12 ม.ค. 2023 เวลา 16:13 • ประวัติศาสตร์
คาลวิน ไคลน์(Calvin Klein) ค.ศ.1968
แบรนด์ที่เริ่มจากอาชีพดีไซเนอร์ สู่บริษัทระดับโลก
คาลวิน ไคลน์(Calvin Klein)
คาลวิน ไคลน์(Calvin Klein)คือชื่อของดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน หลักจากที่เขาจบการศึกษาจาก Fashion Institide of Technology (FIT) เขามุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานศิลปะสายแฟชั่นในแบบฉบับของตัวเอง
งานแรกของเขาคือการไปออกแบบกระโปรงที่ทำจากวัสดุพิเศษโดยเขาตั้งชื่อว่า Whipped Cream และได้ร้องขอเงินเพิ่มจำนวน $100 สำหรับงานชิ้นนี้ เจ้านายตอบปฎิเสธ เขาจึงลาออกเพื่อมาเดินในเส้นทางสายแฟชั่นที่เขาหลงใหลต่อไป
Calvin Klein ได้รับบทบาทใหม่ในการเป็นนักออกแบบให้กับโรงงานผลิตเสื้อสูท และโค้ท Dan Millstein ที่โด่งดังในยุค 50s ซึ่ง Klein บอกว่า
Calvin Klein และ Barry Schwartz
“ผมได้เรียนรู้มากมายที่นี่ และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่ออาชีพการงาน พวกเขาจับผมโยนไปในงาน Paris Fashion Week ทันทีที่เริ่มงาน จากนั้นเขาให้สเก็ตภาพ Copy เสื้อทุกชิ้นที่เกิดขึ้นในโชว์ มันเป็นงานที่ยากมาก แต่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และ Millstein จะได้รู้ว่าตัวเขามีความสามารถแค่ไหน ผมจึงไม่ลังเลที่จะทำ”
แม้ว่า Klein จะสามารถทำได้ แต่หลังจากนั้น Klein ได้รับการติดต่อจาก Abe Morenstein เพื่อสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง ทั้งคู่มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน แต่ขาดปัจจัยด้านทุนทรัพย์
พวกเขาต้องการเงินตั้งต้นในการทำธุรกิจจำนวน $25,000 ทั้งสองจึงเลือกใช้วิธีเดินระดมทุนตามท้องถนน แต่ก็ไม่สามารถหาเงินทุนได้ และกำลังเลือกที่จะยอมแพ้ในเส้นทางสายนี้
โชคยังดีที่ Klein ได้กลับมาพบเพื่อนในวัยเด็กที่ชื่อ Barry Schwartz อีกครั้ง Barry ได้มอบเงินจำนวน $2000 ซึ่งเพียงพอต่อการตัดเสื้อ Sample ออกมาเพื่อเป็นคอลเลคชั่นตัวอย่างสำหรับโชว์ได้ทันท่วงที
Stewart and Company 721 5th Avenue. Wurts Bros. Photo. Image from the Museum of the City of New York
ทั้งคู่ร่วมมือกันได้อย่างดีในช่วงแรกแต่เมื่อ Klein ต้องการที่จะเปิดบริษัทของตัวเอง เขาจึงต้องก้าวออกมา โดยใช้ชื่อบริษัทว่า Calvin Klein Ltd ซึ่งเขามีอายุได้เพียง 25 ปี
จุดเริ่มต้นที่แสนราบรื่นของ Calvin Klein เมื่อเขาทำสินค้าสต๊อกแรกออกมา Donald O’Brien ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานห้าง Bonwit Teller ได้ไปพบกับเสื้อโค้ทของ Klein โดยบังเอิญ
เขาชื่นชอบในผลงานชิ้นนี้มาก จึงได้จัดการนัดหมายให้ Calvin Klein ไปพบกับ Mildred Custin เจ้าของร้าน Retail แห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างของเขา หลังจากการนัดพบกัน Custin ได้ทำการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของ Calvin Klein บวกกับการช่วยโปรโมตจาก Bonwit Teller สินค้าของ Klein ขายหมดอย่างรวดเร็ว
ร้าน Calvin Klein ในFairview Mall
แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของ Klein เกิดขึ้นในปี 1970 เขาใช้งบประมาณอย่างประหยัดเพียง $10,000 ในการทำโชว์ครั้งนี้ ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับงานแฟชั่นโชว์ของแบรนด์อื่น
แต่มันก็มากพอที่จะสามารถสั่นสะเทือนวงการแฟชั่นทั่วโลกได้อย่างเหลือเชื่อ นิตยสาร WWD ได้เขียนว่า “เสื้อผ้าเพียง 50 ชิ้น ทำให้ Klein กลายเป็นดีไซเนอร์ที่ทั้งโลกต้องหันมามอง” Klein สามารถทำเงินได้เพิ่มขึ้นในปีต่อมามากขึ้นเป็น $5 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อโอกาสประจวบเหมาะที่ Millstein กำลังประสบปัญหาทางการเงิน Klein จึงกว้านซื้อที่ของ Millstein เพื่อมาเป็นสำนักงานของตัวเอง Millstein ได้กล่าวว่าการที่ Klein ประสบความสำเร็จมากเท่านี้ เพราะเขาขายของที่มีราคาแพงเกินต้นทุนจริง ซึ่ง Klein ตอบกลับไปว่า
แล้วไง? ถ้าเสื้อผ้าของแบรนด์ Calvin Klein คือคำตอบสำหรับคนใส่ เขาจะสามารถขายในราคาเท่าไหร่ก็มีคนซื้ออยู่ดี
