตัวเรือนของเขานั้นมีลักษณะเฉพาะและยึดด้วยสกรูว์ไทเทเนียม 12 ตัวโดยมีรูปทรงคล้ายกับช่องอากาศรูกลมด้านข้างของเรือ (Porthole) อันเป็นที่มาของชื่อ Hublot
King Power Red Devil ตัวเรือนเซรามิกดำขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนเซรามิกดำประกบฐานยาง เปิดหน้าปัดให้เห็นกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟแกะสเกเลตัน ใช้เข็มจับเวลากลางซึ่งจับเวลาได้แบบ 45 นาทีเท่ากับครึ่งของการแข่งขันฟุตบอล หลักชั่วโมงทำจากหญ้าแท้ๆ จากสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดของแมนยูฯ มีโลโก้แมนยูฯ อยู่บนหน้าปัด สายยางสีดำขลิบแถบแดง ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือน
ซึ่งก็คือ Porthole ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง ช่วงแรกในการทำแบรนด์นั้นอาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักแต่จุดพลิกผันของแบรนด์อยู่ที่การเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ Jean-Claude Biver เมื่อปี 2004 และได้สร้างคอลเลคชั่น Big Bang นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟสไตล์ร่วมสมัยขึ้นมาในปี 2005
จากนั้นก็สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้ถึง 4 เท่าตัวในปี 2006 ปัจจุบัน Biver ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ
King Power Maradona ตัวเรือน หน้าปัด ฟังก์ชั่นและเครื่องตลอดจนสาย มีลักษณะเดียวกับ King Power Red Devil แต่จะมากับการตกแต่งด้วยสีฟ้าในส่วนต่างๆ รวมถึงหลักชั่วโมง มีลายเซ็นและหมายเลขประจำตัวของมาราโดน่าอยู่บนหน้าปัด ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือน
Hublot เริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในวงการกีฬาโลกครั้งแรกเมื่อปี 2006 ด้วยการสนับสนุนทีมชาติสวิสในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ต่อด้วยการสนับสนุนฟุตบอลยูโร 2008
และดังสนั่นวงการด้วยการเข้าให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา และในปีนั้นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งธรรมเนียมในการสร้างนาฬิกาเอดิชั่นพิเศษของแบรนด์สำหรับองค์กรต่างๆ ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม
ซึ่งแน่นอนว่า รุ่นที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ Big Bang “Red Devil Bang” ที่มาพร้อมกับเคาน์เตอร์จับเวลา 45 นาที สำหรับครึ่งเวลาของการแข่งขันฟุตบอลอันเป็นนาฬิกาสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือกับแมนยูนั่นเอง
จากนั้นก็ขยายปีกไปสนับสนุนสโมสรกีฬาชื่อดังในประเภทกีฬาต่างๆ มากมายทั่วโลก อาทิ สโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม แห่งเนเธอร์แลนด์ บาร์เยิน มิวนิค แห่งเยอรมนี จูเวนตุส แห่งอิตาลี ทีมบาสเก็ตบอลไมอามี่ฮีทในอเมริกา ทีมเรือใบสัญชาติสวิส Alinghi ทีมฟอร์มูล่าวันเฟอร์รารี่
King Power Alinghi ตัวเรือนเซรามิกดำขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนเซรามิกดำประกบฐานยาง หน้าปัดกึ่งสเกเลตันเปิดให้เห็นกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟอินเฮ้าส์ Unico ที่ Hublot พัฒนาและผลิตขึ้นเอง บนหน้าปัดโดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์ Alinghi สีแดง ผลิตจำนวนจำกัด 333 เรือน
ตลอดจนรายการแข่งขันสำคัญๆ ของโลก อย่างการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ฟุตบอลโลก 2010 ฟุตบอลยูโร 2012 การแข่งเรือใบ America’s Cup อีกทั้งยังมีแอมบาสเดอร์เป็นนักกีฬาชื่อดังมากมาย
