แต่ยอดขายของ Tesla กลับติดลบ 21%YoY และ 41%MoM เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ Tesla ตัดสินใจลดราคาในจีนเพื่อกระตุ้นยอดขายหลังเงินอุดหนุนของภาครัฐจบลง โดยอาศัยความได้เปรียบของ Gross profit margin (GPM) ของ Gigafactory Shanghai ที่สูงกว่าคู่แข่ง (คาดว่า Model 3 มี GPM ราว 30% และ Model Y มี GPM ราว 39%) มาเบียดคู่แข่งในจีนที่มี GPM บางกว่าอย่าง BYD ที่เพิ่งปรับขึ้นราคารถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นเพื่อชดเชยรายได้จากเงินอุดหนุนที่หายไป
1
- สหรัฐอเมริกาได้มีการผ่านร่างกฏหมาย Inflation Reduction Act ไปตั้งแต่เดือน ส.ค. 2022 แต่รายละเอียดเกี่ยวกับรุ่นของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับเครดิตภาษี* นั้นทยอยประกาศออกมาค่อนข้างช้า ทำให้กลุ่มผู้ที่สนใจซื้อรถชะลอการตัดสินใจซื้อรถ ส่งผลให้ปริมาณสินค้าคงคลังของรถรุ่นยอดนิยมของ Tesla ในสหรัฐฯ อย่าง Model Y พุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,300 คัน** อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะปกติแล้วจะมียอดสั่งซื้อมาก่อนแล้วต้องรอคิวรับรถ ต่อมาสรรพากรสหรัฐฯ ได้ตัดสินว่า Tesla Model 3 และ Y รุ่น 5ที่นั่ง จัดเป็นกลุ่ม sedan ส่วน Model Y รุ่น 7ที่นั่ง จัดเป็นกลุ่ม SUV ซึ่งสองกลุ่มนี้ต้องมีราคาไม่เกิน $55,000 และ $80,000 ตามลำดับจึงจะเข้าเกณฑ์ที่ผู้ซื้อจะได้รับเครดิตภาษี $7,500 ทำให้ Tesla ต้องปรับลดราคา
- ฝรั่งเศสเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ภาครัฐมีการให้เงินอุดหนุนถึง 5,000 ยูโร สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่เกิน 47,000 ยูโร ทำให้ Tesla Model 3 ตัดสินใจปรับราคาลงมาเช่นกัน
ซึ่งถ้านับรวมยอดขายทั้ง BEV+PHEV แล้วขณะนี้ BYD ได้แซง Tesla ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลก (จากข้อมูลของ Cleantechnica) แต่ถ้านับเฉพาะ BEV อย่างเดียวนั้น Tesla ยังคงเป็นอันดับ 1 ที่ทิ้งห่างจาก BYD อยู่พอสมควร แต่แน่นอนว่า Tesla จะนิ่งนอนใจไม่ได้เพราะคู่แข่งแบรนด์ต่างๆ มีการพัฒนา EV ออกมาหลากหลายรุ่นและทยอยเปิดไลน์การผลิตเพื่อชิงยอดขายกันอย่างดุเดือด กระทั่งนักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley มองว่าปี 2023 นี้ตลาด EV อาจเปลี่ยนจาก undersupply เป็น oversupply เลยทีเดียว
ในส่วนของประเทศจีนที่เป็นตลาดใหญ่ราว 40-50% ของยอดขายรถทั้งหมดของ Tesla และของทั่วโลกนั้น ทางเลขาธิการ CPCA (สมาคมตลาดรถยนต์นั่งของจีน) มองว่ามีแนวโน้มที่ยอดขาย EV ในจีนปีนี้อาจชะลอลงในช่วง 2-4 เดือนแรกของปีเพราะส่วนใหญ่ได้ซื้อไปแล้วในปี 2022 (ประมาณ 6 ล้านคัน) ก่อนที่เงินอุดหนุนภาครัฐจะหยุดไป แล้วค่อยกลับมาเติบโตได้รวมเป็น 8.5ล้านคัน ในขณะที่ยอดขาย Tesla ในจีนน่าจะอยู่ที่ระดับ 8แสนคัน ใกล้เคียงกับกำลังการผลิต
อาจเป็นสัญญาณที่ Elon Musk ต้องระวัง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย Henry Ford ในความเป็นคนสุดโต่ง (Extremist) ทั้งในเรื่องสหภาพแรงงาน และการซื้อสื่อหนังสือพิมพ์เพื่อกระจายทฤษฏีต่อต้านชาวยิว ที่ทำให้มีกระแสตีกลับที่กระทบต่อความนิยมใน Ford อยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง (ส่วนใหญ่ Henry Ford จะถูกกล่าวถึงในมุมแห่งความสำเร็จและอัจริยะในด้านวิศวกรรม ที่สามารถนำระบบสายพานมาแจ้งเกิดให้ Ford Model T ในราคาที่จับต้องได้)
1
📌 นอกจากนี้การรักษาความได้เปรียบของ Tesla ในการเข้าถึงวัตถุดิบที่สำคัญอย่าง lithium ในระยะยาวก็ยังไม่ชัดเจนเพราะที่ผ่านมา Elon Musk ยังไม่ตกลงดีลกับเหมือง lithium ใดๆ แม้ในระยะสั้น Tesla จะมีการทำสัญญาซื้อแร่ lithium จากเจ้าตลาดรายใหญ่อย่าง Albermale, Livent, Ganfeng Lithium และ Sichaun Yahua Industrial Group แล้ว แต่คู่แข่งอย่าง BYD (ที่ปู่ Warren Buffet เลือกลงทุน), Ford และ GM เริ่มมีความคืบหน้าไปแล้ว
📌 การตัดสินใจลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและจีนนั้นดูจะเกิดจากความจำเป็นเสียมากกว่า
ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ ICE เดิมนั้นก็ไม่ได้มี GPM สูงอยู่แล้ว การที่ Tesla มี GPM ที่สูงกว่าปกติมากในอุตสาหกรรม EV ก็ย่อมเปิดช่องให้คู่แข่งเข้ามาได้ง่าย
อีกทั้งคู่แข่งแต่ละรายก็มีความจำเป็นต้องสู้เต็มที่เพื่อจะรักษาทั้งฐานลูกค้าและกำไรของตนเองไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก ICE มาเป็น EV ดังนั้นการที่ Tesla ลดราคาลงมาก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นอยู่แล้วแค่อาจจะเร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ ในขณะเดียวกันก็เป็นกลยุทธ์ในการสกัดคู่แข่งเพื่อประโยชน์ในระยะยาวของบริษัทด้วย
📌ปี 2023 นี้ดูจะเป็นปีที่เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญทั้งของ Tesla เอง และค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่เป็น pure electric รวมถึงค่ายรถยนต์ดั้งเดิมที่ขยับเข้ามาเล่นในตลาด EV กันอย่างจริงจังมากขึ้น แม้ว่าในระยะสั้นนี้ผลกระทบของการลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla จะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง รวมถึงกดดันราคาหุ้นของคู่แข่งด้วย แต่ในระยะยาวนั้นคงต้องรอติดตามต่อไปว่าการบริหารต้นทุนในส่วนอื่นๆ ของ Tesla จะลดลงได้แค่ไหน และยอดขายของ Tesla จะเติบโตได้มากพอที่เพิ่มผลกำไรของบริษัทได้หรือไม่ ?