ชื่อของ Calvin Klein ยังคงแรงขึ้นต่อเนื่องเมื่อเขาได้รับรางวัลจาก Coty American Fashion Critic awards สองปีซ้อน และถูกโหวตให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Coty Hall of fame ในฐานะดีไซเนอร์อายุน้อยที่สุด ที่สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลจากวัยเพียง 33 ปี
The New York Times Archives
หลังจากนั้นเขาต้องการขยับบริษัทให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นด้วยการว่าจ้าง Hermine Mariaux ที่เคยเป็น Director ของแบรนด์ Valentino เพื่อมาช่วยอำนวยการผลิต และดูภาพรวมของแบรนด์ให้มีความเป็นสากลมากขึ้น
รวมถึงต้องเริ่มลงมือผลิตสินค้าไลน์อื่นๆ เพราะเริ่มแรก Calvin Klein มีเพียง Sportwear , Blazer และชุดชั้นใน
ในยุค 70s Calvin Klein ถือเป็นดีไซเนอร์ที่เนื้อหอมที่สุดในยุค แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ Calvin Klein กลายเป็นตำนาน นอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว
ช่วงผลัดเปลี่ยนเข้ายุค 80s การโฆษณาแบบภาพนิ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของแบรนด์ เริ่มแรกเขาได้ชวน Charles Tracy ตากล้องอิสระเพื่อมาลองถ่ายรูปกันเล่นๆ แต่กลับกลายเป็นว่าภาพของ Charles Tracy ถูกใจ Klein เป็นอย่างมาก
น้ำหอม รุ่น Obession และจ้าง Kate Moss มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้ Obession กลายเป็นรุ่นฮิตตลอดกาลจนถึงทุกวันนี้
เขาจึงได้ว่าจ้างให้ Charles มาดูในเรื่องของ Art Direction ของการถ่ายภาพนิ่งโฆษณาของแบรนด์ ในไลน์เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ ซึ่งมันได้รับกระแสที่จากตลาดเพราะการโฆษณาของเขาไม่ได้ชวนน่าเบื่ออีกต่อไปเหมือนกับแบรนด์อีกๆ ในตลาดอีกต่อไป
ธุรกิจของเขาเริ่มประสบปัญหาขาดทุนจากไลน์สินค้าประเภทน้ำหอมและเครื่องสำอาง เพราะตอนแรกเขาต้องการจะใช้ Revon ที่มีความชำนาญในการผลิตสินค้าประเภทนี้ในการช่วยออกแบบผลิต
แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงรายละเอียดกันได้ ทำให้ Calvin Klein เลือกที่จะทำเอง อาจเพราะด้วยคู่แข่งที่มีจำนวนมาก และพวกเขาไม่ได้มีความชำนาญทางด้านนี้ ทำให้ Calvin Klein ต้องขาดทุนจำนวนมหาศาล จนบริษัทเกือบย่ำแย่ไปเหมือกัน
แต่แล้วทางสว่างของ Klein ก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากเขาได้ค้นพบไลน์สินค้าที่สามารถทำเงินให้เขาอย่างมหาศาลที่สุดตลอดกาล นั่นคือ กางเกงในแบบ Boxer ซึ่งเขาได้เลือกใช้โรงงาน Bidermann ที่ผลิตให้กับ Jockey เพื่อให้ได้กางเกงชั้นในคุณภาพที่สูง และมีดีไซน์ เรียบแต่คลาสสิค
แต่มันจะไม่เป็นที่นิยมและทำเงินเลย หากขาดซึ่งการโปรโมตที่ถูกต้อง เขาเลยว่าจ้าง Bruce Weber ด้วยจำนวนเงินสูงถึง $500,000 เพื่อดูแลแคมเปญไลน์สินค้าประเภทนี้
มันได้ผลเป็นไปตามคาดเพราะเฉพาะไลน์กางเกงชั้นในทั้งชายและหญิงของ Calvin Klein สามารถทำเงินได้ไม่ต่ำกว่า $70 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เป็นการกอบกู้สถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
จนมาถึงจุดที่อิ่มตัวของ Klein เพราะเขาประกาศขายบริษัทในปี 1999 เนื่องจากหมดไฟในการทำงาน ก่อนจะหาผู้ซื้อได้ในปี 2002 คือ Phillips-Van Heusen แม้ว่าในปัจจุบันภาพของเขาจะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท
แต่เขาไม่ได้มีดำรงตำแหน่งใด หรือสามารถออกความเห็นอะไรเกี่ยวกับองค์กรได้อีกแล้ว แม้ว่าปัจจุบันตัวของ Calvin Klein จะไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญต่อวงการแฟชั่นอีกต่อไป
แต่สิ่งที่เขาทำตลอดมา และทิ้งสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ไว้คือ การผสมผสานความสวยงามคลาสสิคแบบฝรั่งเศส เข้ากับสไตล์ที่เรียบง่ายแบบอเมริกัน เพราะหากพูดถึง Calvin Klein เราจะนึกถึงอะไรเท่ๆ เกี่ยวกับผู้ชาย ทำให้ UNLOCKMEN ขอยกย่องว่าเขาเป็นหนึ่งใน Men Fashion Icon แห่งศตววรษที่ 21
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference คาลวิน ไคลน์(Calvin Klein) :
โฆษณา