อาทิ Diego Maradona, Dwyande Wade, Usain Bolt ไปจนถึง Sir Alex Ferguson ผู้จัดการทีมแมนยู และดาราดังอย่าง Jet Li เป็นต้น
นวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ที่ทาง Hublot คิดค้นและนำมาผสมผสานบนนาฬิกาของแบรนด์นั้น มีทั้ง ยาง, เซรามิก, คาร์บอน, เคฟลาร์, ไทเทเนียม, เซอร์โคเนียม, แทนทาลัม, ทังสเตน และ แม็กนีเซียม เป็นต้น
Big Bang ตัวเรือนสตีลขนาด 44 มม. กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ สายยางสีดำ
โดยแน่นอนว่าวัสดุล้ำค่าอย่าง ทองคำ สตีล เพชรและอัญมณีก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นาฬิกาคอลเลคชั่นหลักๆ ของแบรนด์ในปัจจุบัน ได้แก่ Big Bang, King Power และ Classic Fusion
รุ่น Big Bang จะมาในตัวเรือนขนาด 44 มม. ซึ่งเรียกว่ากำลังเหมาะข้อมือ ไม่ใหญ่เกินไปสำหรับคนไทย มีทั้งแบบเครื่องออโต้ 3 เข็ม และแบบโครโนกราฟเครื่องออโต้ให้เลือก และมีตัวเรือน 38 มม. เครื่องควอตซ์สำหรับคุณผู้หญิงด้วย
ส่วน King Power นั้นจะมากับขนาดตัวเรือนที่ใหญ่กว่า Big Bang โดยมีขนาดถึง 48 มม. หลักๆ จะมากับกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ ซึ่งบางรุ่นจะใช้เครื่องอินเฮ้าส์ Unico ที่ Hublot พัฒนาและผลิตขึ้นเองด้วย
Big Bang All Carbon ตัวเรือนขนาด 44 มม. ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาสีดำเช่นเดียวกับฝาหลังและหน้าปัด สายยางสีดำประกบหนังจระเข้ที่ด้านนอก กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ
สำหรับ Classic Fusion ก็จะเป็นนาฬิกาสปอร์ตติดหรูที่มีบุคลิกเรียบร้อยกว่ารุ่นอื่นๆ มีตัวเรือน 3 ขนาด คือ 33 มม.เครื่องควอตซ์สำหรับคุณผู้หญิง 42 มม. เครื่องอัตโนมัติ และ 45 มม. ที่มีทั้งแบบเครื่องอัตโนมัติ เครื่องอัตโนมัติโครโนกราฟ และเครื่องไขลานสเกเลตัน ถ้าชอบนาฬิกาสปอร์ตแบบเนี้ยบๆ ก็ต้องเป็น Classic Fusion ครับ
(ภาพแรก)Big Bang in Red Edition (ภาพที่สอง) Classic Fusion FIFA World Cup
นาฬิกาของ HUBLOT ได้รับความนิยมและมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเรื่อยมา โดยเฉพาะในช่วงปี 2004 ถึง 2007
ปี 2004 HUBLOT มีรายได้ประมาณ 950 ล้านบาท
ปี 2007 HUBLOT มีรายได้ประมาณ 4,900 ล้านบาท
ยอดขายนาฬิกาที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ HUBLOT กลายเป็นที่สนใจของหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ แล้วปี 2008 ก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์หรูรายใหญ่ของโลก
(ภาพแรก)King Power F1 Zirconium (ภาพที่สอง)King Power F1 Zirconium
ได้เข้าซื้อกิจการ HUBLOT ด้วยมูลค่าสูงกว่า 16,000 ล้านบาท ทำให้ HUBLOT กลายเป็นแบรนด์นาฬิกาสปอร์ตหรู ภายใต้ LVMH ตั้งแต่นั้นมา
แต่ละรุ่นในแต่ละคอลเลคชั่นจะมีตัวเรือนหลากชนิดหลายคอมบิเนชั่นให้เลือกไม่ว่าจะเป็นสเตนเลสสตีลหรือทองคำดังเช่นนาฬิกาปกติ ไปจนถึงวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก ไทเทเนียม คาร์บอน เซอร์โคเนียม และแม็กนิเซียม เป็นต้น
ร่วมด้วยการผสมผสานเอาวัสดุหลากหลายชนิดมาใช้เป็นส่วนประกอบตลอดจนมีรุ่นประดับเพชรและอัญมณีชนิดต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษลิมิเต็ดเอดิชั่นอีกมากมาย เรียกว่ามีให้เลือกกันอย่างไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference อูโบลท์ ( HUBLOT ) :
โฆษณา