22 ม.ค. 2023 เวลา 01:08 • ธุรกิจ

“Ring” จากสินค้าที่ถูกปฏิเสธในรายการดัง จนถึงวันที่มีมูลค่ามากกว่าพันล้านดอลลาร์

หนึ่งในทักษะที่นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมักจะมีกัน คือ “การไม่ยอมแพ้”
และเมื่อรวมกับสายตาที่สอดส่องมองหาโอกาสอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็กลายเป็นส่วนผสมความสำเร็จที่กลมกล่อมได้ไม่ยาก
ความกลมกล่อมนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ “Ring” กริ่งประตูอัจฉริยะโด่งดังและกลายเป็นเจ้าตลาดในสหรัฐฯ จนถึงวันนี้
แรงบันดาลใจจากการคลุกตัวทำงานในโรงรถ
เรื่องราวของ Ring เริ่มต้นขึ้นในการทำงานในโรงรถในบ้านของเจมี ซิมินอฟฟ์ (Jamie Siminoff)
โดยตอนนั้นคุณเจมีถือเป็นนักธุรกิจและนักประดิษฐ์ดาวรุ่ง
ที่พึ่งขายแอพพลิเคชั่นเปลี่ยนเสียงกลายเป็นข้อความ
ซึ่งก็ทำเงินมาให้เขาได้เงินมาหลักล้านเหรียญ
หลังจากได้เงินมา เจมี ซิมินอฟฟ์ก็มาคลุกตัวอยู่ในโรงรถ
พยายามสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น
แต่การคลุกตัวอยู่ในโรงรถก็สร้างปัญหาอย่างหนึ่ง คือ เวลาที่ไรเดอร์มาส่งของ
เจมีซึ่งอยู่ในโรงรถก็จะไม่ได้ยินเสียงกริ่งประตูที่ไรเดอร์กด
1
ตรงนี้เอง ที่นิสัยในการสอดส่องมองหาโอกาสของเจมีถูกนำมาใช้
เขาได้พัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถทำให้กริ่งประตูหน้าบ้านเชื่อมต่อกับมือถือของเขา
เวลาไรเดอร์มากดกริ่งก็จะทำให้เขาไม่พลาด
1
นอกจากนี้ เขายังเพิ่มฟีเจอร์ให้มีกล้องเชื่อมต่อกับตัวกริ่ง
และก็ออกแบบแอพมือถือให้เชื่อมต่อกับตัวกล้องด้วย
ซึ่งมีการเล่าว่า ในการพัฒนากริ่งประตูที่เชื่อมต่อกับมือถือเป็นงานที่โหดหินไม่น้อย
เพราะ พวกเขาทำมันขึ้นมา โดยใช้คนเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น
และหนึ่งในนั้นยังเป็นเด็กฝึกงานด้วย
หลังจากที่ประดิษฐ์มันได้สำเร็จ คุณเจมี ซิมินอฟฟ์ ก็ตัดสินใจที่จะผลิต
เจ้ากริ่งอัจฉริยะนี้ออกมาขายทันทีในปี 2012 โดยได้รับการสนับสนุนจากภรรยาของเขา
1
โดยตอนแรกเขาตั้งชื่อมันว่า “doorbot”
สินค้าล็อตแรก 5,000 ชิ้น ผลิตที่โรงงานในประเทศไต้หวัน
และก็นำกลับมาขายในราคา 199 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งต้องบอกว่า ในช่วงแรกมันไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
เพราะบริษัทไม่มีทั้งชื่อเสียง และราคาของสินค้าก็ถือว่าค่อนข้างแพง
เหตุการณ์นี้ทำให้เงินทุนของเขาหร่อยหรอจนแทบจะไม่เหลือ
แต่คุณเจมีก็ยังไม่ยอมแพ้และมองหาโอกาสต่อไป
จนมีคนแนะนำให้นำบริษัทไปออกรายการ “Shark Tank”
ซึ่งเป็นรายการที่ให้ผู้ประกอบการมานำเสนอสินค้า
และเสนอดีลการลงทุนให้กับนักธุรกิจชื่อดัง
ซึ่งในรายการ “doorbot” ก็เสนอดีลมูลค่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ
แลกกับหุ้น 10% ของบริษัท
1
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถตกลงดีลที่ลงตัวได้
นักธุรกิจในรายการก็ขอปฏิเสธดีลของเขาไป
อย่างไรก็ดี การออกไปรายการครั้งนี้ก็ช่วยทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก
และทำให้มียอดขายกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงหลังจากที่รายการออกอากาศไปไม่นาน
ซึ่งก็ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องเพิ่มเติมจนอยู่รอดต่อไปได้
จากสินค้าที่ถูกปฏิเสธสู่ดีลมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
แต่ในช่วงแรกนั้น คุณภาพสินค้าของ doorbot ก็ถูกวิจารณ์โดยลูกค้าจำนวนมาก
ซึ่งคุณเจมีเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ โดยตอบกลับอีเมลวิจารณ์จากลูกค้าโดยตนเองทุกอีเมล
และก็ยังตั้งเป้าออกไปซ่อมเครื่อง doorbot ให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 บ้าน
ความจริงใจและความพยายามแก้ไขปัญหาลูกค้าก็ทำให้บริษัทค่อยๆ
ได้รับเสียงตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ
และบริษัทก็ยังพยายามที่พัฒนาคุณภาพของสินค้าอย่างต่อเนื่อง
โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 โดยบริษัท Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญให้กับทางบริษัท Apple ได้เข้ามาเสนอความช่วยเหลือ
4
ทั้งช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ และก็ยังช่วยให้เครดิตผลิตสินค้าล็อตใหม่กว่า 30,000 ชิ้น ด้วยต้นทุนแค่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ
(จากที่ตอนต้นพวกเขาต้องขายกริ่งอัจฉริยะในราคา 199 ดอลลาร์สหรัฐ)
นอกจากนี้ ยังมีหนึ่งในผู้ลงทุนในบริษัทอย่าง “Hamet Watt”
ได้ทำการเสนอว่า ควรเปลี่ยนชื่อจาก “doorbot” เป็น “Ring”
เพราะมันทั้งกระชับและมีความหมายตรงกันเสียงกริ่งบ้านโดยตรง
4
อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ทำให้บริษัทกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีก
คือ การได้ชาคีล โอนีล (Shaquille O’Neal) อดีตนักบาสเกตบอลชื่อดัง
เข้ามาช่วยโปรโมทบริษัทผ่านช่องทางตลาดต่างๆ
1
ซึ่งในดีลนี้คุณชาคีลไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นค่าจ้าง
แต่ได้รับผลตอบแทนเป็นหุ้นบางส่วนของบริษัท
ทาง Ring ยังทำการพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ของกริ่งอัจฉริยะ
โดยทำการส่งไปให้สำนักงานตำรวจที่ลอสแองเจลิส
นำไปติดตั้งในชุมชนที่มีปัญหาโจรชุกชุม
3
และการติดตั้งกริ่งอัจฉริยะหน้าประตูบ้านครอบคลุมแค่ 10%
แต่สามารถลดอัตราการขโมยได้มากถึง 55%
4
ทั้งหมดนี้ ทำให้ Ring ประสบความสำเร็จอย่างมาก
โดยแทบจะเป็นผู้ผูกขาดคนเดียวในตลาดกริ่งประตูของสหรัฐ
โดยมากกว่า 90% ของยอดขายทั้งประเทศสหรัฐเป็นของบริษัท Ring
และในปี 2018 ทางบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง ​Amazon เข้ามาซื้อกิจการ Ring ด้วยมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
ซึ่งทำให้ทางเจมี เซมินอฟฟ์เหลือหุ้นในบริษัทแค่ 10%
อย่างไรก็ดี Amazon ยังให้สิทธิขาดในบริหารงานบริษัทกับเขาอยู่
2
นโยบายเช่นนี้เป็นลักษณะเด่นของ Amazon ที่เข้าไปซื้อกิจการใด
ก็มักจะยังปล่อยให้ผู้บริหารกิจการนั้นมีสิทธิบริหารงานต่อไป
2
นอกจากสิทธิในการบริหารต่อ การรวมเข้ากับ Amazon ยังทำให้ทางเจมีได้มีโอกาสพัฒนาบริษัทต่อไปผ่านเงินทุน และโครงสร้างพื้นฐานของ Amazon
ทำให้ Ring ไม่เพียงแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมของตนเองได้เท่านั้น แต่ยังสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องได้ด้วย เช่น โดรนบินตรวจบ้าน และกล้องวงจรปิด
ทั้งหมดนี้ทำให้ เจมี เซมินอฟฟ์ ในปัจจุบันก็มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่หากย้อนกลับไป ในวันที่เงินทุนร่อยหรอในตอนที่ขายกริ่งยังไม่ได้ หรือ เสียใจกำลังใจในวันที่ถูกรายการ Shark Tank ปฏิเสธ ถ้าทางทางเจมี เซมินอฟฟ์ล้มเลิกกิจการไป เขาก็คงจะไม่มีวันนี้
4
ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งสะท้อนนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ของเจมีได้เป็นอย่างดี
และก็แสดงว่าเขารู้อยู่แล้วว่าในเส้นทางที่เขาเลือกเดิน
ความล้มเหลวระหว่างทางเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังบทสัมภาษณ์ที่เจมีเคยพูดไว้กับ Business Insider ว่า
ถ้าคุณอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง และประสบความสำเร็จในเส้นทางสายนี้แล้ว ก็ขอยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่เกมแห่งความล้มเหลว
(If you want to be in the business of having your own company and being able to succeed in this way, welcome to the failure game)
Jamie Siminoff
2
ผู้เขียน : ณัฐนันท์ รำเพย Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶️ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
เครดิตภาพ : Medium และ เว็บไซต์ทางการของ Ring
โฆษณา